บทที่๗...หนีตาย (๑)
บทที่๗...หนีตาย
แม้สกิลการขับรถของเขาจะอยู่ในขั้นดีมากแต่หากให้หนีลูกกระสุนแบบนี้ก็ไม่ไหวเช่นเดียวกัน เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับกระจกด้านหลังที่แตกเป็นรูใหญ่ เปมิกาหมอบต่ำพลางมองเขาด้วยความเป็นห่วงกลัวจะโดนลูกหลง
“ให้ตายนี่มันไม่ใช่ในหนังนะ”ตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้นใจ เรื่องของตนก็ไม่ใช่ทำไมต้องหาห่วงมาผูกคอด้วย พยายามขับรถหลบด้วยความที่เป็นตอนเที่ยงรถจึงเยอะพอเขามาถึงก็ต้องติดไฟแดงมองข้างหลังเห็นรถมันขับตามมาไม่หยุดตัดสินใจพาเปมิกาลงจากรถทันที
“ลงมา”บอกคำเดียวหญิงสาวก็ทำตามอย่างว่าง่ายรีบลงจากรถยนต์โดยลืมของสำคัญไว้วินาทีนี้ขอแค่เอาชีวิตรอดเป็นพอ ร่างสูงจับมือบางแล้วชวนวิ่งเข้าไปภายในซอยด้านข้างที่มีตลาดสดซึ่งแม้ค้าเริ่มมาตั้งแฝงกันแล้ว
“เอายังไงดีคุณ”มองด้านหลังขณะวิ่งก็เอ่ยถามภราดร ชุดที่เขาใส่ไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นักแต่จะถอดตอนนี้ก็กลัวเสียเวลา
“เราต้องหาที่ซ่อน”แม้มันยังไม่ตามมาแต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่ามันจะปล่อยพวกเขาไป อยากถามเหลือเกินว่าเธอไปทำอะไรจึงถูกไล่ล่า
“เอาอย่างนี้แล้วกัน”เห็นรถกระบะที่ข้างหลังเป็นคอกเหล็กไว้สำหรับขนผัก มองซ้ายขวาแล้วจึงตัดสินใจขึ้นไปอยู่หลังกระบะ
“ขึ้นมาเร็ว”บอกเสียงเข้มจนเปมิกาไม่กล้าคัดค้านต้องขึ้นไปตามเขาแล้วหลบหลังตะกร้าสานขนาดใหญ่สำหรับใส่ผักพร้อมทั้งเอาผ้าไวนิลสีหม่นมาคลุมตัวไว้
“พวกมันหายไปไหนวะ”ได้ยินเสียงพวกนั้นที่วิ่งตามมาหยุดยืนไม่ไกลนักเพราะเสียงชัดเหลือเกิน ร่างบางสั่นด้วยความกลัวจนภราดรต้องโอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้เธอมีเขาและจะปกป้องให้ปลอดภัย
“แยกย้ายกันไปหา หาให้เจอนะมึง”ฝีเท้าก้าวออกไปอย่างรวดเร็วภายในใจนักแสดงสาวก็ภาวนาให้พวกมันไม่เจอเธอ หัวใจสองดวงเต้นเร็วด้วยจังหวะที่พร้อมกัน
“ข้าคงมาวันมะรืน พรุ่งนี้ไม่ว่างต้องเข้าสวน เออ ขอบใจเอ็งมาก”เพราะพยายามเงียบแล้วเอียงหูฟังพวกมันจึงไม่ได้ยินเสียงคุณลุงที่ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับบนรถกระบะคันกลางเก่ากลางใหม่ที่พวกตนนั่งขณะนี้ รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากตลอด
“คุณทำไมรถเคลื่อน”ตกใจจนสติกระเจิงจะเอาผ้าคลุมออกแต่ภราดรจับมือเธอเอาไว้
“อย่าพึ่งเอาออก! เดี๋ยวพวกมันเห็น”ตอนนี้ต้องเชื่อใจกัน เปมิกาจึงลดมือลงกอดลำตัวของตนเองเอาไว้ขอให้ตนเองรีบผ่านเหตุการณ์ระทึกนี้ไปโดยเร็วด้วยเถอะ รถเคลื่อนออกไปนานจนเชื่อว่าออกมาจากตลอดแล้วรองประธานหนุ่มจึงค่อยๆ เปิดผ้าออก
“เราอยู่ที่ไหน”มองโดยรอบมีแต่ป่าพวกเขาคงออกมาไกลแล้วเป็นแน่ ร่างสูงถอนหายใจกำมือแน่นด้วยแค้นเคืองตนเองที่เลือกมาหาเปมิกาทั้งที่จริงตอนนี้เขาควรนั่งทำงานในห้องเตรียมประชุมในช่วงบ่าย
“ฉันจะไปรู้ไหม ก็อยู่ด้วยกัน”ตอบเสียงเครียดเอาผ้าออกไปแล้วลูบใบหน้าตนเองอย่างหมดหนทางเพราะเขาไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยนอกจากเงินในกระเป๋ากางเกงที่มีติดตัวเพียงห้าร้อยบาทไม่ต่างจากเปมิกา
“บอกให้เขาจอดรถเถอะ”ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียและเธอก็ไม่พร้อมจะเป็นที่รองรับอารมณ์ให้เขาด้วยจึงตัดสินใจจะบอกให้จอดรถแต่ภราดรกลับห้ามไว้ก่อน
“จะบ้าหรือ เธอเป็นดารานะอย่าลืม บ้านเขาคงอยู่ไม่ไกลหรอกรอให้ถึงก่อนค่อยบอก”กลัวเป็นข่าวกับเธอขนาดนั้นเลยหรือ หญิงสาวทำตามที่บอกอย่างว่าง่ายโดยไม่ต่อเถียงให้มากความ เวลาแบบนี้หากผิดกันก็มีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิม
เวลาการรอคอยช่างเนิ่นนาน แดดตอนเที่ยงร้อนจนต้องเอาผ้าไวนิลมาคลุมตนเองเอาไว้และด้วยความเพลียทั้งสองจึงนั่งหลับอยู่หลังรถจนกระทั่งรถจอดและคนขับลงมาเปิดท้ายกระบะเอาตะกร้าลงจากรถมาเห็นหนุ่มสาวที่สลบไสล
“เฮ้ย”เสียงดังร้องขึ้นปลุกทั้งสองให้ตื่น ดวงตาเรียวมองไปทั่วก็พบบ้านไม้ยกพื้นใต้ถุนสูงหลังหนึ่งโดยรอบปลูกต้นไม้เอาไว้เต็มจนร่มรื่น
“พวกคุณเป็นใคร”คำถามแรกที่เจอกันต้องมองหน้ากันทันที ภราดรรีบยิ้มการค้าทั้งยังบอกให้เปมิกาลุกขึ้นอีกด้วย
“ผมกับแฟนโดนไล่ล่าครับลุง ไม่มีที่หลบเลยมาหลบหลังกระบะลุง”ใบหน้าหวานมอมแมมจึงคิดว่าคุณลุงคนขับรถคงจำไม่ได้เขาเลยได้โอกาสสวมรอยโดยบอกสถานะปลอม
“จริงหรือ ไม่ใช่ไปทำความผิดมานะ”ลุงที่สูงไม่ถึงไหล่เขาเอ่ยถามแล้วช่วยสองหนุ่มสาวให้ลงมาจากรถ ดูจากการแต่งตัวที่ผู้ดีเกินจะโกหกใจครึ่งหนึ่งจึงเชื่อแต่ก็ยังคงระแวง
“ไม่ครับ ผมกับเมียทำงานสุจริต”เห็นเขายิ้มใบหน้าหวานก็ยกยิ้มตามด้วย การยิ้มของคนยิ้มยากทั้งสองจึงอาจจะดูแปลกไปเสียหน่อย
“อย่างนั้นหรือ”มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเนื้อตัวทั้งคู่มอมแมมราวลูกหมาไปคลุกดินโคลนมาก็นึกสงสารทั้งหน้าตายังดูซื่อไม่มีผิดภัยจะแปลกก็แต่นางหนูผู้หญิงช่างดูคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน
“ขอบคุณลุงมากที่ให้ติดรถมา ผมกับแฟนคงต้องกลับไม่ทราบว่าแถวนี้พอจะมีรถไปกรุงเทพฯไหมครับ”ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมมือก็ยังจับหญิงสาวไว้ไม่ปล่อยเพื่อแสดงละครให้แนบเนียน
“โหยคุณ ตอนนี้ไม่มีรถแล้ว”คำตอบที่ไม่คาดว่าจะได้ยินทำให้สองหนุ่มสาวงงจนต้องหันไปมองหน้ากัน
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็นี่มันเพชรบุรีนะคุณ อีกอย่างสวนผมก็ห่างจากถนนใหญ่ตั้งสิบกิโลกว่าจะออกไปถึงถนนใหญ่อีก แถมรถจากตัวอำเภอเข้าในเมืองก็มีเที่ยวเดียวด้วย นี่ก็ห้าโมงกว่าแล้วไม่มีใครเขาเข้าเมืองหรอก”คำพูดร่ายยาวเป็นข้อมูลชั้นดีทำให้ภราดรเบิกตากว้างด้วยไม่คิดว่าเขาหลับมาเป็นเวลาห้าชั่วโมง!
“ทำไม”เปมิกาพูดไม่ออกเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แสงแดดยังจ้าอยู่ จะห้าโมงได้อย่างไรในเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรงจนถึงตอนนี้
“คงเพลียจนหลับสิ เลยไม่รู้ว่าผมขับรถมาไกลขนาดนี้”พยักหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไร แผนการที่จะกลับกรุงเทพถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีทำเอาคอตก
“พรุ่งนี้ค่อยเข้าก็ได้เดี๋ยวผมไปส่งอยู่ตัวอำเภอ วันนี้นอนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”ด้วยความใจดีก็เอ่ยชักชวนอย่างมีไมตรี เปมิกาหันมามองหน้าเขาเพื่อถามความเห็น
“เอายังไงคะ”พูดเสียงเบา
“จะทำอะไรได้ ก็ตามนั้นแหละ”เหตุการณ์บีบบังคับให้ต้องเป็นเช่นนั้นทั้งสองจึงเดินตามคุณลุงไปโดยท่านให้นั่งแคร่ใต้ถุนบ้านส่วนตนก็กุลีกุจอไปตักน้ำฝนกลิ่นหอมดอกมะลิมาให้แขก
“ตาม่อนมาแล้วเหรอ”เสียงเอะอะดังขึ้นหลังบ้านพร้อมการปรากฏตัวของคุณป้าที่ใส่เสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงสีซีดเดินถือตะกร้าผักมา
“มาแล้ว พึ่งถึงเมื่อตะกี้”สองสามีภรรยาโต้ตอบกันก่อนที่คุณป้าจะหันมาเจอหนุ่มสาวผิวขาวนวลแปลกตา แม้หน้าตามอมแมมแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความงามของใบหน้าได้ ท่านหรี่ตาลงเพราะคุ้นหน้าผู้หญิงชอบกล
“แล้วนี่ใครล่ะ”น้ำเสียงที่ไม่ได้แข็งหากก็ไม่เป็นมิตรเอ่ยถามสามีตนเอง วางตะกร้าไว้ที่ห้องครัวแล้วเดินมาหาสองหนุ่มสาว
“สวัสดีค่ะ”เปมิกากับภราดรยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความนอบน้อม ไม่รู้จะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไรเพราะแค่เริ่มเรื่องเธอก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกันจนต้องเป็นหน้าที่ของท่านรองประธานต้องเล่า ร่างสูงจำต้องยิ้มให้ป้าและจับมือภรรยาตัวปลอมเอาไว้
“ผมกับเมียโดนไล่ล่าครับ พอดีขึ้นมาหลบอยู่หลังรถคุณลุงเผลอนอนหลับตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”คำกล่าวไม่เกินจริงนักแต่คนสูงอายุกว่าก็ยังสงสัย
“แล้วไปทำอะไรให้เขาไล่ล่าได้เล่า”เรื่องนี้แม้แต่ชายหนุ่มเองก็ยังไม่รู้หากก็จำต้องแต่งเรื่องเล่าไปก่อน
“มันชอบเมียผม เลยอยากได้ไปเป็นของมันพอจะมาแย่งผมก็ไม่ยอมเลยต้องหนีมาแบบนี้”การแต่งเรื่องสดทั้งที่หัวเขาตื้อก็ทำให้ลุ้นตัวโก่งว่าคุณป้าจะเชื่อที่เล่าหรือเปล่า
“จริงหรือ”คนแก่อายุกว่าหันมาถามหญิงที่นั่งเงียบราวกับเป็นใบ้บ้าง
“จริงค่ะ”เธอหลบตาท่านแล้วหลุบมองต่ำใช้วิชาการแสดงเข้าช่วยเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อซึ่งในที่สุดคุณป้าก็ถอนหายใจเอื้อมมือไปตบบ่าเล็กเบาๆ
“น่าสงสารจริง ถ้าอย่างนั้นคืนนี้นอนที่นี่ไปก่อนแล้วกันพรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางว่าจะเอาอย่างไรต่อไป”ไม่น่าเชื่อว่าในยุคนี้จะมีชาวบ้านใจบุญช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน
“ตัวมอมแมมเชียวไปอาบน้ำข้างหลังบ้านก่อนไหม เดี๋ยวข้าไปเอาผ้าขนหนูกับผ้าถุงมาให้”เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงเอ่ยถามทั้งสองก็ได้รับการพยักหน้า
“ขอบคุณนะคะ”เปมิกายกมือไหว้ท่านทั้งสองที่มีพระคุณให้ที่พักอาศัยในระหว่างนี้ เพราะหากไม่มีลุงกับป้าเธอกับภราดรก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน
“ไม่เป็นไร ช่วยกันไป ว่าแต่เอ็งเป็นผัวเมียกันใช่ไหม แต่งงานกันหรือยังล่ะ”คำถามนั้นทำให้สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากันและด้วยความเร็วร่างสูงก็รีบเปลี่ยนจากกุมมือมาเป็นโอบเอวบางไว้แทนพร้อมยิ้มให้คุณป้า
“แต่งแล้วครับ ตอนนี้กำลังวางแผนมีลูก”ได้ยินแล้วคุณป้าก็หัวเราะออกมา
“ไอ้เรื่องมีลูกต้องวางแผนด้วยหรือ ข้ากับตาแก่มีเป็นคอกไม่ได้วางแผนอะไรเลย แต่พอโตขึ้นก็แยกย้ายออกไปมีครอบครัวจะมาหาก็แต่เทศกาลเท่านั้น ก็อย่างว่าลูกเราเลี้ยงเขาได้แต่ตัว”บ่นให้ฟังแล้วเดินไปหยิบของสำหรับอาบน้ำมาให้
“คุณพูดบ้าอะไร”ลับหลังคุณป้าร่างบางก็หันมาทำตาดุใส่อีกฝ่ายทันที
“แล้วจะให้ฉันบอกว่ายังไงล่ะ ไม่ต้องห่วงเขาจำเธอไม่ได้หรอกทีวีในบ้านก็ไม่มี”มองดูแล้วสองคนน่าจะไม่รู้จักเปมิกาหากใช้แผนนี้ก็คงไม่เป็นผลเสียเท่าไหร่นัก ไม่นานคุณป้าก็มาพร้อมผ้าขนหนูสองผืน ผ้าถุงสำหรับผู้หญิงและโสร่งสำหรับผู้ชาย
“นี่ของเอ็งพ่อหนุ่ม ใส่โสร่งเป็นไหม”ตั้งแต่เกิดมาเขารู้จักโสร่งแต่ก็ไม่เคยใส่สักทีจึงต้องส่ายหน้า
“อ้าว ตาม่อน ตาม่อนเอ้ย มาสอนพ่อหนุ่มคนนี้นุ่งผ้าหน่อย”ตะโกนดังเพราะคุณลุงไปล้างผักอยู่ในครัวก่อนจะรีบกุลีกุจอออกมา
“ใส่ไม่เป็นหรือ”ส่ายหน้าแล้วมองผ้าโสร่งในมือตน เกิดมาเขาเคยใส่ที่ไหนเห็นแค่ในหนังสือตำราเท่านั้น เปมิกามองเขาแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้จนอีกฝ่ายต้องหันมามองด้วยแววตาดุ
“แล้วนางหนูใส่ซิ่นเป็นไหม”คุณป้ายื่นซิ่นหรือผ้าถุงให้ร่างบางซึ่งรับมาแล้วพยักหน้าแข็งขัน
“เป็นค่ะ แม่เคยสอนให้ใส่”ชายหนุ่มเหลือบไปมองเปมิกาหลังจากได้ยินคำตอบของเธอ อีกคนก็ไม่ได้ขยายความมากนักนอกจากหยิบขันและผ้าถุงเดินไปทางหลังบ้านของลุงป้าทันที พื้นใต้ถุนบ้านเป็นปูนหากแต่เมื่อมาทางหลังบ้านเป็นดินที่มีหญ้าขึ้นบ้างประปราย
“อย่าบอกนะว่า”มองห้องน้ำที่ว่ามีแค่โอ่งใบหนึ่งตั้งอยู่ข้างกันคือโต๊ะไม้มีทั้งสบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ยาสีฟันไม่มีแม้แต่สังกะสีหรืออิฐล้อมรอบ เปิดโล่งให้เห็นวิวธรรมชาติอย่างท้องนาแต่อาจจะดีขึ้นมาคือต้นไม้ใหญ่บังเอาไว้ซึ่งต้นไม้ก็มีไฟให้ความสว่าง