๗ ออกจากเกาะ (๑)
๗
ออกจากเกาะ
อยากหยิกเนื้อหนาให้เขียว หล่อนพยายามปัดป้องมือเขาที่เหมือนปลาหมึก คอยแต่จะหาเศษหาเลยจนน่ารำคาญ กระนั้นตนก็ยังเผลอส่งเสียงคราวจนต้องเม้มปากแน่นกลัวปลายสายจะได้ยิน ค้อนเขาทางสายตา ซึ่งอนลกลับเลือกยิ้มกริ่มไม่สะท้าน
หนวดที่ขึ้นเป็นตอเขาก็ยังไม่ยอมโกน โดนร่างกายเธอทีไรฝากรอยแดงเอาไว้ตลอด ทว่าแปลกที่มันกลับปลุกเร้าอารมณ์หล่อนง่ายเหลือเกิน
‘พายว่าไงนะ’ ปลายสายท้วงถามเมื่อได้ยินไม่ชัด บางคำขาดห้วงเหมือนไม่ค่อยมีสัญญาณ หญิงสาวจึงรีบจับโทรศัพท์แนบหู แย้มยิ้มถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็น สร้างความหมั่นไส้แก่คนที่ยอมเสียสละตักให้เธอนั่ง
มือหนาเลือกลูบไล้เข้าไปในเสื้อยืด ใช้ทักษะที่มีปลดตะขอชั้นในไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ มันก็หลุดจนเจ้าของร่างเผยอปากค้าง ถ้าไม่ติดว่ากำลังคุยโทรศัพท์คงได้เหวเขากลับเสียงดังแล้ว แต่เพราะคุบกับภีมภาคย์จึงไม่อาจทำดั่งใจหวังได้
“เปล่า เปล่าค่ะ อือ พี่ภีมไว้ ไว้ค่อยคุยกัน อ่า นะคะ พอดีพายอยากเข้าห้องน้ำ” รีบตัดบทก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ หล่อนคว้ามือเขาที่กอบกุมทรวงอกตัวเองเอาไว้ ถลึงตาใส่เป็นการปรามให้หยุดแต่อนลกลับนึกสนุก
ถ้าเธอเผลอครางแล้วภีมภาคย์ได้ยินจะเป็นอย่างไร...
เพียงแค่คิดมีหรือจะเป็นจริง เขาลงมือทำทันทีด้วยการกอบกุมดอกบัวงามแล้วสะกิดปลายยอด จนหล่อนเผลอครางแผ่วต้องรีบปิดตัวเอง กลั้นใจเพื่อขอวางสายทั้งที่ยังคุยกันได้ไม่นาน
‘ครับ พี่รอพายกลับมานะ’ หญิงสาววางแล้วโยนโทรศัพท์ออกห่างกาย คิดจะลุกแต่ก็ไม่สามารถลุกไปไหนได้ เพราะเขาใช้มือข้างเดียวกอดเอวบางไว้แน่น
“ค่ะ! มากวนตอนฉันคุยโทรศัพท์ทำไม! ถอยไปเลยนะ ตัวฉันมีแต่เหงื่อจะมาทำตอนนี้ได้ไง...รออาบน้ำ ว้าย” ทุบไหล่กว้างแล้วกล่าวโทษเขาทันที ซึ่งร่างสูงไม่สะท้านกลับเลือกกระซิบแผ่วเบาข้างหูเธอ ไม่ลืมขบเม้มเนื้อนิ่มพลางใช้ลิ้นเลียจนเธอย่นคอหนี
เสียงที่กำลังจะก่นด่าถูกดูดกลับเข้าลำคอ เธอไม่ชอบที่ตัวเองอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟยามร่างหนาแตะต้องกาย ไม่รู้เขาใช้มนต์กลใดกันแน่ หล่อนจึงได้ยอมทุกครั้งไป
“ก็ไปอาบน้ำด้วยกันเลยสิจะยากอะไร” ร่างแบบบางที่นั่งบนตักเขามองซ้ายขวา กลัวมีคนมาเห็นว่าพวกตนกำลังทำอะไร
บอร์ดี้การ์ดของชายหนุ่มที่พามาด้วยคราวนี้ให้พื้นที่กับเจ้านาย ไม่เข้ามากวนหรือขัดขวางความเป็นส่วนตัว เฝ้าอยู่นอกบ้านอย่างเข้มงวด ทำให้เธอเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง
มือเรียวเลือกวางบนบ่าแกร่ง จากปัดป้องก็จำต้องยอม เหลือบมองร่างหนาที่ลุ่มหลงกับร่างกายของตนมากขึ้นทุกวันก็แอบยิ้มกริ่ม หนทางที่จะได้ออกจากเกาะดูเหมือนไม่ไกลแล้ว ขอเพียงแค่อ้อนถูกจุดเท่านั้น
“กลางวันแสกๆ จะมาทำแบบนี้ไม่อายป้าปรุงหรือไง ฉันยอมไม่ใช่ว่าจะทำตอนไหนก็ได้นะ รอมืดค่ำก่อนไม่ได้เหรอ จะอยากอะไรขนาดนั้น” กระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน พยายามลุกยืนแต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนไปกระตุ้นความเป็นชายที่นอนนิ่งให้ลุกตื่น
ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการตื่นตัวของแก่นกายชาย เธอนั่งนิ่งทันทีไม่ขยับอีกแล้ว แต่ก็หดกายยามถูกสัมผัสเต้างาม เขาเคล้นคลึงอย่างมันมือไม่ยอมปล่อย
“เธอพูดมากไปก็เท่านั้นแหละ...ฉันจะทำเหมือนเดิม” ซุกไซ้ซอกคอขาวที่ล่อตาล่อใจ เขาเหมือนเสพติดอณิรดาไปแล้ว
เมื่อก่อนเป็นคู่กัด ทุกวันนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยน...
แต่อาจจะแตกต่างนิดหน่อยที่ไม่ใช่อาวุธเพียงแค่คำพูด เพราะเขาเลือกขบกัดตามร่างกายขาวนวลเพื่อกำราบเธอ แล้วดูเหมือนจะได้ผลซะด้วย
“เดี๋ยวก่อน ถ้านายทำต้องพาฉันกลับบ้าน” รีบจับมือที่กำลังกุมทรวงอกของตัวเอง ต่อรองตอนที่ชายหนุ่มกำลังลุ่มหลงน่าจะเป็นการดีที่สุด เปลี่ยนจากวางมือบนบ่าเป็นโอบรอบลำคอหนา เธอเริ่มชินกับการถึงเนื้อถึงตัว จึงไม่ค่อยเกร็งเหมือนครั้งแรก
“อยากกลับบ้านเพราะคิดถึงไอ้ภีมเหรอ มันจะให้ไปเป็นเลขาดีใจจนเนื้อเต้น ชอบมันมากหรือไง” อารมณ์คุกรุ่นเหมือนตะกอนที่ถูกตีให้ขุ่น หล่อนทำหน้าเหวอเมื่อเห็นเขาเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน แต่ก็ยังใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ฉันอยากกลับบ้านอยู่แล้วไม่เกี่ยวอะไรกับพี่ภีมเลย นะ...เรากลับบ้านกันเถอะนะ” ขยับกายเล็กน้อยเพื่อเสียดสีบั้นท้ายกับความเป็นชายที่ดุนดันจะออกมา จนร่างหนาต้องกัดฟันแน่น นึกทรมานจนอยากอุ้มหล่อนเข้าห้องให้รู้แล้วรู้รอด
แต่คำว่าเราของเธอก็ชวนอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด...เขาจึงนิ่งค้างแล้วเผลอครางเสียงแผ่ว
“เรา...”
“ก็ใช่ไง นายกับฉัน จะให้ฉันกลับคนเดียวเหรอ...นะนายเพลิง เรากลับบ้านกัน” ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสวยเรียงตัวกันครบ เขาเผลอไผลจดจ้องดวงหน้าหวานอย่างตกตะลึง เคยคิดว่าระหว่างเราคงไม่เป็นได้แค่คู่กัด
แต่แปลกที่เพิ่งรู้ว่าวินาทีตกหลุมรัก...มันเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
หัวใจคันยุบยิบอย่างน่าประหลาด เผลอปล่อยมือจากทรวงอกนุ่มแล้วกอดเอวบางเอาไว้ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งเหมือนต้องการตัดสินใจบางอย่าง โดยที่เธอก็รอคอยอย่างมีความหวังเช่นเดียวกัน
“ไว้ฉันดูความประพฤติของเธอก่อน แล้วจะตัดสินใจอีกทีว่าควรกลับดีไหม” แบ่งรับแบ่งสู้ แล้วยกกายแบบบางออกจากตัก เขาลุกยืนเต็มความสูงกำลังจะเดินขึ้นห้องเมื่อใบหน้าร้อนผ่าว พยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง
ไม่...ไม่จริงหรอก
คนเราจะตกหลุมรักคนที่ตัวเองเกลียดได้อย่างไร มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
เขาเกลียดอณิรดามาตลอด แต่เพียงแค่อยู่กับหล่อนตามลำพังไม่กี่วันความรู้สึกก็แปรเปลี่ยน ส่ายศีรษะเล็กน้อยคิดจะทบทวนเรื่องทั้งหมด แต่แขนหนาก็ถูกคนตัวเล็กกว่าดึงรั้งเอาไว้
“ตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้เหรอ” มองตาปริบ ยิ่งทำให้เขาสับสนมากกว่าเดิมจนต้องปลดมือเธอออก
“ไม่ได้ รอให้ฉันคิดอีกทีว่าจะเอายังไงกับเธอ เพราะการได้ตัวเธอมาไม่เห็นว่าฉันจะได้ประโยชน์ตรงไหน เหมือนเสียเงินสองล้านไปฟรี..” ไม่ได้ย้ำกับหล่อน แต่เขากำลังสะกดจิตตัวเองไม่ให้หลงไปกับภาพสวยงามตรงหน้า
เธออาจจะกำลังทำเสน่ห์ใส่เขาก็ได้...มันต้องเป็นแบบนั้น
“ฉันทำงานใช้หนี้ให้เอง นายจะให้ฉันทำอะไรล่ะ ต้องเป็นงานที่ไม่ใช้ร่างกายหาเงินนะ” รีบเสนอตัวแต่เขาก็เผลอยกยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู
“เลือกมากนะ” แล้วรีบทำหน้านิ่งเมื่อรู้สึกตัวว่าตนกำลังจะหลุดมาดนิ่งขรึม
“แล้วนายจะพาฉันกลับบ้านหรือเปล่า..” ค่อยเลื่อนมาจับมือเขา ขยับเข้าใกล้ร่างหน้าพลางแหงนหน้ามองเขา ลุ้นจนเกือบลืมหายใจยามที่ร่างสูงเงียบไป เธอเผลอบีบมือหนาแล้วค่อยคลายออกอย่างรวดเร็ว
อนลใช้ความคิดครู่หนึ่ง ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากจับเธอมาเกาะหรอก ถ้าไม่มีเรื่องฉุกเฉินเกี่ยวกับฟาร์มไข่มุก ซึ่งตอนนี้ก็แก้ไขเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานคงต้องกลับเพราะยังมีงานให้ต้องสะสาง
ที่เลือกแบบนี้ไม่ใช่เพราะเจอลูกอ้อนหรอกนะ...
“กลับก็ได้” เพียงคำเดียวก็ทำให้หล่อนกระโดดตัวลอย เข้ามากอดเขาทันที
“ไชโย!” ร่างหนาตัวแข็งทื่อ ถึงจะได้กอดหญิงสาวบ่อยแต่เป็นการบังคับทั้งนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่อณิรดาเข้าหาเอง สัมผัสได้ถึงชั้นในที่ไม่เข้าทรงเพราะถูกปลดตะขอ ทว่าเลือกอดกลั้นเอาไว้แล้วรีบผละออกทันที
เท้าหนักก้าวขึ้นบันไดเพื่อไปพักผ่อน ปล่อยร่างบางมองตามแล้วรีบใส่ตะขอเสื้อชั้นในอย่างชำนาญ ฮัมเพลงมีความสุขที่ตัวเองจะได้กลับบ้านสักที
โดยไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า...
ไม่น่าเชื่อว่าไปอยู่เกาะเพียงแค่สัปดาห์เดียว พอกลับมาเมืองกรุงหล่อนจะตื่นตาตื่นใจไปกับทุกอย่าง เกาะขอบหน้าต่างแล้วมองตึกสูงด้วยแววตาเป็นประกาย เสียดายที่การแต่งตัวมอซอไปหน่อยเพราะชุดที่สวมคือเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่อนลซื้อให้เท่านั้น
แต่หล่อนก็ไม่ได้คิดมาก อย่างไรก็ตรงไปลงที่บ้านไม่ได้แวะไหนให้ตรงพิถีพิถันเรื่องชุด แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาอาจพาเธอแวะระหว่างทาง
ดวงหน้าหวานผินมองคนที่นั่งข้างกัน ลงจากท่าเรือก็นั่งรถโรลส์รอยซ์เพื่อเข้าเมืองกรุง หล่อนหลับไปตื่นหนึ่งแล้วค่อยลืมตาราวกับรู้ว่าถึงเมืองหลวง
“นายจะไปส่งฉันที่บ้านใช่ไหม” ถามย้ำให้แน่ใจ เธอกลัวว่าเขาจะพาไปที่อื่นโดยไม่บอกให้ทราบล่วงหน้า การแต่งกายไม่สุภาพก็ไม่อยากไปปรากฏตัวที่ไหน
ไม่น่าเชื่อว่าถูกแฟนขายเพื่อใช้หนี้ แต่ก็ยังรอดกลับมาได้...
“ใช่” คนที่เผลอลอบมองใบหน้าด้านข้างของอณิรดาแสร้งก้มหน้าดูโทรศัพท์อย่างแนบเนียน แล้วตอบเสียงเข้มราวไม่ใส่ใจ นั่งโมโหตัวเองที่ดูเหมือนสมองกับหัวใจจะทำงานสวนทางกัน
เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปได้ยาก รอยแผลใหญ่ที่ครอบครัวของเธอทำไว้ให้พวกเขามันไม่ใช่จะหายไปโดยง่าย
“แล้วนายจะให้ฉันทำงานอะไรเหรอ ต้องเข้าบริษัทนายหรือเปล่า...แต่นายบอกทำธุรกิจสีเทา ทำอะไรบ้าง” เริ่มสนใจเมื่อคิดว่าตนต้องทำงานใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ เรื่องราวของอนลก็ฟังเพียงผิวเผินไม่ได้รู้ลึก
ดวงตากลมจ้องเขาตาแป๋ว เล่นเอาร่างหนาถึงกับผินหน้าออกนอกหน้าต่าง กระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกสติตัวเอง ไม่ชอบที่ตนควบคุมตัวเองไม่ได้ยามอยู่ใกล้หล่อน มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย...
“บ่อน คลับ คาสิโน...เธออยากทำที่ไหนล่ะ เลือกได้เลย” คำตอบเล่นเอาหล่อนถึงกับหน้าซีดเผือด ลอบกลืนน้ำลายเพียงแค่คิดว่าต้องไปอยู่ในแหล่งอบายมุข ไม่ค่อยแปลกใจกับอาชีพของชายหนุ่มเท่าไหร่ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเดินสายนี้
อนลในอดีตเป็นว่าที่หมอยา เขาเรียนเภสัชอยู่มหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดัง ไม่คิดว่าวันหนึ่งชีวิตจะพลิกผันมาทำงานสายนี้
“มะ ไม่มีแบบงานกลางวันเหรอ” เริ่มต่อรองเพียงแค่คิดว่าต้องไปทำงานกลางคืน เธอกลัวว่าตัวเองจะรับมือกับลูกค้าที่มีทุกรูปแบบไม่ไหว
ให้เก่งกับเขาทำได้ แต่พอเจอของจริงเข้าไปก็จอดเหมือนกัน