เจ้าเป็นคนของข้า
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านสีครีมอ่อนเข้ามาภายในรถม้าคันหรู ปลุกให้เฉินเหม่ยซินที่กำลังหลับใหลอยู่ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่เมื่อภาพตรงหน้าเริ่มชัดเจน นัยน์ตาคู่สวยของเฉินเหม่ยซินก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ นี่นางกำลังอยู่บนรถม้า? แต่ว่ารถม้าคันนี้เป็นของใครกัน?
“ที่นี่ที่ไหน...และท่านเป็นใคร?” เสียงหวานเอ่ยถามแผ่วเบา ความทรงจำสุดท้ายของหญิงสาวยังคงติดอยู่ที่โรงเตี๊ยม เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เฉินเหม่ยซินจำได้เพียงว่านางแค่ดื่มสุราเข้าไป จากนั้นทุกอย่างก็เลือนราง
เหม่ยซินพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ความเจ็บแปลบจากสะโพกและต้นขาทำให้หญิงสาวต้องร้องโอดโอยออกมาอย่างทรมาน “โอ๊ย เจ็บจัง! เมื่อคืนท่านทำรุนแรงทำไมกัน? ใช่แล้ว! เจ้ามันโจรปล้นสวาท เจ้าขโมยพรหมจรรย์ของข้าไปในห้องพัก เจ้าเลวทราม!”
“เงียบปากซะ!” หวังเยี่ยนหลงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ็ดทันทีเพราะทนฟังเสียงโหวกเหวกของหญิงสาวไม่ไหว เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เหม่ยซินมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความตกใจ นางไม่เคยเห็นเขาคนนี้มาก่อน เขาเป็นใคร? และทำไมถึงมาอยู่บนรถม้ากับนาง?
“ท่านเป็นใคร? แล้วพาข้ามาที่นี่ทำไม?” เฉินเหม่ยซินถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หวังเยี่ยนหลงมองมาที่หญิงสาวด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่เจ้าควรอยู่”
เหม่ยซินรู้สึกหวาดกลัว นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกต่อไป หญิงสาวพยายามควบคุมสติและคิดหาทางเอาตัวรอด
“ท่านจะพาข้าไปไหน? ข้าขอร้อง ปล่อยข้าไปเถอะ” เฉินเหม่ยซินกล่าววิงวอน
แต่หวังเยี่ยนหลงไม่สนใจคำขอร้องของหญิงสาว เขาเพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ที่กำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาชอบความเงียบสงบและเกลียดคนที่ทำเสียงดังมากรำคาญหูอย่างนางผู้นี้
“เสียงดังแบบนี้แสดงว่าเจ้าฟื้นแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเคย
“.....................”
“ฟื้นแล้วก็ดี จะได้ไม่เสียเวลา " เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านข้าง หวังเยี่ยนหลงมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดบุรุษของเขาด้วยสายตาเรียบเฉย
"ท่าน...ท่านจะพาข้าไปที่ไหนกัน?" เฉินเหม่ยซินขยับตัวออกห่างด้วยความหวาดระแวง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ความสับสนและมึนงงทำให้นึกกลัว
"ไม่ต้องรู้มากก็ได้ รู้แค่ว่าต่อไปนี้เจ้าเป็นของข้า" หวังเยี่ยนหลงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์
"ท่านพูดเรื่องบ้าอะไร ของท่าน? ข้าไม่ใช่สิ่งของนะ!" เอ่ยตวาดกลับด้วยความโกรธและรู้สึกไม่พอใจต่อคำพูดของชายหนุ่ม
"หึ" หวังเยี่ยนหลงหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน ตวัดสายตามองหญิงสาวด้วยสายตาเหยียดหยาม "ต่อให้เจ้าปฏิเสธยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรทั้งนั้น"
"ท่านมันคนบ้า!" เหม่ยซินพยายามขยับตัวลงจากรถม้า แต่มิวายถูกหวังเยี่ยนหลงรั้งเอวของนางเอาไว้
"อย่าดื้อด้านนักเลย" หวังเยี่ยนหลงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวไม่ไหวติง "ข้าไม่ชอบให้คนขัดใจ"
เหม่ยซินจ้องมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว นี่มันไม่ใช่ความหวังดี แต่มันคือการบังคับขู่เข็ญ! นางจะไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบได้ง่ายๆ แน่
เหม่ยซินสูดลมหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจยั่วโมโหเขา “ถ้าข้าต้องเป็นของเจ้า ข้าขอตายเสียยังดีกว่า!”
หวังเยี่ยนหลงหรี่ตาลง “เจ้าอยากตายนักหรือ? ข้าจัดให้ได้นะ”
เหม่ยซินมองเขาด้วยความตกตะลึง นางคิดว่าจะยั่วโมโหให้รำคาญและปล่อยนางไป แต่น้ำเสียงและแววตาของชายหนุ่มกับไม่มีความลังเลใดๆ ที่จะฆ่านางให้ตายมันเสียตรงนี้ “ท่าน...ท่านไม่กลัวบาปกรรมหรือไง!”
หวังเยี่ยนหลงยิ้มเยาะเย้ย “บาปกรรม? สำหรับข้าแล้ว บาปกรรมมันเป็นแค่คำพูดไร้สาระ หากเจ้าอยากตายมาก ข้าก็จะทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ”
เหม่ยซินเริ่มรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่เขาอาจจะทำ หวังเยี่ยนหลงอาจจะพลั้งมือฆ่านางก็ได้ นางจึงพยายามหันกลับไปใช้ท่าทีอ่อนโยนลง “ข้าขอโทษที่พูดจาไม่ดีไป รบกวนท่านโปรดปล่อยข้าไปเถิด บ้านของข้าอยู่ทางนั้น หาใช่ทางที่ท่านจะไป”
แต่ทว่าหวังเยี่ยนหลงกับไม่สนใจในสิ่งที่นางพูดเลยสักนิด คำพูดเปรียบเสมือนสายลมที่พัดผ่านไป “อย่าคิดว่าเจ้าจะเกลี้ยกล่อมข้าได้ง่ายๆ ข้าเห็นเรือนร่างของเจ้าหมดแล้ว สาวน้อย ยังไงเจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง”
นางรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้น แต่ยังมิวายที่จะเอาชนะคนเผด็จการ “ถ้าท่านไม่ปล่อยข้าไป ข้าก็จะไม่หยุดยั่วโมโหท่าน”
หวังเยี่ยนหลงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ายั่วโมโหข้าได้เท่าที่เจ้าต้องการ แต่สุดท้ายแล้ว เจ้ายังคงเป็นของข้าเหมือนเดิม และมันจะไม่มีทางเปลี่ยน”
ขณะที่เฉินเหม่ยซินพยายามสรรหาถ้อยคำมาโน้มน้าวนั้น “เจ้ามีนามว่าอะไร” หวังเยี่ยนหลงเอ่ยถาม ก่อนที่เขาจะพานางเข้าจวน ก็ควรจะต้องรู้นามของสตรีแสนซนผู้นี้ก่อน
“ข้ามีนามว่าเฉินเหม่ยซิน เป็นบุตรสาวคนรองของเสนาบดีเฉินชูชาง” ประโยคนั้นเหม่ยซินเปล่งเสียงออกมาเบามากจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
“เสนาบดีเฉินนั่นเอง แล้วบุตรสาวของเสนาบดีเฉินทำไมถึงออกมาเพ่นพ่านเที่ยวซนอยู่ข้างนอกกัน?”
“ข้า... ข้าหนีออกมาเอง ท่านพ่อจะจับข้าแต่งงานกับบุรุษที่ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อน ข้าจึงหนีออกมา ว่าจะกลับไปอยู่กับครอบครัวฝั่งแม่ที่เมืองหานตาน” หลังที่ได้ยินคำว่าเมืองหานตาน สายตาของหวังเยี่ยนหลงจึงหรี่ลงเหลือเพียงครึ่งเดียว
“เรื่องการแต่งงานของเจ้า จงวางใจเถอะ เพราะเจ้าเป็นของข้าแล้ว เจ้าจะไม่มีวันได้แต่งงานกับใครอีกแน่นอน นอกจากข้าคนเดียว”
“ทำไมท่านถึงหน้าหนาเยี่ยงนี้นะ ข้าก็บอกอยู่ว่าข้าจะกลับบ้านของท่านแม่ ข้าไม่แต่งงานกับท่านหรอก เราเพิ่งพบหน้ากันเอง ทำไมท่านถึงยึดติดกับข้านักนะ”
“เจ้านี่ไม่เคยจดจำอะไรเลยสินะ”
“ท่านพูดอะไร มีอะไรให้ข้าจดจำกัน”
หวังเยี่ยนหลงเพียงแต่เงียบ เขามองหญิงสาวด้วยแววตาที่คาดดำไม่ได้ ราวกับว่าเขากำลังซ่อนความทรงจำบางอย่างเอาไว้
“นั่งเงียบๆ แล้วรอถึงจวนของข้าเถอะ” หวังเยี่ยนหลงพูดตัดบท พลางหันไปมองทางอื่นแทนการที่ต้องสนทนากับหญิงสาวที่พูดจาไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ปล่อยให้เหม่ยซินนั่งครุ่นคิดและสงสัยในใจต่อไป