ตอนที่ 6 : ข้อตกลง
ตอนที่
[6]
ข้อตกลง
“เหตุใดท่านจึงไม่ปฏิเสธการเกี่ยวพันกับข้า”
เห็นเขามองหน้านางนิ่ง ๆ อย่างไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงกล่าวอีกว่า
“หรือเพราะท่านเห็นว่าข้างามมาก ท่านก็เลยสนใจ”
เขาเริ่มขยับตัวแล้วกล่าวว่า
“นี่งามมากแล้วหรือ......”
“…..”
บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก!
กว่าไป๋เฟินเยว่จะตั้งสติได้ก็ผ่านไปครู่หนึ่ง
“แล้วเหตุใดวันนั้น ท่านจึงกล่าวเช่นนั้นกับท่านแม่ของท่านและท่านแม่ของข้าเช่นนั้น ขอกล่าวตามตรงนะ ใต้เท้าหยาง....” นางเขยิบเข้าไปสบสายตาเขาอย่างจริงจังที่สุด
หยางเยว่เล่อเห็นท่าทางเช่นนี้แล้วเกือบอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นี่ท่าทางจริงจังของนางใช่หรือไม่
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับท่าน ข้าไม่พึงใจในตัวท่าน ท่านเป็นบุรุษที่...ดีนะ....” แต่เมื่อสักครู่นางเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาดีหรือไม่
“แต่เป็นข้าเองที่ไม่ได้อยากหมั้นหมายกับผู้ใด หวังท่านจะเข้าใจ และยกเลิกทุกอย่างเสีย!” นางกล่าวออกมายาวรวดเดียว เมื่อกล่าวจบก็แทบหอบโยน
“……..”
ด้านหยางเยว่เล่อคล้ายไปเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งไปสักครู่
‘ข้าไม่อยากแต่งงานกับท่าน’
‘ข้าไม่พึงใจในตัวท่าน’
ท่านเป็นบุรุษที่..ดีนะ..แต่เป็นข้าเองที่ไม่ได้อยากหมั้นหมายกับผู้ใด’
‘หวังท่านจะเข้าใจ และยกเลิกทุกอย่างเสีย!’
ประโยคเหล่านี้เขาเคยกล่าวกับคุณหนูหลายคนที่ท่านแม่พยายามจับคู่ให้เขา
แต่ในยามนี้ เมื่อได้เป็นผู้ที่ได้มารับฟังเอง เขาก็เริ่มสงสารคุณหนูเหล่านั้นบ้างแล้ว......
ขนาดที่ว่าเขาไม่ได้คิดอันใดกับไป๋เฟินเยว่ยังรู้สึกหดหู่แปลก ๆ แล้วคุณหนูพวกนั้นที่พึงใจในตัวเขา....
ไป๋เฟินเยว่เห็นเขานิ่งไป จึงกล่าวขึ้นอีก
“ใต้เท้าหยาง ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาจึงเหมือนจะได้สติ
“คุณหนูไป๋วางใจเถิด ข้าไม่ได้คิดอันใดกับท่านเช่นกัน เพียงข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นผลดีกับเราสองคน”
“อย่างไร”
นางถามขึ้นอย่างสงสัย
“ท่านไม่อยากแต่งงาน ข้าก็ไม่อยากแต่งงานเช่นกัน เพียงแต่หากเราปฏิเสธเรื่องนี้ในยามนี้ เห็นทีว่าท่านแม่ของข้าและท่านแม่ของท่านคงจะไม่ยินยอม ไม่สู้เราปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ระหว่างนี้ก็ไม่ข้องเกี่ยวกัน จากนั้นค่อยหาจังหวะเหมาะ ๆ แล้วยกเลิกความพัวพันเหล่านี้เสีย คุณหนูไป๋คิดเห็นว่าอย่างไร”
ไป๋เฟินเยว่คิดตามเขา หากนางปฏิเสธตอนนี้ท่านแม่ก็คงจะดื้อดึง โดยเฉพาะหยางฮูหยินผู้นั้น แต่หากปล่อยเรื่องนี้ไปสักพัก แล้วก็ไปบอกผู้ใหญ่ว่า เราทั้งสองคนไปกันไม่ได้ ตามที่เคยตกลงกัน ก็คงจะว่าอันใดไม่ได้อีก ระหว่างนี้เมื่ออยู่ในการคล้ายมีสัญญาหมั้นหมาย ก็จะไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางในยามนี้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว นางก็ไม่ต้องกังวลใจใด ๆ ส่วนถงชิ่งอันก็วานใต้เท้าหยางจัดการให้ไม่ยากกระมัง โทษฐานมายุ่งกับว่าที่คู่หมั้นของผู้อื่น เช่นนั้นก็.........
“ตกลงตามนี้”
“ดี”
เมื่อตกลงกันได้ ไป๋เฟินเยว่ก็เดินจากไปอย่างสบายใจ ส่วนหยางเยว่เล่อก็เรียกอันหยงมาพร้อมสั่งการบางอย่าง
“ไปสืบเรื่องของไป๋เฟินเยว่มาให้ข้าอย่างละเอียด”
แม้บอกว่าจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่อย่างไรสำหรับผู้อื่นก็ยังคงคิดว่าเขาและนางมีสายสัมพันธ์กัน เขาจึงอยากรู้เรื่องราวของสตรีผู้นี้มากขึ้นอีกหน่อยว่าเป็นอย่างไร
และที่เขาเสียกิริยากับนาง.... เขาทำไปได้อย่างไร! แม้ว่ามันจะนุ่มและ...ใหญ่โตก็เถอะ
แต่เขาไม่เคยรู้สึกจะทำเช่นนี้กับสตรีใด แม้แต่กับคนผู้นั้น หรือเขาฟั่นเฟือนไปแล้ว?!
หยางเยว่เล่อสะบัดหัวออกจากการคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ แล้วมาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ต่อ
ในยามที่ร่วมทานอาหารเที่ยงกันนั้น เขาสังเกตเห็นว่านางสนิทกับชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีการถือตัวเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น ๆ แม้ว่าท่านอดีตราชครูจะออกจากวังหลวงมานานแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ยังคงให้ความสำคัญอยู่ และตระกูลไป๋ก็ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา เหตุใดคุณหนูที่อยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอดกลับไม่มีกิริยาสงบเสงี่ยมเช่นคุณหนูในห้องหอสักนิด เหตุเพราะนางย้ายมาเมืองซานหลินแห่งนี้ตั้งแต่เด็กก็จะลืมสิ้นกิริยาของสตรีในเมืองหลวงไปแล้วหรือ
หรือไม่เช่นนั้น นางก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก.......
คล้ายกับสตรีผู้นั้น.....ที่แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่ได้สนใจในกิริยาของตนเลยว่าคนอื่นจะมองตนเช่นใด
เมื่อกลับถึงจวนไม่นาน อันหยงก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เพราะมาพร้อมกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไป๋เฟินเยว่มากมาย
กล่าวว่าตั้งแต่ที่อดีตราชครูไป๋ห่านย้ายมาที่นี่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ในยามนั้นชานเมืองซานหลินก็เกิดน้ำท่วมหนักกว่าทุกปี ซึ่งกว่าจะผ่านไปได้ก็ยากลำบากยิ่ง จึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำโดยเฉพาะหมู่บ้านถานอวิ๋นแห่งนี้ เร่งเอาโฉนดที่ดินของตนที่หยิบตอนหนีน้ำมาได้ มาเร่งขายให้กับผู้ที่มีเงินหรือมีอำนาจในเมือง แต่ผู้ใดจะซื้อที่ดินน้ำท่วมเช่นนั้น พวกเขาเลยขายกันไม่ได้ และรู้สึกมืดมนในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
แต่แล้วกลับคล้ายว่ามีแสงสว่างเจิดจ้ารอบตัวพวกเขา เมื่อมีผู้ติดต่อว่าจะซื้อที่ดินที่พวกเขาต้องการขายทั้งหมด คราแรกพวกเขาได้ยินว่าผู้ที่มาซื้อคือตระกูลไป๋ที่ย้ายมาจากเมืองหลวง คงเป็นอดีตราชครูไป๋หานเป็นแน่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานทุกคนจึงได้รู้ว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินของพวกเขาอย่างแท้จริงคือ คุณหนูไป๋เฟินเยว่ บุตรีเพียงคนเดียวของท่านอดีตราชครูไป๋หาน นางไม่เพียงแต่ซื้อที่ดินเท่านั้น เมื่อได้ที่ดินมา นางก็สร้างแหล่งพักพิงให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่ ให้อยู่บนที่ดินของนาง และยังจ้างพวกเขาให้ทำงานให้นางอีกด้วย
นางเริ่มทำการปลูกผักที่มีรสชาติที่แตกต่างจากที่อื่น จากนั้นก็นำผักที่มีคุณภาพเหล่านั้นมาทำผักดองที่เลิศรส ซึ่งสูตรนั้นก็เป็นสูตรที่นางคิดค้นด้วยตนเอง จนปัจจุบันก็กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของเมืองซานหลินไปแล้ว นอกจากนั้นในยามที่น้ำมา ก็จะปลูกผักไม่ได้ นางก็มีการวางแผนให้ชาวบ้านมีการจับปลา แล้วนำปลาเหล่านั้นมาทำปลาตากแห้งหรือปลาแดดเดียวที่แสนอร่อยที่เขาได้ลิ้มลองไปแล้วด้วย ก็เป็นสินค้าขึ้นชื่อเช่นกัน ชาวบ้านที่นี่จึงเริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีน้ำท่วมพวกเขาก็ยังมีชีวิตต่อไปได้และอยู่ได้แบบดีกว่าเดิมด้วย ทั้งหมดนั้นก็เพราะ ‘กิจการการค้าไป๋เยว่’ ที่สร้างโดยไป๋เฟินเยว่แห่งนี้ ซึ่งในตอนที่นางเริ่มนั้นนางอายุเพียง 10 ขวบปีเท่านั้น
ไม่เพียงแค่ที่นี่ ในตัวเมืองซานหลินเอง ไป๋เฟินเยว่ยังจัดตั้งโรงทานเดือนละสองครั้งทำอาหารให้กับผู้ยากไร้หรือผู้ที่เดินทางมาไกลแล้วไม่มีอาหาร ได้อิ่มท้อง รวมถึงเด็กเร่ร่อน สตรีม่ายหรือผู้ที่ไม่มีงานทำหลายคน นางยังจัดจ้างให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการดูแลกิจการร้านค้าของนางที่ประจำจุดต่าง ๆ ของเมืองซานหลิน ด้วยเหตุนี้นางจึงได้รับฉายา เทพธิดาแห่งซานหลิน ที่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก อาจจะรวมกับใบหน้าที่งดงามของนางจึงทำให้ผู้คนจดจำได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
“นี่งามมากแล้วหรือ......”
“…..”
ยามเขากล่าวเช่นนั้นกับนาง สีหน้านางในยามนั้นช่างตลกยิ่ง
เพราะเหตุนี้นี่เองนางและชาวบ้านจึงได้ดูสนิทสนมกัน และหากนางมีปฏิกิริยาเฉกเช่นคุณหนูในห้องหอ นางคงไม่เริ่มกวาดซื้อที่ดินน้ำท่วมเพื่อมาทำเช่นนี้ตั้งแต่ต้น
ช่างแตกต่างจากผู้อื่นเสียจริง ไป๋เฟินเยว่
“คุณชาย ที่จริงยังมีอีกเรื่อง...........”