13 ชีค ซาริม บินซาราด
ก่อนที่จะเข้าห้องนอน ทุกคนมานั่งรวมกันอยู่ที่ห้องรับแขกซึ่งจัดตกแต่งสวยงาม กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยแบบที่เป็นตะเกียงน้ำมันโคมไฟ ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้โรแมนติกยิ่งขึ้น ณภัทรไม่รอช้าทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาสีทองทันที
“โอย ไม่ไหว อิ่มๆ ไม่เคยอิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย ท้องจะแตกตายอยู่แล้ว”
ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นเอามือลูบลงไปที่หน้าท้องอีกด้วย วรัทค้อนน้อยๆ หันไปยิ้มกับดิลกที่ลุกขึ้น เดินวนเวียนไปรอบๆ ห้อง จากอากัปกิริยา รู้ว่าไม่ไหวเช่นกัน เขากำลังเดินให้อาหารย่อย หลังจากบริโภคอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่หยุด
อาหารชุดใหญ่จานสุดท้าย ทางโรงแรมบอกว่าเป็นอภินันท์พิเศษให้แก่ผู้เดินทางมาจากแดนไกล แม้ว่ามีจานเดียวแต่ใหญ่ยักษ์ จนรับประทานไม่ไหว ผักสด เนื้อย่าง น้ำซุป ผลไม้และขนมที่จัดรวมมาด้วยกัน ทั้งสามฉลองศรัทธาเสียเต็มคราบ ณภัทรเป็นคนที่กลัวอ้วนที่สุด ยังอดใจไม่ไหว ความอร่อยที่ปลายลิ้นไม่อาจหยุดความอยากของร่างกายได้
“มื้อหน้าไม่เอาแล้วนะ เราขออาหารจานเดียวก็พอ”
“ต่างคนต่างกินไงณภัทร เราแยกกันออกทำงานอยู่แล้ว ตอนเย็นค่อยมาเจอกันที่นี่ เผลอๆ มื้อเย็นก็จัดการด้วยตัวเองอีกรอบ”
“ถูกของเธอวรัท ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราคงไม่มีโอกาสที่จะได้กินหรูเหมือนวันนี้แล้วล่ะ เว้นเสียแต่ว่าทำงานสำเร็จ นั่นแหละถึงจะมาร่วมฉลองกันอีกครั้ง”
“ดิลก เราเตรียมวางแผนการสืบหาข้อมูลยังไงบ้าง?”
เมื่อหายจากอาการแน่นท้อง ณภัทรสอบถามเพื่อนชายทันที เขาจึงพาไปนั่งที่โต๊ะกลม ล้อมวงเข้ามา วางแผนตามขั้นตอนที่รอบคอบและให้ปลอดภัยที่สุด สองสาวพยักหน้า ทบทวนแผนการทำงานอีกครั้ง จากนั้นพากันแยกย้ายเข้าไปพักผ่อนในห้องส่วนตัว ซึ่งมีอยู่สามห้องพอดี
อากาศในเวลากลางคืนเย็นเยียบ แสงไฟที่เปิดสว่างจ้าเมื่อตอนหัวค่ำเริ่มดับลงทีละดวง และเปิดทิ้งเอาไว้บ้างเฉพาะจุดที่จำเป็น ภายในพระราชวังซึ่งตั้งอยู่บนเนินภูเขาสูงหันหน้าติดกับทะเล ซึ่งอยู่ชานเมืองของซาเทียร์ ความหรูหราจากเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น สามารถสะกดความรู้สึกของผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมให้ตะลึงลาน
ในความรู้สึกของ ชีคซาริม บิน ซาราด แล้วรู้แต่เพียงว่าเฉยชา ไม่นิยมชมชอบต่อความสวยงามที่เป็นเพียงเครื่องฉาบเอาไว้เพียงเปลือกนอก ไม่ว่าสถานที่แห่งใดพระองค์สามารถที่จะบรรทมได้ ไม่เว้นแม้แต่บ้านที่พอกด้วยดินโคลน
พระวรกายสูงสง่า พระพักตร์ที่หล่อเข้มไร้ที่ติ พระฉวีขาวอมชมพูราวกับอิสตรี พระเกศาดำสนิทหยิกเป็นลอนได้ผ่านการตัดแต่งเป็นทรงอย่างเรียบร้อย
ฉลองพระองค์ที่เป็นชุดคลุมสีน้ำตาลอ่อนมีสายรัดผูกด้านข้างสะบัดพลิ้วตามแรงลมที่โชยพัดผ่านเข้ามาทางพระแกลบานใหญ่ที่เปิดอ้าเอาไว้ แม้ว่าความเย็นที่พรั่งพรูเข้ามา ไม่อาจทำให้พระองค์ซึ่งดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทลำดับที่ 1 ขยับพระวรกายออกมาไม่
“พระองค์ยังไม่บรรทมอีกหรือพระเจ้าข้า”
อาเมียร์ซึ่งเป็นองครักษ์เอ่ยขึ้น หลังจากเห็น ชีคซาริม บิน ซาราด ยังคงตรึงพระวรกายสงบนิ่ง ทอดพระเนตรออกไปด้านนอกเป็นเวลานานเกือบชั่วโมง โดยไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ด้วยเกรงว่าพระองค์จะเมื่อยล้าจึงสอบถามขึ้น
พระพักตร์ที่มีความสมบูรณ์แบบของเครื่องเคราจัดวางอย่างเหมาะเจาะ หันมาอย่างช้าๆ แย้มพระโอษฐ์เพียงเล็กน้อย หากว่าสตรีเห็นคงจะต้องเก็บเอาไปฝัน พระองค์คือเจ้าชายในดวงใจโดยแท้จริง
“เรานึกถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่เสด็จพ่อทิ้งเอาไว้ก่อนจะสิ้นพระชนม์ อีกไม่นานเราก็จะได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร คงไม่มีอิสระเหมือนทุกวันนี้ เราจะต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชนจนแทบหาเวลาส่วนตัวไม่ได้”
“พระองค์ท่านจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ดี เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม”
“เหมือนเสด็จพ่อของเราไงล่ะ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าทั้งเสด็จพ่อและเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทิ้งเรากับน้องให้อยู่เพียงสองคน อาเมียร์เจ้าคิดว่าการที่เราขึ้นครองโอมัสกัต น้องเราจะน้อยใจไหม”
“เหตุใดพระองค์ทรงคิดอย่างนั้นเล่า พระอนุชาเป็นผู้ที่มีจิตใจดี ทรงยินดีด้วยซ้ำที่พระองค์ได้เป็นกษัตริย์ และเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล เพราะพระองค์เป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 ย่อมมีสิทธิ์ก่อน”
อาเมียร์พยายามที่จะพูดเพื่อให้พระองค์คลายกังวล กระนั้นยังได้ยินเสียงทอดถอนพระทัยเพียงเบาๆ
“พระอนุชาเป็นผู้ที่มีอารมณ์แจ่มใส นิสัยร่าเริง คุยสนุก ข้าพระพุทธเจ้าเคยสนทนากับยูซุฟผู้เป็นองครักษ์ของท่าน ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยูซุฟบอกว่าพระอนุชาไม่เคยคิดขัดเคืองพระทัยเลย พระเจ้าข้า ทรงยินดีต่อการที่พระองค์เป็นกษัตริย์ด้วยซ้ำ”