บทที่๔...แค่คนรู้จัก (๒)
ข้างกายว่างเปล่าไม่พบใครสักคนมีเพียงร่องรอยที่ทำให้รู้ว่าเมื่อคืนยังมีหนุ่มร่างสูงอยู่ในห้องนี้ สายตาเรียวยาวเหลือบไปเห็นเงินที่วางเอาไว้บนโต๊ะเล็กตรงหัวเตียง
อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลเมื่อพบว่ามันคือเงินสามร้อยบาท เขาตีค่าผู้หญิงอย่างเธอคืออีตัวที่ใช้ร่างกายเข้าแลก ราคาถูกยิ่งกว่าน้ำมันรถของอีกฝ่ายเสียอีก เรื่องทั้งหมดก็เพราะตัวเองทั้งนั้น คนผิดมันคือเธอคนเดียว ทั้งที่เมื่อคืนแอบหวังว่าตื่นมาจะเจอภราดรนอนข้างกายแต่ความจริงก็ตอกย้ำให้รู้ว่าเธอแค่คิดไปเองคนเดียว สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นรู้คือเธอมันก็แค่ผู้หญิงหากินคนหนึ่ง!
กลับมาที่ปัจจุบันเปมิกามองเงินในมือแล้ววางเอาไว้ที่เดิม เธอไม่ต้องการเงินของเขาแม้แต่สตางค์เดียว หลายคนอาจจะมองว่าให้ฟรีแต่จริงๆ แค่ต้องการความรู้สึกจริงใจให้กันบ้างก็เท่านั้นแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะให้ไม่ได้เลย เขามองความสัมพันธ์ทางกายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนความสุขสมทางอารมณ์เท่านั้น
หลังจากตื่นดาราสาวก็ลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากคอนโดของเขาโดยมีเงินในกระเป๋าแค่หนึ่งร้อยบาท ตัดสินใจเรียกแท็กซี่แม้จะแพงหน่อยเพราะห่างจากที่พักของตนเอง เจ็ดโมงครึ่งก็ถึงคอนโดคาดว่าศลิษาคงกลับไปแล้วจึงมุ่งไปห้องพัก
ตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบแต่งหน้าเพื่อไม่ให้ดูโทรมแต่ไม่มากเพราะกลัวช่างแต่งหน้าบ่นที่เธอโบกครีมมาก่อน หลังจัดการตนเองเสร็จก็ออกจากห้องขับรถไปที่กองถ่าย วันนั้นทั้งวันไม่มีสายเรียกเข้าจากชายหนุ่มคนเมื่อคืนที่ทำการอุกอาจบุกเข้าห้องเธอเลยราวกับเขาหายสาบสูญ
การถ่ายทำวันสุดท้ายผ่านไปด้วยดีพร้อมปิดกล้องอย่างเป็นทางการ อาจจะเร็วกว่ากำหนดเพราะคนมีปัญหาทำการบ้านมาจึงไม่ค่อยเทคเท่าไหร่ ร่างบางแทบจะถอนหายใจเพราะรู้สึกโล่งที่ไม่ได้เจอจรัญญาอีกแล้ว กองถ่ายนัดเลี้ยงปิดกล้องอีกสองวันซึ่งต้องดูตารางก่อนว่าคิวได้ไหมกลัวติดถ่ายอีกเรื่อง เปมิกาตัดสินใจกลับบ้านเพื่อพักผ่อน เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่นอนหลับอย่างเต็มอิ่มเพราะเหนื่อยจากการทำงาน
“ตื่นเดี๋ยวนี้นะเปรม”ยังไม่ทันจะเช้าก็ถูกปลุกโดยเพื่อนสนิทของตนเอง วันนี้เธอไม่มีงานและแน่นอนว่าแผนคือการนอนทั้งวันด้วยเหนื่อยสะสมมาหลายวันแล้ว
“อืม ค่อยคุยได้ไหม”หันหน้าหนีจากการก่อกวนแต่ศลิษาก็ไม่ยอมเธอดึงแขนเพื่อนให้ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ได้ ต้องคุยตอนนี้ เดี๋ยวนี้!”เมื่อเห็นเพื่อนไม่ยอมตื่นเธอก็จัดการใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงร่างบอบบางให้ลุกนั่งทั้งยังสั่งด้วยเสียงและแววตาเข้มว่าห้ามขัดขืน
“ไม่เอา ฉันจะนอน ตอนนี้พึ่งจะเช้าเอง”
“เช้าที่ไหนกัน นี่มันบ่ายโมงแล้ว”ว่าจบก็เดินไปเปิดม่านทึบทำให้แสงแดดส่องเข้ามาจนดาราสาวเอามือปิดตาไว้แทบไม่ทัน ไม่คิดว่าจะเช้าเร็วขนาดนี้
“แล้วแกมีอะไรมากวนเวลานอนคนอื่น”อยู่กันสองคนเปมิกาก็กลายเป็นคนพูดมากได้เหมือนกันเพราะเธอไว้ใจว่าเพื่อนคนนี้ไม่ทรยศหรือหักหลังตนเองแน่นอน ศลิษามองใบหน้าหวานแล้วถอนหายใจ ดูท่าคงยังไม่เห็นข่าวที่ออก
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกแกเองว่าที่มาหาเพราะอะไร”เปิดกระเป๋าตนเองแล้วหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อดังขึ้นมากดสักครู่ก็ส่งให้เพื่อนที่นั่งทำหน้าง่วงอยู่บนเตียง แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเห็นข่าวคงตื่นเต็มตาเองนั้นแหละ
“อ่ะ ดูเอา”เปมิการับมาจากเพื่อนก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบหัวข้อข่าวจากสำนักข่าวชื่อดังซึ่งไม่ค่อยถูกกับเธอเท่าไหร่นัก ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจถึงได้โจมตีแทบทุกวันข่าวเบาบ้างหนักบ้างแต่ก็ปล่อยผ่านตลอดไม่อยากมีเรื่อง แต่ครั้งนี้..
ภาพเธอกับภราดรเมื่อคืน!
“ตกใจล่ะสิ ฉันเนี่ยต้องตกใจ เล่าให้ฟังเลยนะว่าไปยุ่งเกี่ยวกับพี่ดลได้ยังไง ฉันนึกว่าแกกับเขาจะอยู่คนละโลกกันซะอีก”อาจจะเพราะภาพที่ไม่ชัดแต่ก็ดูออกว่าผู้หญิงเป็นเปมิกากำลังโดนผู้ชายคนหนึ่งจูงแขนมาขึ้นรถทั้งรูปกอดจากด้านหลังอีก
“ไม่มีอะไรหรอก”หากให้พูดก็คงยาวเปมิกากำลังตกใจจึงไม่อยากเล่าให้เพื่อนฟังทั้งที่สติตนเองยังไม่เต็มร้อย
“จะไม่มีได้ยังไง กอดกันขนาดนี้ไม่ใช่แค่พี่น้องแล้ว”เม้มปากแน่นพลางคิดหนักว่าควรตอบโต้กับสื่อในเรื่องนี้อย่างไร ดีที่เธอไม่มีงานอีเว้นท์ไม่ต้องเจอกับฝูงนักข่าวซอมบี้ที่จะมาไล่ล่าหากปล่อยไปเดี๋ยวทุกคนก็ลืมเอง
“ฉันยังไม่พร้อมเล่า”บอกมาแบบนั้นศลิษาก็จำต้องถอนหายใจด้วยความขัดใจ ถ้าหากเปมิกาพูดแบบนี้แสดงว่าเรื่องคงหนักหนาเหมือนกันจึงไม่พร้อมจะพูด
“ฉันอยากรู้จริงๆ นะแต่ถ้าแกไม่เล่าฉันก็จะรอแล้วกัน”ยืนกอดอกมองเพื่อนก็สงสารจึงนั่งลงแล้วกอดเปมิกาเอาไว้ มือนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้วกอดตอบคนตัวเล็กกว่า
“เรื่องที่กำลังเผชิญตอนนี้มันคงหนักมากสินะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”เห็นแววตาเจ็บปวดเมื่อครู่ศลิษาก็อดสงสารเพื่อนไมได้ ชีวิตของเปมิกาไม่เคยมีความสุขจริงๆ กับเขาสักทีพบแต่ความเจ็บปวดและความสูญเสียตลอดเวลาจนบางครั้งอยากหาคนที่ดีมายืนข้างเพื่อนแต่ก็ไม่เคยมีใครทะลุกำแพงเข้ามาในใจของเพื่อนตนได้เลย
“อยากรู้จริงๆ ใครมันถ่ายไว้ ต้องเป็นพวกอยากดิสเครดิตเธอแน่เลย”ผละจากเพื่อนแล้วออกความคิดเห็นอย่างคับแค้นใจแทน
“แล้วจะเอายังไงต่อไป แก้ข่าวไหม”ส่ายหัวอย่างจนปัญญาจะตอบ
“ไม่รู้เหมือนกัน คิดอะไรไม่ออกเลย”มืดไปหมดไม่รู้ว่าตอนนี้ภราดรจะทำอย่างไรเช่นกัน แต่เขาคงไม่คิดมากเพราะมีข่าวกับดารานับครั้งไม่ถ้วน ส่วนมากก็มีแต่เลิกราทั้งนั้นคนอ่านข่าวอย่างเธอก็นั่งเจ็บปวดอยู่คนเดียว
“เอ่อ แต่จริงๆ พี่ดลเขาแก้ข่าวแล้วนะ”ค่อยๆ เอ่ยบอกทำให้เปมิกาหันมองเพื่อนอย่างสนใจ
“เปิดให้ดูหน่อย”ศลิษาค้นหาข่าวซึ่งชายหนุ่มให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ระหว่างเธอเดินทางมาหาเปมิกา
“อ่านดูแล้วกัน”ยื่นกลับไปให้เพื่อนด้วยความไม่สบอารมณ์ในคำตอบนั้นเท่าใด คำตอบส่วนมากราวกับถูกเตรียมเอาไว้อย่างดีแล้ว เธอไล่อ่านข้อความด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าราวความรู้สึกมันด้านชาไปเสียแล้ว
‘ข่าวที่ออกมาเป็นภาพคุณภราดรกับน้องเปรมใช่ไหมครับ’
“ไม่ใช่รูปผมแน่นอนครับ ผมรู้แค่เธอว่าเป็นนักแสดงแต่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวขนาดถึงตัว”
‘แต่ด้านข้างและรูปร่างคล้ายคุณมากนะครับ’
“รูปร่างแบบนี้ใครก็ปั้นได้ครับ ผมไม่คิดว่าเป็นผมนะหรือว่าคุณมีรูปที่ชัดกว่านี้ไหม”
‘ถ้าอย่างนั้นคุณคิดยังไงกับข่าวที่ชี้มาที่คุณครับ’
“ไม่ได้คิดครับ เพราะว่ามันไม่ใช่ความจริงก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไรให้มาก แค่นี้ใช่ไหมผมมีงานต้องทำต่อ”การสัมภาษณ์สิ้นสุดตรงนั้น มีเพียงคำเล็กน้อยนอกนั้นก็การบรรยายความคิดของนักข่าวที่เขียนลง มือเธอไร้เรี่ยวแรงจนต้องวางทิ้งข้างลำตัว
“ไหวไหมเปรม”เอามือแตะไหล่เล็กถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวสิ ฉันต้องไหวอยู่แล้ว”ภาพแตกจนไม่เห็นหน้าฝ่ายชายแต่ฝ่ายหญิงเห็นว่าเป็นเธอเต็มๆ เขาไม่แม้แต่จะปกป้องกลับปัดความรับผิดชอบทั้งที่ความจริงผู้ชายคนนั้นคือเขา
“ไม่เป็นไรนะคนดีของลิซ”กอดเพื่อนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเปมิกาจะร้องไห้ ผู้หญิงที่เข้มแข็งเวลาร้องไห้กลับดูเปราะบางราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาเรียวภาพเมื่อคืนหลั่งไหลเข้าหาไม่ขาดสายตอกย้ำให้รู้ตัวตนเองนั้นแสนจะโง่เง่าที่หลงบินเข้าไปในกองไฟจนสุดท้ายมันก็แผดเผาร่างกายจนไม่เหลือแม้แต่ปีกให้บิน
บริษัทวิจิตร จำกัด(มหาชน) ไม่เพียงแค่รับแค่งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้นแต่ยังขยายไปถึงอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม หลายงานได้รับคำชมจากลูกค้าอีกทั้งมีงานครั้งต่อไปอยู่เรื่อยเช่นเดียวกันกับครั้งนี้
“ห้องประชุมเล็กพร้อมแล้วครับ”นิรัชเข้ามาบอกเจ้านายของตนเองที่เปิดเอกสารดูด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“เข้าใจแล้ว”ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก้าวออกจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมติดกระดุมเสื้อสูทกลายเป็นหนุ่มนักบริหารสุดหล่อที่กุมหัวใจสาวทั้งบริษัทเอาไว้ คุณภราดรถูกกล่าวถึงในเรื่องความหน้าตาดีและเก่งมีหลายคนอยากจับเพราะว่าเขายังโสดหากแต่ท่านผู้บริหารก็ไม่เคยจะมองสาวในออฟฟิศเลยสักคน
“คนอื่นมาครบแล้วใช่ไหม”วันนี้เป็นการเจรจากับบริษัทใหญ่ของไต้หวันที่จะมาสร้างโรงแรมในไทยโดยต้องการรูปแบบที่พิเศษ เขาเตรียมทั้งวิศวกร สถาปนิกหลายคนเพื่อคุยรายละเอียด งานนี้กำไรกว่าร้อยล้านที่จะเข้าจึงไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปได้
“รอที่ห้องประชุมแล้วครับ”ภายในห้องประชุมเล็กเป็นโต๊ะยาวโค้งสองตัวหันเข้าหากันใช้สำหรับคุยธุรกิจโดยเฉพาะ ผนังเป็นกระจกใสที่มองเห็นวิวโดยรอบใครมาก็ชอบใจห้องนี้ทั้งนั้น
“สวัสดีครับ”เมื่อเข้ามาภายในห้องทั้งวิศวกรและสถาปนิกก็ทักทายรองประธานอย่างนอบน้อม ทุกคนดูเกร็งเพราะสำหรับภราดรแล้วทุกอย่างต้องเพอร์เฟคจนผู้ร่วมงานต้องอกสั่นขวัญแขวนว่าระเบิดจะลงตนเองหรือเปล่า
“เชิญนั่ง”เขานั่งตรงกลางของโต๊ะฝั่งซ้ายอย่างมาดของผู้บริหาร อีกด้านว่างเปล่าเพราะลูกค้ายังไม่มา ตอนนี้ทีมของบริษัทจึงต้องพูดคร่าวๆ ถึงการนำเสนอวันนี้ก่อน อีกที่จริงครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการพบกันของผู้บริหารจาก วิจิตร จำกัด(มหาชน)และผู้บริหารจาก TYU Group ที่มีกิจการมากมายหนึ่งในนั้นคือโรงแรมซึ่งมีสาขากว่าหนึ่งร้อยแห่งทั่วโลกและตอนนี้กำลังจะมาสร้างอีกสาขาที่ประเทศไทยภายใต้ชื่อ Emerald Mahanakon
“มากันแล้วครับ”เลขาคนสนิทกระซิบบอกท่านผู้บริหารหนุ่มหล่อ เขาพยักหน้าก่อนประตูจะเปิดออกมีคนจากฝั่ง TYU Group เข้ามาหลายคนจนกระทั่งคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาทำให้ดวงตาเรียวนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
“สวัสดีค่ะทุกคน ขอโทษที่มาช้านะคะ”ร่างบางในชุดเดรสแนบตัวสีแดงสวมทับด้วยแจ็คเกตเนื้อดีสีขาว ผมลอนถูกปล่อยสยายกลางแผ่นหลัง ใบหน้าหวานที่ถูกแต่งแต้มอย่างดีมองโดยรวมแล้วเธอสวยจนคนในห้องต่างตกตะลึง
“ขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ฉันชนัญชิดา โรจน์ประธานกุล ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าดูแลโครงการนี้ค่ะ”รอยยิ้มของเธอกระจายให้กับทุกคนก่อนจะมาหยุดยิ้มให้ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายืนขึ้นมองเธอนิ่งไม่ได้ยิ้มตอบแต่อย่างใด ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยสักนิด...
ตอนที่เขายังเป็นเด็กปีสองไล่ตามเธอ