20 อาลีหนุ่มจอมทะเล้น 1
คำมั่นสัญญาที่อาลีให้ไว้นั้น ณภัทรจำได้ทุกประโยค ความรู้สึกขัดแย้งกันเอง ใจหนึ่งอยากเข้าไปชมความงามภายในพระราชวัง เพราะวรัทบอกว่าภายในตกแต่งสวยงาม บางแห่งเคลือบด้วยทองคำแท้ และอีกใจหนึ่งไม่กล้า คิดว่าคนตลกโปกฮาอย่างอาลี หาแก่นสารในคำพูดไม่ได้ อาจจะหลอกเธอเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว
“เราอยากพิสูจน์ว่าอาลีพูดจริงหรือไม่”
“ณภัทร นี่เธอเชื่อคารมหนุ่มโอมัสกัตเข้าแล้วหรือ คนอย่างเธอ มีความมั่นใจในตัวเองสูงจะตายไป”
“จากที่ได้พูดคุยกัน อาลีมีความมั่นใจมากนะ เขานัดให้พาเธอสองคนไปด้วย น่า ไปสักหน่อย ไม่เสียหายอะไรนี่”
หญิงสาวทำเสียงอ้อนเพื่อนทั้งสอง ที่ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ชื่ออาลี โอกาสที่คนต่างชาติจะเข้าไปในพระราชวังนั้นไม่มีเลย ดิลกกลัวอาลีจะเป็นแก๊งสิบแปดมงกุฎหลอกพวกเราไปทำร้ายแล้วชิงทรัพย์
อาจจะเห็นว่าเป็นคนต่างชาติ เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ไม่กล้าที่จะไปแจ้งความ สิ่งที่หวั่นใจตามมาก็คือ ถูกทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต
“ณภัทร เราว่าอย่าไปเลย”
“อ้าว ดิลกเธอเป็นผู้ชายนะ ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ เออแน่ะ ถ้านายกับวรัทไม่ไป เราลุยเดี่ยวคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะกลัวเลย”
“ณภัทร อย่าไปเลย ถ้าหากว่าอาลีพาเราเข้าไปในพระราชวังได้จริงๆ ถ้าเผลอทำอะไรผิด อาจจะถูกจับติดคุกที่นี่ก็ได้นะ”
“วรัท เธอไม่ต้องกลัวหรอก อาลีเขารับประกันว่าจะไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้ ถ้าเธอกลัวก็ไม่เป็นไร เขาบอกแล้วไงไปคนเดียวได้”
หญิงสาวงอน เมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่เห็นด้วยกับการที่จะไปเจออาลีในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องนอน วรัทถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม หันไปมองดิลกเป็นเชิงปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดีกับเพื่อนสาวคนนี้ รู้นิสัยว่าเป็นคนมุ่งมั่น หากตั้งใจที่จะทำอะไรแล้ว จะต้องทำให้ได้ ไม่หวั่นต่อความยากลำบาก
“คงต้องตามไป ใครจะกล้าปล่อยให้ยัยบ๊องไปคนเดียวล่ะ ยังไงเสียก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม อย่าประมาท”
“คงเป็นอย่างนั้นแหละนะ ดิลก นายว่าโอกาสที่จะเข้าไปในพระราชวังนั้นมีกี่เปอร์เซ็นต์”
“เป็นคำถามที่ตอบง่ายที่สุด ศูนย์จุดศูนย์ ศูนย์เปอร์เซ็นต์”
หลังจากนั้นเสียงหัวเราะตามมา เพราะเขามั่นใจว่าไม่สามารถที่จะเข้าไปในพระราชวังซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งโอมัสกัตได้ ผู้ชายธรรมดาอย่างอาลีไม่มีอำนาจพอที่จะพาคนต่างชาติเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม
เพียงแค่เดินผ่าน ทำท่าเมียงๆ มองๆ ตรงประตูทางเข้าก็คงถูกทหารหิ้วคอเสื้อไปซักถาม ด้วยเกรงว่าจะเป็นพวกผู้ก่อการร้าย
แดเนียร์สวยสง่าในชุดอบายาที่ตัดและตกแต่งเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิมๆ ที่เป็นผ้าสีดำ บัดนี้กลับใช้ผ้าซาตินเนื้อดีสีฟ้าอ่อน ประดับตกแต่งชายขอบทั้งหมดด้วยดิ้นไหมสีเงิน และปักดอกไม้กระจายไปตามส่วนต่างๆ ของตัวเสื้อ ภายในเป็นกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อตัวยาวคลุมเข่า ผ้าคลุมศีรษะสีเขียวอ่อน ตรงชายที่อยู่ทางด้านหลังโชว์ยี่ห้อดังจากฝรั่งเศส
ใบหน้าสวยตกแต่งด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ความเข้มของคิ้วดำเรียวโก่งจากการกันให้เข้ารูป ดวงตากลมโตดำขลับ ขนตายาวดำงอนยาวกว่าปกติเพราะเป็นผลจากการปัดมาสคาร่า เพื่อให้ส่วนปลายเด้งขึ้น จมูกโด่งรับกับริมฝีปากเรียวบาง
“รีบจัดเครื่องเสวยที่ฉันสั่งมาจากภัตตาคารขึ้นโต๊ะเดี๋ยวนี้”
คำสั่งเฉียบขาดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเห็นว่าอาหารเช้าที่เตรียมขึ้นโต๊ะเสวยเป็นแค่เพียงข้าวต้มเละๆ กับปลาสามอย่างทอด เครื่องดื่มคือน้ำส้มคั้นหนึ่งเหยือก
“ฉันทำตามคำสั่งจากต้นเครื่อง ว่าพระองค์ท่านกับพระอนุชาต้องการเสวยเพียงเท่านี้จริงๆ ฉันเกรงว่าถ้านำอาหารที่คุณแดเนียร์สั่งมาวางร่วมด้วย พระองค์อาจจะกริ้วก็ได้”
“พวกเธอจะรู้อะไร อาหารเพียงเท่านี้ไม่ทำให้อิ่มได้หรอก วันนี้ ชีคซาริม ทรงพระราชดำเนินไปหลายที่ อะไรกันอยู่ในครัวหลายสิบคน นักโภชนาการก็มี ทำไมไม่จัดอาหารให้เหมาะสม ของพวกนั้นเหมาะสำหรับชาวบ้านธรรมดากินกัน ไม่ควรนำขึ้นโต๊ะเสวยด้วยซ้ำ”
ท่าทางแดเนียร์ไม่ยอมง่ายๆ ต้นเครื่องวัยห้าสิบเศษ แต่งกายสะอาดสะอ้านเข้ามายืนตรงหน้า แทนที่เห็นผู้อาวุโสกว่าจะทำความเคารพ กลับทำท่ามึนตึง ต้นเครื่องมองด้วยสายตาตำหนิ ทว่า ครู่เดียว ก้มมองที่พื้น
“มีอะไร แม่ครัวใหญ่”
“ชีคซาริม ทรงรับสั่งว่าต้องการเสวยเพียงเท่านี้จริงๆ”
“งั้นฉันจะกราบทูลพระองค์เองก็แล้วกัน”
ไม่ฟังคำทัดทานจากใคร แดเนียร์ก้าวฉับๆ เข้าไปในพระราชวังส่วนใน นั่งรออยู่ที่พระทวาร รอให้ ชีคซาริม บิน ซาราด กับพระอนุชาออกมาจากห้องด้านใน กระทั่ง พระวรกายสูงสง่าทรงพระภูษาในชุดโต๊บสีขาวก้าวออกมา หญิงสาวทำความเคารพทันที