๖ สันติสุข (๑)
๖
สันติสุข
ช่วงเช้าที่แสงแดดส่องเข้ามาในห้องจนคนที่หลับพริ้มต้องขมวดคิ้ว หล่อนพลิกกายเพื่อหลบหลีกการรบกวนจากธรรมชาติ นึกอยากดึงผ้าม่านปิดแต่ก็สงสัยว่าใครเปิด ทว่าพอได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำก็ทราบทันที
ค่อยลืมตาตื่นอย่างเชื่องช้า การตกแต่งห้องที่ต่างไปจากทุกวันนึกได้ทันทีว่าเมื่อคืนนอนห้องของอนล แขนเรียวกอดหมอนข้างเอาไว้พลางสูดกลิ่นหอมของผ้าที่ห่อหุ้ม ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ใต้ผ้าห่มอย่างแนบเนียน
ประตูห้องน้ำเปิดและปิดเสียงเบา เธอรีบหลับตาทันทีแสร้งทำเหมือนอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็แอบหลับตาข้างเดียวมองร่างหนาที่มีผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง แผ่นหลังกว้างมีรอยเล็บยาวเป็นทาง ดูน่าซุกซบแต่ก็ดูอ้างว้างอยู่ในที
เธอรีบหลับตาเมื่อเห็นว่าเขาเดินตรงมาที่เตียง ยังไม่ทันแกล้งตื่นก็มีสิ่งของบางอย่างโยนมาที่มือของตน ขนาดค่อนข้างเล็กจับถนัดมือ พอคิดออกว่าเป็นอะไรก็รีบลืมตาตื่น ผุดลุกจนผ้าห่มร่นไปกองอยู่เอว พอคิดว่าร่างกายเปลือยเปล่าก็รีบยกผ้าผืนหนามากอดปิดทรวงอก
“อ่ะ มือถือฉัน! นายยอมให้ฉันใช้มือถือแล้วเหรอ” สำรวจโทรศัพท์ที่ใช้มาหลายปี กดเข้าไปดูข้างในพบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายโทรออกล่าสุดคือเบอร์ของแฟนเก่าที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยิ่งเคียดแค้น หากเจอหน้าจะขอคิดบัญชีให้สาสมกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเธอ
เสียงหวานตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างประดับดวงหน้าหวาน อนลเห็นอย่างนั้นก็ไปไม่เป็น จนต้องยกมือขึ้นเกาปลายจมูก รู้ผ่าวที่ใบหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนบรรยากาศระหว่างพวกเขากำลังเปลี่ยนไป
“อือ แต่มีข้อแม้ว่าเธอติดต่อได้แค่พ่อกับแม่ และห้ามบอกว่าอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นฉันจะจับเธอส่งขายซ่องทันที รู้ใช่ไหมว่าฉันทำได้” ดวงตากลมเหลือบมองเขาอย่างกรุ่นโกรธ รู้ว่าอนลคงไม่ทำอย่างนั้นเพราะเขาเคยบอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
เขาแค่ขู่ให้เธอกลัวเท่านั้นแหละ...ฝันไปเถอะว่าจะกลัว
“ไอ้โรคจิต!” ตะโกนไล่หลังคนที่ไปแต่งตัว หล่อนรีบกดโทรศัพท์เพื่อติดต่อคนที่บ้านโดยยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาด้วยซ้ำ
หญิงสาวดีใจจนลืมชั่วขณะว่าตนเองนั่งอยู่บนเตียงกว้างที่ผ่านค่ำคืนแสนหวานกับเขา รอยสีกุหลาบตามร่างกายบ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนเรามีความสุขด้วยกันมากแค่ไหน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความหฤหรรษ์ยามได้ร่วมรักกับใครสักคน
เขาไม่ได้อ่อนโยน เธอเองก็ไม่ได้ยอมเขาเช่นเดียวกัน เผลอทำรอยไว้ที่แผ่นหลังหนาเพื่อระบายความเสียวซ่าน
หลังจากที่เขายอมเป็นแฟน เธอก็อยู่ที่นี่ได้สบายใจขึ้น...
แม้ชายหนุ่มจะยอมตกลง แต่หล่อนก็รู้ดีว่าในใจเขาไม่ได้คิดเกินเลยมากไปกว่าการเป็นคู่นอน หรือนางบำเรอปรนเปรอความสุขทางกาย
“ฮัลโหล แม่คะ!” รอไม่นานปลายสายก็รับ หล่อนรีบร้องทักเสียงดังด้วยความดีใจ ดวงตากลมมีน้ำสีใสคลอ
หล่อนสนิทสนมกับมารดาเป็นอย่างมาก ท่านเลี้ยงเธอด้วยความตามใจมาโดยตลอด เป็นเพื่อนรับฟังทุกอย่างและทุกปัญหาที่เจอ พอตกอยู่ในสถานการณ์ไม่คาดฝันก็อยากบอกแม่เป็นคนแรก แต่ก็ไม่กล้าบอกทั้งหมด
‘ไงเรา ไปเที่ยวสนุกหรือเปล่า ไม่บอกแม่สักคำคิดจะไปก็ไป ดูสิ ผ่านมาหลายวันเพิ่งโทรมาหาแม่’ ปลายสายไม่ได้ตกใจจนกลายเป็นความแปลกใจให้หล่อน ยิ่งท่านบอกว่าเธอมาเที่ยวก็นิ่งค้าง สมองประมวลผลช้าไม่รู้ว่าทำไมท่านจึงคิดเช่นนั้น
เธอน่ะหรือมาเที่ยวทั้งที่รู้ว่าครอบครัวกำลังมีปัญหา...
“เที่ยว...แม่รู้ได้ยังไงคะ” คาดคั้นท่านทันที แต่พอจะรู้บ้างว่าใครเป็นคนบอก
‘แฟนเรามาบอก มีเงินหรือเปล่า แม่โอนให้ไหม’ ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่ มือเรียวกำผ้าห่มแน่นพลางกัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง พิชญ์ ปุณณารมย์ ไม่รู้ว่าเธอตอบตกลงเป็นแฟนกับคนชั่วแบบนั้นได้อย่างไร เพียงแค่ตัดรำคาญอย่างเดียวจริงหรือ
ไม่หรอก...ความจริงคือเพราะครอบครัวของชายหนุ่มร่ำรวย หล่อนหวังใช้เงินของอีกฝ่ายมาช่วยครอบครัว แต่สุดท้ายกลับโดนขายซะเอง
กรรมตามทันเหมือนติดจรวด เป็นฝ่ายคิดไม่ดีแต่โดนเล่นงาน...
“ไม่ต้องค่ะ พายมีเงิน...แม่กับพ่อสบายดีนะ ไม่โกรธพายใช่ไหมที่หนีมาไม่ยอมอยู่ช่วยเรื่องหนี้” ปัดเรื่องขุ่นข้องหมองใจทิ้ง เลือกจะเอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด ซึ่งคนเป็นแม่ก็หัวเราะร่วน เอ็นดูลูกสาวคนเล็กที่โตขึ้นมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัว
อณิรดาเปรียบเสมือนไข่ในหินที่พวกท่านฟูมฟักอย่างดี คอบประคบประหงมมาตลอด คิดว่าลูกจะรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดกะทันหัน แต่เหมือนจะคิดผิดเพราะหญิงสาวรับมือได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยเรื่องหนี้ด้วยการขายข้าวของส่วนตัว
ที่เหลือต่อจากนี้ก็ต้องผ่อนหนี้ธนาคารในแต่ละเดือน ไม่รู้จะหมดตอนไหน...
หรือต้องจ่ายอย่างนี้ไปตลอดชีวิต
‘แม่จะไปโกรธหนูได้ไง เรื่องหนี้มันไม่ใช่สิ่งที่พายต้องรับผิดชอบแต่แรกอยู่แล้ว ปล่อยให้พ่อกับแม่จัดการเองเถอะ ส่วนลูกก็เที่ยวให้สบายใจนะ ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก...สบายใจค่อยกลับก็ได้ แต่ถ้าไม่มีเงินต้องโทรหาแม่ทันที เข้าใจไหม’ น้ำตารินไหลเป็นสายจนต้องรีบเช็ดออก เธอปิดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดรอด
อนลยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่นานก็ยังไม่ได้ตัวที่ต้องการใส่สักทีเพราะไม่มีสมาธิ เอาแต่เหลือบมองคนบนเตียงที่กำลังร้องไห้ตัวโยน อยากเข้าไปปลอบแต่เท้าก็หนักเกินกว่าจะก้าวเข้าไปหาเธอ ปล่อยให้หญิงสาวคุยกับมารดาต่อไป
“ค่ะแม่ พายรักแม่นะ รักแม่มากๆๆๆ เลย” ย้ำถึงความรู้สึกของตัวเอง มารดาไม่เคยทำให้หล่อนลำบากใจสักครั้ง ครอบครัวเหมือนเป็นที่ปลอดภัยของตน จึงไม่แปลกที่จะโกรธยามมีคนอื่นมาด่าทอพวกท่าน
โดยเฉพาะอนลที่อ้าปากก็ต้องว่ากระทบกระทั่งครอบครัวของเธอตลอด
‘จ้า แม่ก็รักพระพาย’ เพียงแค่วางสายน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลพรั่งพรู มือบางกำผ้านวมที่ห่มกายแน่น ไม่ได้พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ลืมเสียสนิทว่าในห้องไม่ได้มีตนอาศัยเพียงผู้เดียว เธอร้องอย่างไม่อายใคร
“ฮือ”
ไม่รู้ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับตัวเองบ่อยนัก เพิ่งเรียนจบยังไม่ทันได้รับปริญญาบัตรก็ถูกขายเพื่อใช้หนี้ โชคดีแค่ไหนที่อีกฝ่ายเป็นคนคุ้นเคย ถึงเขาจะข่มเหงหล่อนแต่ก็ไม่ได้รู้สึกด้อยค่าตัวเองเท่าเป็นคนอื่น
อาจเพราะหัวใจดวงนี้...ยอมรับเขาก็ได้
ชันเข่าขึ้นมากอด ซุกใบหน้าลงแล้วร้องไห้ สะอื้นจนตัวโยนอยู่อย่างนั้น ผ้าห่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาจนกระทั่งคนที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยต้องเข้ามาปลอบ ในแบบของตัวเองซึ่งค่อนข้างไร้ความอ่อนโยน
“เลิกร้องไห้เป็นเด็กได้แล้ว ฉันรำคาญเสียงเธอ” เสียงเข้มเอ่ยดังเรียกความสนใจ เธอเงยหน้ามองเขาพลางเช็ดน้ำตาที่บดบังทัศนียภาพออก ลืมเสียสนิทว่าเขายังอยู่ในห้อง แต่เธอก็ไม่อายจะร้องไห้ต่อหน้าอีกฝ่าย
“ฉันไม่ได้ไปร้อง ฮึก ข้างหูนายสักหน่อย ถ้ารำ อึก คาญนักก็ส่งฉันกลับ สิ” ประโยคที่ไม่ประติดประต่อ แต่เขาก็ฟังออกทุกคำจึงนั่งลงข้างเตียง รู้ว่าหล่อนใช้ช่วงโอกาสที่กำลังอ่อนแอเพื่อทำให้เขาสงสารแล้วส่งกลับ
แต่มีหรือที่จะยอมทำตามความต้องการของอณิรดา ยังทรมานหล่อนไม่สาแก่ใจเลย ดูเหมือนเธอจะมีความสุขกับการอยู่ที่นี่ยิ่งกว่าอยู่บ้านอีก
ผิดแผนไปหมด...
“ได้คืบจะเอาศอกเหรอ แค่ฉันยอมให้ใช้โทรศัพท์ก็ดีแค่ไหนแล้ว ส่วนเรื่องกลับ...เอาไว้ฉันจะพิจารณาอีกที แต่เธอรู้ใช่ไหมว่าถึงกลับไป เธอก็ต้องทำงานให้ฉันสมกับหนี้สองล้านที่แฟนเธอติดไว้” คนฟังเม้มปากแน่น ยิ่งคิดถึงแฟนเก่าก็โมโหจนหลงลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ
ถ้ามีโอกาสเธออยากจะฆ่ามันด้วยซ้ำ ถึงเวลาจวนตัวก็เอาตัวรอดเพียงคนเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
“มันไม่ใช่แฟนฉัน ก็แค่แมงดาตัวหนึ่ง” แทรกเสียงดัง กำผ้าห่มเอาไว้แน่นแล้วจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง สุดท้ายอนลจึงยอมพยักหน้าไม่ต่อปากหรือหาเรื่องอีก
“ลืมหรือไง ว่าตอนนี้นายต่างหาก อึก ที่เป็นแฟนฉัน” แต่พอเธอย้ำถึงสถานะของเราก็ยิ่งน่าปวดหัว ร่างหนาลุกจากเตียงแล้วพรูลมหายใจหนัก เขาตอบรับไปแล้วคงทำอะไรไม่ได้
ส่วนตอนนี้ก็คงต้องปล่อยให้อณิรดาร้องไห้จนกว่าจะพอใจ คิดว่าอีกไม่นานหล่อนก็คงหยุดไปเอง
“เฮ้อ ฉันปวดหัวกับเธอ อยากร้องไห้ก็ร้องไปเลย ร้องให้พอใจแล้วช่วยเงียบสักที” ก้าวเท้าออกจากห้องเพื่อลงไปข้างล่าง ไม่วายหันมามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน เห็นอย่างนั้นก็เหนื่อยจะพูดถึงปล่อยหล่อนอยู่คนเดียว
“จะปลอบทั้งที พูดดีๆ ไม่ได้หรือไง” ใบหน้าหวานมองประตูที่ปิดสนิท เอ่ยตัดพ้อเขาแล้วค่อยลงจากเตียงเพื่อไปชำระกายให้สะอาด เธอเสียใจแต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองจมกับความรู้สึกนั้นนาน
ต้องหาวิธีตะล่อมอนลให้ยอมส่งเธอกลับบ้าน...
ผ่านไปสองวันก็ยังเกลี่ยกล่อมเขาไม่ได้ ถึงขนาดยอมปรนเปรอความสุขทางกายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายหนุ่มจะยอมปล่อยหล่อนเป็นอิสระ เขายังคงหมกมุ่นกับการดูแลฟาร์มไข่มุกเพื่อให้ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
เช้าจรดเย็นมักอยู่ที่ฟาร์มไข่มุกกับคนงาน ส่วนหล่อนก็ไปกลับระหว่างท้ายเกาะกับบ้านหลังงาม ไม่ค่อยมีงานทำเท่าไหร่ จนเริ่มรู้สึกเบื่อที่ตนเองทำตัวไร้ประโยชน์ ขนาดเรื่องเข้าครัวยังเกือบไม่รอด แม้ป้าปรุงจะเพียรสอนบ่อยแค่ไหน เธอก็ยังลืมว่าอาหารชนิดนี้ควรปรุงอย่างไร
สงสัยคงไม่อาจเอาดีทางด้านอาหารได้แล้วล่ะ...
เช้าที่ท้องฟ้าโปร่ง ดวงตะวันส่องแสงสว่างแต่เช้าตรู่ ปลุกคนที่หลับใหลให้ตื่นจากห้วงนิทรา มือหนาคว้าคนที่ควรนอนข้างกันแต่กลับว่างเปล่า ทุกวันนี้เขาให้เธอมานอนห้องของตนเพื่อสะดวกในการเรียกใช้งานยามค่ำคืน
ปกติเธอมักตื่นสาย ทว่าวันนี้กลับแปลกที่ตื่นเช้ากว่าเขา มองรอบห้องก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของอณิรดา จึงตัดสินใจลุกจากเตียงแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปข้างล่าง
“อืม...ข้าวต้มกุ้ง น่าทานจังเลยครับป้าปรุง กลิ่นหอมดี..” แค่เข้ามาในห้องอาหารก็เห็นแผ่นหลังบางนั่งคอยท่า ตอนแรกกำลังจะเรียกหาแต่คงไม่ต้องแล้วล่ะ...
ข้าวต้มชาวใหญ่ตั้งไว้ตรงหน้าเขา ควันยังลอยกรุ่นบ่งบอกให้รู้ว่าเพิ่งนำลงจากเตา กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอจนต้องหยิบช้อนเพื่อคนให้คลายความร้อน
“จริงเหรอ” หญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะถามด้วยความตื่นเต้น จนร่างหนาต้องเหลียวมองด้วยความงุนงง
“อะไรของเธอ...ฉันคุยกับป้าปรุง ถามแทรกทำไม” เกือบถลึงตาใส่เขาแล้วแต่ก็เลือกจะส่ายหน้าพลางยิ้มแฉ่ง ข่มใจตัวเองไม่ให้โกรธ