12 กินหรูอยู่สบายที่โอมัสกัต 2
หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงหมายมาดเต็มที่ ทว่าสายลมวูบที่กรรโชกขึ้นมาจากทะเลแทบจะทำให้ร่างบางล้มลง เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งก็ทำให้บุรุษในชุดโต๊ปสีขาว รูปร่างสูง ดวงตาคมวาว มีหนวดดกงามประดับอยู่บนริมฝีปากหันมามองด้วยความสนใจ
คิ้วหนาเข้มเลิกขึ้นอย่างครุ่นคิดเพราะณภัทรกับเพื่อนแต่งกายแตกต่างจากสตรีโอมัสกัต เรือนร่างสูงโปร่งกับเสื้อผ้าเข้ารูป สวยงามพอๆ กับใบหน้ารูปไข่เนียนขาวสะอาดตา
‘เธอคงเป็นนักท่องเที่ยว มาจากประเทศอะไรนะ คงไม่ใช่พวกยุโรปเพราะผมเธอดำ อาจจะมาจากโซนเอเชีย เกาหลี ญี่ปุ่นหรือว่าจีน’
บุรุษหนวดดกสงสัยต่อสัญชาติของหญิงสาวผู้งดงาม ทว่า มีความปราดเปรียวอย่างน่าทึ่ง ต่างจากสตรีที่นี่ไม่กล้าส่งเสียงดัง หรือเดินก้าวเท้าเร็วๆ อาจจะเป็นเพราะขนบธรรมเนียมประเพณีตีกรอบให้ผู้หญิงกระทำตนเรียบร้อย จนดูเหมือนว่านุ่มนิ่ม
เขาเข้ามาในวิลล่าแห่งนี้เช่นกัน เดินตามหลังหญิงสาวทั้งสอง เมื่อเห็นเธอล้างเท้าก่อนขึ้นไปด้านบน เขาเลี้ยวไปทางด้านขวาอย่างรวดเร็ว
หนุ่มสาวทั้งสามอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดลำลองแต่ดูดี พนักงานในห้องอาหารได้เข้ามาเชิญให้นั่งที่โต๊ะติดกับหน้าต่างที่เป็นกระจกบานเลื่อน แง้มออกเพียงเล็กน้อยเพราะลมแรง ความเย็นจากลมธรรมชาติ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น
“วรัท ดูสิ ห้องอาหารอะไรจะหรูหราขนาดนี้ เป็นห้องที่กว้าง เพดานสูงมาก ผ้าม่านก็ยาวระพื้น โต๊ะสวย เก้าอี้งาม อุปกรณ์ในการกินสลักสวยงาม แทบไม่กล้าใช้”
ณภัทรกระซิบเบาๆ ไม่กล้าแสดงอาการตื่นเต้นออกมา กลัวว่าจะถูกมองเป็นพวกไร้รสนิยม ทว่าสายตายังคงแอบกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เห็นบรรดาแขกที่มาพักในวิลล่าไม่ว่าจะเป็นชาวยุโรป หรืออาหรับต่างพากันทยอยเดินเข้ามานั่งประจำที่ คนในโซนเอเซียมีเธอกับเพื่อนทั้งสองเท่านั้น
“อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเลยน่า ยัยณภัทร เดี๋ยวเค้าก็รู้ว่าเราเป็นพวกโลโซหรอก ต้องวางมาดให้นิ่ง หน้าเชิดๆ เอาไว้ รู้ไหมว่ามื้อนี้ราคาเหยียบหมื่นบาทเชียวนะ”
“หา จริงหรือวรัท โอ สงสารคุณถกลจังเลย”
หญิงสาวครางเสียงอ่อย ใบหน้าหม่น หันไปมองดิลกเห็นว่ากำลังส่งยิ้มให้แก่พนักงานเสิร์ฟชายที่กำลังรินน้ำใส่แก้วใสทรงสูง ขอบด้านบนเคลือบเงินเป็นริ้วสามเส้นบางๆ เรียงกัน ชวนพูดคุยด้วยภาษาอังกฤษพอที่จะได้ใจความต่อไปนี้
“อาหารค่ำ เริ่มจากอะไรครับ”
“ออเดิร์ฟเย็นเป็นขนมปัง เรียกว่าพิต้า นี่ครับ มาแล้ว ผมขออนุญาตวางลงตรงด้านหน้าของท่านทั้งสาม”
“เชิญเลยค่ะ”
วรัทอยากมีส่วนร่วมในการพูดคุยบ้าง เพื่อหาข้อมูลหาตัววายร้ายทั้งสาม ไม่แน่ว่าอาจจะเคยเข้ามาพักในวิลล่าหรูหราแห่งนี้ บริกรหนุ่มคงจะคุ้นหน้าบ้าง ถ้ามีโอกาสเธอเอาเอารูปให้ดู แต่จนแล้วจนรอดไม่มีช่องว่าง เพราะบริกรเสิร์ฟอาหารพร้อมกับแนะนำรายการอาหารต่างๆ ให้เธอกับเพื่อนทั้งสองจนน้ำลายหก
“พิต้าฉีกจิ้มกับเครื่องจิ้มขนมปังรสชาติดีมากๆ นี่ไง เห็นไหมครับ ถ้วยนี้ คือเครื่องจิ้มเรียกว่าฮอมโม้ส”
“ทำจากอะไรคะ”
คราวนี้ณภัทรไม่ยอมน้อยหน้า พ่นภาษาอังกฤษใส่บริกรหนุ่มแขกหน้าเข้มบ้าง วรัทค้อนน้อยๆ แล้วหันไปสบตากับดิลกและยิ้มพร้อมๆ กัน
“ฮอมโม้สทำจากถั่วชิคบด ปรุงด้วย Tahina ซึ่งเป็นเมล็ดงาบด กวนผสมกับน้ำมันจนข้นๆ มันๆ ผสมรวมกันจนเนื้อเนียน”
“กลิ่นหอมจังเลยครับ”
“ลองชิมดูแล้วคุณจะชอบ เมื่อหมดชุดนี้เราก็จะขอเสิร์ฟบาร์บิคิวสไตล์เลบานอน มีทั้งไก่ เนื้อ แกะ ตามด้วยกุ้งทะเลหมักเครื่องเทศย่าง”
“พอๆ ก่อนเถอะ อย่าเพิ่งอธิบายเลย เพียงแค่ได้กลิ่น น้ำลายสอออกมาแล้ว เราขอชิมพิต้าก่อนนะ ขอบคุณมาก”
ณภัทรเป็นผู้ที่กลัวอาหารอาหรับมากที่สุด ว่าจะรับประทานไม่ได้ ครั้นได้กลิ่นและเห็นอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรก รู้สึกอยากรับประทานเสียเดี๋ยวนั้น และไม่ผิดหวัง เมื่อคำแรกล่วงเข้าสู่ริมฝีปาก น้ำลายแตกกระจาย ออกมารอที่ปลายลิ้น ขนมปังชิ้นชิ้นที่สองถูกฉีกออกจากกันแล้วจิ้มลงไปในเครื่องจิ้ม จุ่มวนคนอยู่พักหนึ่งให้ชุ่มน้ำแล้วส่งเข้าไปในปาก เคี้ยวช้าๆ จนละเอียดและกลืนให้ร่วงสู่กระเพาะอาหาร พบกับความอร่อยและหอม นุ่ม
“อร่อยมากที่สุด นี่ขนาดออเดิร์ฟจานแรกนะ อร่อยถูกใจ มิน่าล่ะคนอาหรับถึงมีรูปร่างอุดมสมบูรณ์เพราะอาหารเขาอร่อยนี่เอง ดิลก หยุดพักหายใจซะบ้างจ้วงอยู่ได้”
“เวลานี้อย่าห้ามเลยณภัทร ขอเอนจอยอิทติ้งก่อน แน่ะบาร์บิคิวมาแล้ว ไม้ใหญ่เสียด้วย กลิ่นหอมจริง”
ดิลกเป็นอีกผู้หนึ่งที่ชื่นชอบการรับประทานอาหาร เช่นเดียวกับวรัทไม่รอช้าที่จะหยิบบาร์บิคิวรวมมิตรมาใส่จานของตน เนื้อแกะหมักเครื่องเทศนุ่มหอม เนื้อแทบละลายหายไปในปาก ณภัทรมองนิ่ง กลืนน้ำลายลงคอ ไม่รอช้าที่จะคว้าบาร์บิคิวกุ้งทะเลมาวางที่จาน จัดแจงกับอาหารมื้อพิเศษด้วยความเอร็ดอร่อย
ชายหนุ่มหนวดดกใบหน้าคมซึ่งนั่งอยู่ในห้องพิเศษ มองมาที่โต๊ะหญิงสาว เห็นเธอมีความสุขกับการรับประทานอาหาร เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับสั่งให้บริกรนำอาหารชุดสุดพิเศษที่นอกเหนือจากรายการทางวิลล่าจัดให้ นำไปเสิร์ฟถึงที่ ทั้งสามมองอย่างตื่นตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง