๖ สันติสุข (๒)
“เปล๊า เริ่มกินดีกว่า ฉันหิวแล้ว...นายกินก่อนสิ” ผายมือให้คนตรงหน้าเริ่มรับประทานอาหาร ร่างสูงไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ แต่ก็ตักข้าวต้มคำโตเข้าปาก เพียงแค่รสชาติถูกลิ้นก็คายทิ้งแทบไม่ทัน รีบหยิบน้ำเปล่าดื่มตาม
“มาแปลก...แหวะ ป้าครับ เทน้ำปลาลงไปทั้งขวดเหรอ ทำไมมันเค็มแบบนี้ล่ะ กินหมดถ้วยตัดไตข้างหนึ่งทิ้งเลยนะ” รีบเหลียวมองป้าปรุงที่ทำหน้าเหลอหลา ท่านเหลือบมองร่างบางที่นั่งนิ่งด้วยอารมณ์ยากคาดเดา ลอบกลืนน้ำลายลงคอแล้วตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“เอ่อ ป้าว่ามันไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”
“ผมว่าฝีมือป้า เอ่อ ขอแค่กาแฟดีกว่าครับ” ยังคงมีความเกรงใจจึงเลือกไม่วิจารณ์ไปมากกว่านั้น คาดว่าคุณป้าอาจหยิบเครื่องปรุงผิดขวดทำให้ข้าวต้มแทบไม่มีรสชาติอื่นเลยนอกจากความเค็ม และเขาไม่อาจฝืนทานต่อไปได้
“ทำไม ข้าวต้มมันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องขอกาแฟ” คนที่นั่งตรงข้ามเหวกลับหลังจากนิ่งสักพัก สร้างความสงสัยแก่ร่างหนาจนต้องถาม
“แล้วเธอจะมาอารมณ์เสียใส่ฉันทำไม” บุคคลที่สามมองสองหนุ่มสาวที่ทุ่มเถียงกันก็รีบถอยห่างเพื่อไปเตรียมกาแฟให้เจ้านาย ปล่อยอณิรดาจ้องเขาตาขวาง หล่อนกำมือแน่นเมื่อเหลือบมองข้าวต้มที่ถูกตักเพียงแค่คำเดียวก็ต้องทิ้ง
“ไม่ได้อารมณ์เสีย!” ตบโต๊ะแล้วลุกออกไปข้างนอก หมดอารมณ์จะกินข้าวเช้า ปล่อยให้อนลมองตามพลางตะโกนถามไล่หลัง
“อ้าว เดินไปไหนล่ะ ไม่มาลองชิมข้าวต้มก่อนเหรอ...ป้าครับ เขาเป็นอะไร ประจำเดือนมาหรือเปล่า” ป้าปรุงเดินเข้ามาอีกรอบพร้อมกาแฟในมือ ท่านวางตรงหน้าชายหนุ่มแล้วพรูลมหายใจเสียงเบา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะซื่อจนเดาไม่ออก
“คุณเพลิงก็...ข้าวต้มชามนี้คุณพายอุตส่าห์ตื่นมาทำให้แต่เช้า ดูสิไปว่าเธอทำเค็ม” ร่างหนาชะงักแล้วมองข้าวต้มในชาม ไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมมันไม่อร่อย ที่แท้เป็นฝีมือของหล่อนนี่เอง
ขนาดนี้ป้าปรุงคอยช่วยเหลือ ยังทำอาหารที่กระเดือกไม่ลงได้...มีฝีมือซะจริง
“ก็มันเค็มจริงนี่ครับ อีกอย่างผมไม่ได้ขอให้เขาทำสักหน่อย ป้าเอาไปเททิ้งเลย ผมไม่กินหรอก...ใครจะกินลง” เลือกหยิบกาแฟมาดื่มเป็นอาหารยามเช้า เหลือบมองชามข้าวต้มไม่วางตา แต่ก็ยังสั่งป้าปรุงที่ทำหน้าปั้นยากไม่กล้าจะเอาไปทิ้ง เพราะเห็นถึงความตั้งใจของหญิงสาวเป็นอย่างดี
“คุณเพลิง” เรียกเจ้านายเสียงอ่อน
“ผมไปทำงานก่อนนะครับ” เขาดื่มกาแฟหมดแก้วแล้วลุกยืนเต็มความสูง ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนร่างบางก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร หยิบชามข้าวต้มไปถือไว้ในมือ
“ป้าปรุงไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวพายทิ้งเอง ทำเองทิ้งเองได้!” สะบัดหน้าใส่เขาแล้วเทข้าวต้มที่ตั้งใจทำทิ้งทันที ค่อยเดินออกจากบ้านไม่สนใจอนลที่ทำได้เพียงถอนหายใจ จังหวะที่ไม่มีใครสังเกตก็แอบหยิบข้าวต้มในชามหล่อนเอาไว้
เติมน้ำเปล่าแล้วต้มอีกรอบ...น่าจะพอกินได้บ้าง
ช่วงบ่ายเธอไปเล่นกับเด็กน้อยอยู่ท้ายเกาะ ความสุขเดียวที่เหมือนได้ย้อนวัย ไม่ต้องคิดอะไรมากเพียงปล่อยให้ตัวเองได้มีความสุข รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหล่อนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าไปแล้วหลังจากทางบ้านประสบปัญหาหนี้สินครั้งใหญ่
โดยที่เธอช่วยรักษาบริษัทเอาไว้ไม่ได้...
เด็กน้อยกับเด็กโข่งนั่งล้อมวงกันเพื่อเล่นหมากเก็บ เธอตั้งใจเป็นอย่างมากหลังจากแพ้หลายครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้โอ้อวดถึงความเก่งกาจเอาไว้ซะเยอะ แต่ดันมาแพ้ให้เด็กน้อยตัวเล็กซะได้
“เย้ ชนะแล้ว พี่ชนะแล้ว” ร้องตะโกนด้วยความดีใจเมื่อจัดการหมากตัวสุดท้าย แย้มยิ้มพลางปรบมือมีความสุข หล่อนไม่ถูกเด็กมองด้วยความดูแคลนแล้ว
“พี่พายโกงหรือเปล่า ทำไมเล่นได้หมดเลยล่ะ” หนุ่มน้อยผู้เป็นคู่อริกับเธอเริ่มสงสัย หรี่ตามองอย่างจับผิดแต่ก็ได้รับการส่ายหน้า
“โกงอะไร เปล่าโกงสักหน่อย มาๆๆ ยื่นแขนมาให้ตีซะ...ว้าย” รีบตัดจบปัญหาด้วยการทำโทษคนแพ้ แต่กลายเป็นว่าเอวเล็กถูกคว้าให้ลุกยืน เผยให้เห็นหมากเก็บอีกหลายอันที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ หล่อนรีบหันมองตัวการที่เปิดเผยความลับของตน
นายเพลิง!
“นั่นไง! เหลือหมากเก็บอีกตั้งสามอัน พี่พายโกงจริงด้วย” ทุกสายตาจับจ้องเธอ แต่อณิรดาก็ยินกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้เรื่อง
“เปล่านะ ก็พี่ไม่เห็นนี่น่าว่ามันอยู่ตรงนี้ พี่ไม่ได้โกงสักหน่อย...ใครบอกให้นายมาดึงฉัน” อธิบายกับเด็กน้อย ค่อยหันมาโวยคนที่ทำให้แผนการของตัวเองพัง มุมปากหยักยกยิ้มอย่างขบขันพลางนึกเอ็นดูเด็กโข่งที่ชอบมาเล่นกับลูกของคนงาน
“อายุปูนนี้ยังไปโกงเด็กอีก กลับบ้าน” พูดจบก็รีบจูงกึ่งลากหล่อนออกมาจากตรงนั้น หญิงสาวไม่วายหันไปโบกมือลาเพื่อนตัวน้อย
“ไว้เล่นกันใหม่นะ” ทุกคนรีบโบกกลับแล้วยิ้มกว้าง ไม่ได้ถือสาว่าพี่สาวคนสวยโกง เพราะมีคนเล่นด้วยย่อมดีกว่าอยู่แล้ว อีกอย่างพี่พายก็น่ารัก ชวนเล่นเกมที่พวกตนไม่ค่อยรู้ กลายเป็นเพื่อนต่างวัยเรียบร้อยแล้ว
อนลเหลียวมองคนที่พยายามเดินให้ทัน เขาไม่ยอมปล่อยมือจากเธอทั้งยังเพิ่มการก้าวให้ยาวกว่าเดิม ดวงหน้าหวานบึ้งตึงพลางมองมือของตนที่ถูกเขากุมเอาไว้ หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจากการเดินเร็วหรือเป็นเพราะอย่างอื่น...
“โอ๊ย จะลากฉันทำไมเนี่ย ปล่อยให้ฉันได้เดินดีๆ บ้างเถอะ...ว้าย อุ้มอีกแล้ว อุ้มแบบนี้อีกแล้วนะ!” อ้อนวอนเพราะเริ่มสงสารตัวเอง แต่พูดไม่ทันจบเขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองหล่อน ย่อกายเพื่ออุ้มร่างแบบบางพาดบ่าเหมือนทุกครั้ง สร้างความโมโหแก่เธอเป็นอย่างมาก
“เงียบ” สั่งเสียงเฉียบจนหล่อนเลือกเก็บปากเก็บคำ ถึงจะเวียนหัวหน่อยแต่ก็ดีที่ไม่ต้องเดินเองให้เมื่อ
“ทำเป็นเข้ม เหอะ” พึมพำเสียงเบาแต่เขาก็ได้ยิน ทว่าคร้านจะเอ่ยปากเพราะรู้ดีว่าสุดท้ายกต้องทะเลาะกัน ระหว่างทางเดินไปบ้านจึงมีเพียงความเงียบโอบล้อมระหว่างพวกเรา
ก้าวเท้ามาในบ้านก็วางหญิงสาวลงทันที เธอยืนนิ่งเพื่อปรับสมดุลร่างกาย แล้วเมินหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว เดินไปห้องรับแขกแล้วนั่งลงที่โซฟานุ่ม ขณะที่ร่างสูงเลือกจะขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ป้าปรุงก็ตรงข้ามาหาเจ้าของบ้านซะก่อน
“คุณเพลิงคุณพายมาพอดีเลย ป้าว่าจะไปตามมาทานข้าวเที่ยง ป้าทำไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ” เขาทำเพียงพนักหน้าเป็นการขอบคุณ ท่านจึงเดินออกจากบ้านเพื่อทำธุระของตัวเองบ้าง เพราะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ร่างบางนั่งเล่นโทรศัพท์แต่สัญญาณเน็ตก็ไม่ค่อยดี จึงวางโทรศัพท์ไว้ข้างกายแล้วเอนกายพิงพนักพลางหลับตา แต่ไม่นานก็ต้องลืมตาเพื่อรับสายที่โทรเข้าไม่มีปี่มีขลุ่ย ดูจากเวลาคงไม่ใช่มารดาอย่างแน่นอน
ตืด ตืด ตืด
เลขสิบหลักโชว์หราแต่ไม่แน่ใจว่าควรรับดีไหม หล่อนไม่อยากรับสายจากคนแปลกหน้า ทว่าพอไตร่ตรองอาจเป็นบริษัทสักแห่งที่รับเธอเข้าทำงาน จึงรีบกดเลื่อนเพื่อรับสาย
“สวัสดีค่ะ” กรอกเสียงหวานแล้วรอการตอบกลับ
‘พาย นี่พี่เอง...พี่ภีม’ เขาแนะนำตัวทันที จากที่นิ่งค้างก็ฉีกยิ้มกว้างเมื่อคนที่คุ้นเคยกลับมาเมืองไทย
ภีมภาคย์ วิชาเมษ เป็นพี่ชายข้างบ้านสมัยที่เธอยังอยู่บ้านหลังใหญ่โต เขาคอยช่วยเหลือเรื่องการบ้านและเป็นเพื่อนเล่น เพราะพวกเราอายุห่างกันแค่สองปีจึงค่อนข้างสนิทสนม เธอมักไปขอคำปรึกษาเรื่องเรียนเสมอ
แต่หลังจบมัธยมตอนปลาย พี่ชายแสนดีก็บินไปเรียนต่อต่างประเทศหลายปี จึงขาดการติดต่อแทบไม่ได้คุยกัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะโทรมาหาเธอ
“พี่ภีม! กลับจากเมกาแล้วเหรอคะ แล้วทำไมถึงรู้เบอร์พายล่ะ” น้ำเสียงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เหมือนเจอเพื่อนเก่าที่พึ่งพาได้
‘พี่เพิ่งกลับมาได้สองวัน รู้ข่าวเรื่องครอบครัวของพายก็รีบติดต่อ พายเป็นยังไงบ้างสบายดีไหม เห็นป้าฤดีบอกว่าไปเที่ยว จะกลับมาตอนไหนเหรอ...พี่เตรียมงานไว้ให้แล้วนะ’ ร่ายยาวจนเธอเข้าใจทุกอย่าง ท้ายประโยคไม่วายสร้างความดีใจให้คนที่กำลังตกงาน เรียนจบหลายเดือนแต่ยังหางานทำเป็นหลักแหล่งไม่ได้สักที
แสงไฟอันริบหรี่...กลับมีคนทำให้มันส่องสว่าง
“จริงเหรอคะ! พายไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่...แต่จะรีบกลับนะ พี่ภีมจะให้พายทำตำแหน่งอะไร” รีบถามเสียงตื่นเต้น เธอไม่สนใจเรื่องเส้นสายแล้ว นาทีนี้ขอหาเงินเพื่อดูแลครอบครัวตัวเองก่อน
เธอคุยโทรศัพท์โดยไม่สนใจว่ามีใครอีกคนเดินเข้ามาในห้อง ร่างหนาได้ฟังสิ่งที่หล่อนพูดก็นึกสงสัยว่าปลายสายเป็นใคร ทว่าเขาไม่ได้กระโตกกระตาก เลือกเดินมาหยุดนั่งข้างคนตัวเล็กกว่าจนเธอต้องเหลียวมอง ค่อยขยับตัวออกห่างเขาเล็กน้อย
‘เลขาของพี่เอง’ ตำแหน่งค่อนข้างใหญ่และต้องมีความรับผิดชอบ ใบหน้าหวานเหม่อชั่วครู่ยามได้รู้ว่าตนได้ทำตำแหน่งสูงพอสมควร
ครอบครัวของภีมภาคย์ทำธุรกิจเครื่องดื่มและความงาม กิจการนับวันก็เจริญรุ่งเรือง ข่าวเศรษฐกิจวิเคราะห์ไว้ว่าบริษัทจะยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นในไตรมาสต่อไป เธอเคยไปยื่นใบสมัครไว้แต่ก็ไม่มีการตอบรับกลับ
คราวนี้ไม่ต้องยื่นใบสมัครกลับได้งาน...
“คะ ให้พายไปเป็นเลขาพี่เนี่ยนะ แต่พายเพิ่งเรียนจบไม่มีประสบการณ์เลยนะ กลัวจะไปสร้างความยุ่งยากให้พี่มากกว่า” เริ่มกังวลกับตำแหน่งที่เขาหยิบยื่นให้ตัวเอง
อนลที่ได้ฟังก็คิ้วขมวดเช่นเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าปลายสายคือใคร แต่ถ้าให้ทำตำแหน่งนั้นก็เส้นใหญ่พอสมควร เริ่มคันยุบยิบในใจไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้หล่อนแล้วยกกายแบบบางขึ้นนั่งบนตักตัวเอง เธอร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
‘ค่อยเรียนรู้ได้...พายมาทำงานกับพี่นะ พี่จะขอคุณพ่อเอง’ ปลายสายบอกสิ่งที่คิด เขายังไม่ได้เอ่ยปากกับบิดาแต่คิดว่าท่านน่าจะอนุญาต เพราะทุกคนตามใจตนอยู่แล้ว
“ว้าย พายยัง...อ่ะ อย่าเล่นแบบนี้” ยื่นโทรศัพท์ห่างจากตัวเอง เอ็ดเขาเสียงเบากลัวภีมภาคย์ได้ยิน แต่มีหรือที่คนอย่างอนลจะเกรงกลัว ลอยหน้าลอยตา แสยะยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ เลื่อนมือมาลูบเอวบางแล้วซุกที่ซอกคอขาว เหลือบมองโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้วางสาย
“เธอบอกว่าถ้าฉันอยากตอนไหนก็จะยอมไม่ใช่เหรอ ฉันอยากตอนนี้” แสดงความต้องการของตัวเอง และเป็นการบังคับกรายๆ ให้หล่อนวางสาย
เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงทำเช่นนี้...
หวงเหรอ...คนอย่างเขาเนี่ยนะหวงพระพาย
ไม่จริงหรอก แค่อยากแกล้งหล่อนเท่านั้นเอง มันต้องเป็นแบบนั้นสิ!