บทที่ 5
อีเลียต จอห์น โรเจอร์ส นั้นเป็นคนใจคอเด็ดเดี่ยวมากและเชียล่าก็เป็นลูกสาวที่ถ่ายทอดมรดกในเรื่องนี้มาจากเขา ดังนั้นเธอจึงยืนขึ้น เผชิญหน้ากับพ่อแม่อย่างไม่พรั่น
“ทั้งพ่อและแม่ไม่เข้าใจแบรดหรอกค่ะ” น้ำเสียงของเธอบอกความน้อยใจ “พ่อกับแม่ไมรู้จักเขาอย่างที่หนูรู้จักหรอกค่ะ เพราะไม่ต้องการรู้จักเขาจริงๆนั่นเอง เพราะฉะนั้นในกรณีย์นี้หนูว่าพ่อกับแม่คิดผิดนะคะ”
“เชียล่า นั่นไม่จริงเลยลูก” ผู้เป็นมารดาร้องขึ้นเหมือนจะทักท้วง แต่เชียล่าเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นนั้นแล้ว
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรกันอีก โดยเฉพาะเมื่อพ่อเข้ามาร่วมฟังอยู่ด้วย เชียล่าอาจจะพูดให้แม่เชื่อได้ แต่กับพ่อแล้ว พ่อเป็นคนที่เชื่อในความคิดเห็นของตัวเองอย่างยิ่งไม่เคยยอมฟังเสียงใครเลย จะมียกเว้นก็แต่แม่เท่านั้น เชียล่าจึงเดินกลับไปห้องเพื่อที่จะใช้ความคิด การที่จะให้พ่อแม่ทำตามความประสงค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เธอครุ่นคิดแต่ปัญหาเรื่องนี้ตลอดค่ำ ตลอดเวลาอาหารซึ่งนั่งรับประทานอยู่แต่เพียงลำพังพร้อมกับนั่งอ่านตำราเรียนไปพลาง หูก็คอยฟังโทรศัพท์จากแบรด อยากได้ยินเสียงเขา แต่แม้เมื่อเธอสวมเสื้อเตรียมตัวจะเข้านอนตอนเที่ยงคืนอยู่แล้ว เขาก็ยังไม่โทรมา เชียล่าปิดเปลือกตาลงหวังจะให้การหลับช่วยตอบคำถามให้เธอ
มีอะไรบางอย่างปลุกให้เธอตื่นขึ้น ศีรษะของเธอกลิ้งอยู่บนหมอนอย่างไม่ยอมรับ แต่ความรู้สึกมันบังคับ เชียล่าบังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้น พยายามต่อสู้กับความง่วงงุนที่กำลังฉุดรั้งเธอให้กลับไป
ห้องนอนมืดสนิท สิ่งเดียวที่สายตาพอจะจับได้คือพรายน้ำจากนาฬิกาที่วางอยู่ตรงหัวเตียง เข็มที่สว่างเรืองชี้บอกเวลาว่า ตีสามกว่าแล้ว ซึ่งทำให้เชียล่าต้องครางออกมาเพลียๆ ขณะคู้ร่างเข้าไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
มีเสียงเคาะเบาๆดังอยู่ในความมืด มันเป็นเสียงคล้ายคนกำลังเคาะกระจก เชียล่ายันกายขึ้นทันที ตั้งใจฟังเสียงอยู่ ประสาททุกส่วนในเรือนกายตื่นตัวเต็มที่ ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินเสียงนั้นจริงๆหรือคิดไปเอง
แต่มันก็ยังดังขึ้นอีก ใครคนหนึ่งกำลังเคาะอยู่ตรงกระจกประตูเลื่อนซึ่งเปิดออกสู่ระเบียงด้านหลัง ไม่มีอาชญากรคนไหนที่จะเคาะประตูก่อนเข้าห้องแน่ เชียล่าสะบัดผ้าห่มออก เลื่อนตัวลงจากเตียงนอน นึกรู้ขึ้นมาทันทีว่าจะต้องเป็นแบรด ไม่มีใครกล้ามาเคาะประตูห้องนอนของเธอกลางดึกเช่นนี้แน่
เธอเดินเท้าเปล่าตรงไปยังประตูกระจกบานเลื่อน ดึงสายม่านสีเขียวมรกต และแสงจันทร์ก็ส่องต้องร่างที่ยืนรออยู่ข้างนอก ผมสีบลอนด์ของเขาเป็นประกายคล้ายสีเงินยวงอยู่ในท่ามกลางแสงจันทร์ เธอกดปุ่มประตูให้เปิดออกและรับแบรดเข้ามา
“คุณมาทำไม?” เธอกระซิบถามเมื่อเขาเข้ามายืนอยู่ในห้องแล้ว “นี่มันตีสามแล้วนะ”
แสงจันทร์ที่ส่องต้องร่างของเขาที่ยืนอยู่ภายนอกเมื่อครู่ บัดนี้ได้ส่องผ่านประตูกระจกบานนั้นเข้ามาต้องร่างของเชียล่าด้วย ชุดนอนสีแดงที่สวมอยู่ยาวลงมาแค่เข่า ทำให้เห็นช่วงขาเปล่าเปลือยนวลละไมอยู่ในแสงจันทร์ แบรดกวาดสายตาสำรวจไปทั่วร่าง ซึ่งเท่ากับเป็นการชี้แนะเชียล่าให้รู้สึกตัวว่า ขณะนี้เธอแต่งตัวไม่เรียบร้อย โดยเฉพาะไม่ได้กลัดดุมเสื้อด้านหน้า ปลายนิ้วของเธอจึงรบอกเสื้อปิดไว้ทันที
“ผมรู้หรอกน่าว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” แบรดตอบอย่างไม่สนใจเดินเข้ามาหาด้วยยิ้มพรายบนใบหน้า “ผมเพิ่งออกเวรแล้วก็คิดว่าจำเป็นต้องมาหาคุณให้ได้”
“คุณน่าจะโทรศัพท์มานะคะ”
เขาวางมือลงบนไหล่ เชียล่าตัวเกร็งขึ้นมาทันที มันออกจะเป็นการไม่ถูกต้องที่แบรดจะเข้ามาอยู่ในห้องนอนของเธอยามนี้ แม้ว่าเธอใกล้จะแต่งงานกับเขาอยู่แล้วก็ตามที
“ก็ทำอย่างนี้ทางโทรศัพท์ไม่ได้นี่” เขาจูบเธออย่างดูดดื่ม แต่ไม่ได้รั้งร่างเข้าไปหา “ว่าแต่ว่า คุณยังรักผมอยู่หรือเปล่าล่ะ ฮันนี่?”
“คุณคงไม่คิดว่าฉันจะเลิกรักคุณได้ง่ายๆถึงเพียงนั้นไม่ใช่หรือคะ?”
บรรยากาศช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร เมื่อแบรดอุตส่าห์ขี่จักรยานยนต์ออสตินของเขามา เพียงเพื่อจะขอความมั่นใจว่าเธอยังรักเขาอยู่
“แล้วคุณเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ?” แบรดทำเสียงบังคับจะให้เธอตอบออกมาให้ได้
ไม่ค่ะ” เชียล่าสั่นศีรษะ “ฉันก็ยังรักคุณอยู่น่ะสิคะ”
เขาตวัดร่างเธอเข้าไว้ในอ้อมแขนทันที กกกอดไว้แน่น คางทาบอยู่กับเรือนผมสีทองเข้ม อ้อมกอดของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยขึ้นและก็ดูเขาจะพอใจกับการที่เพียงแค่ได้กอดเธอไว้เท่านั้น
ศีรษะของเธอซุกอยู่ระหว่างซอกคอเขา ไล้นิ้วอยู่กับอกเสื้อ ถอนหายใจออกมาอย่างเป็นสุข ขนตาหรุบลง
“คุณเสี่ยงมากนะคะ ที่เข้ามาถึงนี่ดึกๆดื่นๆอย่างนี้” เธอกระซิบอยู่กับปลายคางของเขา “พ่อฉันจะต้องไม่เชื่อใจคุณเรื่องอย่างนี้แน่เลย คุณน่าจะโทรศัพท์มาก่อนจริงๆนะ”
“แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้กอดคุณไว้ในอ้อมแขนอย่างนี้ แล้วก็ได้รู้ด้วยว่า คุณยังอยากแต่งงานกับผมอยู่จริงไหม..?” ริมฝีปากของเขาไล้จูบอยู่กับเรือนผม
“ค่ะ ฉันอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ คุณคิดหรือคะว่า ฉันจะมีนิสัยชอบที่จะรับผู้ชายเข้ามาในห้องนอนกลางดึกอย่างนี้?”
“คงไม่หรอก” แบรดตอบเคร่งๆและต่อด้วยคำพูดขรึมๆจริงจัง “ที่จริงผมก็อยากจะดทรมาหาคุณอยู่เหมือนกัน แต่กลัวพ่อแม่คุณจะสงสัยตอนที่เสียงกริ่งมันดังขึ้น แล้วก็อาจจะรับเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่มีโอกาสพุดอะไรในเมื่อพ่อแม่คุณคอยเงี่ยหูฟังอยู่”
เชียล่าขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เรื่องอะไรกันคะ?”
แบรดไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับประคองใบหน้าของเธอไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม
“คุณเป็นคนสวยเหลือเกิน เชียล่า รู้ตัวหรือเปล่า..การที่จะได้คุณมาเป็นเมียผมนั้นต้องถือว่าเป็นโชคมหาศาลทีเดียว แต่ผมก็คงต้องสอนให้คุณรู้จักอะไรบ้าง
“อืม..แล้วคุณก็คงจะเป็นสามีที่ดีพอใช้นะคะ” เชียล่าคล้อยตามคำพูดของเขา “แต่คุณพูดออกนอกเรื่องนี่ ยังไม่ได้ตอบเลยว่าต้องการจะพูดกับฉันเรื่องอะไร”
“บางที ผมควรจะโทรมาจริงๆ” เขาเหยียดยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน “เพราะมันยากจริงๆที่จะทำใจให้เป็นสมาธิได้ทั้งที่กอดคุณไว้อย่างนี้ ทั้งไหล่นุ่มๆและส่วนโค้งส่วนเว้นบนเนื้อตัวคุณแบบนี้มันทำให้ผมพูดไม่ออก” ฝ่ามือของเขาลูบไล้ไปตามเนื้อผ้าที่เรียบลื่นปานไหมของเสื้อนอนแขนยาวตัวนั้น ก่อนจะจับมือเธอไว้มั่น
“มาเถอะ หาที่นั่งเสียก่อน เราจะได้พูดจากันให้รู้เรื่อง”
เขาจูงเดินไปนั่งลงตรงปลายตีนเตียง เชียล่านั่งอยู่ในท่าคุกเข่า แบรดปล่อยมือจากเธอ เอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟตรงหัวนอน แสงสว่างอ่อนเรืองกระจายอยู่ตรงหัวเตียง
“นี่..ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังทำให้เรื่องมันดูลึกลับมากขึ้นทุกทีแล้วนะ” เชียล่าแสดงความประหลาดใจออกมาเบาๆ ขณะแบรดทรุดตัวลงนั่งห่างๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก” ยิ้มที่เหมือนจะแสดงออกถึงความเสียใจฉาบขึ้นบนริมฝีปาก “ไม่รู้สิ ตั้งแต่ตอนหัวค่ำที่คุณกลับมาแล้ว ผมก็คิดอยู่แต่เรื่องที่เราพูดจากันนะเชียล่า ผมเห็นจะรอที่จะแต่งงานกับคุณอีกตั้งปีไม่ไหวแน่”
“ใช่..ฉันเข้าใจ..มันดูไม่รู้จะสิ้นสุดตรงไหนเลยจริงๆ” เธอเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ถอนใจอย่างโศกสลด