๕ เรื่องของเรา (๑)
๕
เรื่องของเรา
การถูกรวบรัดสถานะสร้างความงุนงงให้อนลเป็นอย่างมาก คำว่าแฟนค่อนข้างห่างไกลจากความสัมพันธ์ของพวกเขา เราไม่ได้มีใจสมัครรักใคร่กันอย่างคู่รัก ถ้าเป็นคู่กัดน่าจะถูกต้องมากกว่า แล้วเหตุใดจะต้องมาเป็นแฟนกับอณิรดา
แค่มีเซ็กส์คืนเดียว...
เขาคิดว่าตนจะเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า แต่พอหล่อนเอ่ยเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ จ้องดวงหน้าหวานที่มองตอบไม่หลบ ไม่รู้เธอเอาความกล้าหาญมาจากไหนถึงกล้าต่อรอง เปลี่ยนฐานะของตัวเอง
“เดี๋ยวนะ...ฉันให้เธอเป็นนางบำเรอ ไม่ใช่แฟน” ย้ำชัดอีกครั้ง แต่คนที่ห่อตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาก็โวยวายเสียงแหลม
“โอ๊ย ใช้คำโบราณมาก สมัยนี้แล้วมานางบำรงบำเรออะไร อยากเป็นแฟนฉันก็บอก...นี่ฉันอุตส่าห์ลดตัวมาเป็นแฟนกับนายแล้วนะ อย่าเรื่องมากนักเลย” ดวงหน้าหวานส่ายไปมาอย่างระอากับความคิดของคนตรงหน้า
เธอแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ต้องการเป็นนางบำเรอ ได้ยินคำนั้นแล้วเหมือนถูกกดให้อยู่ต่ำลง เรื่องอะไรหล่อนจะยอมล่ะ ยิ่งยอมมากเท่าไหร่คนตรงหน้าก็ยิ่งได้ใจมากเท่านั้น จึงเลือกทำตามความต้องการของตัวเอง
อย่างน้อยเป็นแฟนก็คือการที่เราสองคนรักกัน...ถึงความรู้สึกของเขาจะห่างจากคำนั้นก็ตาม
“ไม่สิ มันต้องไม่ใช่แบบนี้” ส่ายศีรษะแล้วพยายามจะแก้ไขคำพูดของอณิรดา
“เอาแบบนี้แหละ ขยับไปฉันจะนอน มากวนตอนคนหลับเป็นบาปเข้าใจไหม” เห็นเขานิ่งอึ้งก็อมยิ้มสะใจ ไม่คิดว่าจะเห็นอนลกลายเป็นใบ้ชั่วขณะ หล่อนสบายใจจึงเอนกายลงนอน พลางหันหลังให้เขาไม่สนใจว่าอีกคนจะอยู่หรือไป แต่ตาก็เหลือบมองอยากรู้เขาจะทำเช่นไรต่อไป
“ฉันไม่ได้พาเธอมาสุขสบายแบบนี้นะ ฉันให้เธอเป็นนางบำเรอไม่ใช่แฟน แล้วเธอก็ไม่มีสิทธิ์มานอนสบายใจเฉิบอย่างนี้ ลุก ฉันบอกให้ลุก” บังคับเสียงแข็งแล้วกระชากร่างบางที่เอนกายลงบนที่นอนนุ่มจนต้องผุดลุกนั่ง ดวงตากลมฉายแววกรุ่นโกรธ เหวกลับเสียงดังไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ
“โอ๊ยไอ้บ้านี่! ฉันไม่ลุก ฉันจะนอน ฉันง่วง ฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง เลิกบังคับฉันได้แล้วเพราะฉันจะไม่ยอมทำตาม ไอ้สถานะนางบำเรอฉันก็ไม่เป็น ฉันจะเป็นแฟน! ขืนนายบังคับฉันอีกหูนายไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่” ร่ายยาวจนเขาฟังแทบไม่ทัน ย้ำถึงความต้องการของตัวเองและไม่ยอมตกเป็นคนสนองความใคร่
หากให้อยู่ที่นี่ก็ขออยู่ในฐานะนายผู้หญิงของเกาะ...เป็นแฟนของอนล
“ช่วยไม่ได้นะ อยากพาฉันมาเอง นายก็ต้องทนหน่อยแล้วกัน” ร่างสูงปล่อยมือบางเป็นอิสระแล้วกำหมัดแน่น หมดคำจะเอ่ยจนหล่อนต้องรีบพูดเย้ยหยัน ไม่ปล่อยโอกาสถือไพ่เหนือกว่าให้หลุดมือไป
ต่อจากนี้เธอจะเป็นแฟนของเขา...
“ยัยปีศาจ” กดเสียงต่ำแล้วบอกรอดไรฟัน แทบจะเผาคนตรงหน้าให้มอดไหม้แต่มีหรือที่หล่อนจะกลัว กลับลอยหน้าลอยตาตอกกลับ
“นายก็ซาตานไม่ต่างจากฉันนักหรอก” สองสายตาสบกันนิ่ง เป็นเขาที่ลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปทันที ตอนแรกคิดจะมาเล่นงานเธอแต่โดนตอกกลับหน้าหงายต้องการเวลาอยู่คนเดียว ปล่อยอณิรดาให้ตะโกนไล่หลัง และคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้ยินชัดเจน
มุมปากหยักยกยิ้มมีความสุข ล้มตัวลงนอนพลางหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง บางทีการได้อยู่กับเขาก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป
ถ้าเธอเป็นคนคุมเกม...
เสียงฝีเท้าหนักเดินลงบันได บ่งบอกถึงอารมณ์ว่ากำลังคุกรุ่น คิ้วแทบขมวดเป็นปม เขาเข้าเมืองแค่สองวันเธอกลับแข็งแกร่งขึ้นจนกล้าตั้งสถานะระหว่างเรา ถึงจะย้ำว่าหล่อนเป็นเพียงนางบำเรอ แต่อีกฝ่ายก็แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเป็นแฟน
สองเสียงที่ขัดแย้ง...กับสถานะที่ต่างกัน
แฟนหรือคู่รัก...สองใจที่สมัครรักใคร่ ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
นางบำเรอ...หญิงที่ปรนนิบัติทางกามารมณ์โดยไม่ได้เป็นภรรยาหรือคนรัก
เขาให้เธอเป็นอีกอย่างแต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ยอมรับ จึงเลือกขัดคำสั่งแล้วคิดเองเออเอง เพียงแค่นึกว่าต้องรักกับอณิรดา...
รีบส่ายศีรษะทันที มันเป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะทนอยู่กับผู้หญิงปากร้ายใจดำคนนั้นได้อย่างไร แค่คิดก็ขนลุกจนต้องรีบเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่มดับความร้อนรุ่มในอก
“คุณพายไม่ลงมากินข้าวด้วยเหรอคะ” กลับมาถึงบ้านไม่นานก็ถึงเวลาอาหารเย็น ป้าปรุงกำลังจะขึ้นไปตามหล่อนมากินข้าว แต่เขากลับเอ่ยอาสาเอง
สุดท้ายก็โดนเล่นงานกลับจนลืมธุระที่จะคุยไปเสียสนิท ถอนหายใจเสียงหนักแล้วมองคุณป้าที่รอคำตอบ เขาเลือกจะโกหกทันทีแล้วเดินเลี่ยงไปยังห้องรับประทานอาหารที่มีกับข้าวมากมายวางไว้บนโต๊ะ
“เห็นว่าง่วงไม่ยอมลงมาครับ ช่างเขาเถอะ เดี๋ยวตอนดึกคงแอบลงมากินเองนั่นแหละ...ผมไม่อยู่ยัยนั่นสร้างเรื่องอะไรหรือเปล่า” คาดเดาเอาไว้อย่างนั้น เธอคงไม่ปล่อยให้ท้องร้องโดยนอนเฉยไม่ทำอะไรหรอก
นิสัยของอณิรดาเขารู้ดี...
“ไม่มีค่ะ เธอขอให้คนพาเข้าฝั่งแต่ไม่มีใครยอมตกลงสักคน วันๆ ก็ได้แต่เล่นกับเด็กแล้วก็มองเหม่อไปเรื่อย อ้อ บางครั้งก็เข้าครัวช่วยป้าทำอาหาร” ฟังแล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่ เขาแต่งเรื่องนิดหน่อยให้คนงานเชื่อก็ไม่มีใครกล้าพาหล่อนขึ้นเรือไปด้วย ต่อให้หญิงสาวจะอ้อนวอนแค่ไหนก็ตาม
ทว่าเรื่องที่ทำให้ตกใจคือการที่หล่อนเข้าครัวทำอาหารต่างหาก จำได้ว่าตอนอยู่บ้านปัญญาสถิตแม้จะถูกมารดาเคี่ยวเข็ญแค่ไหน เธอก็ยืนกรานไม่ยอมทำอาหารเด็ดขาด แถมยังเกือบทำครัวไหม้จนโดนสั่งห้ามเข้าห้องครัว
มาวันนี้กลับเป็นคนเข้าไปช่วยป้าปรุงทำอาหาร...คิดจะวางยาพิษเขาหรือเปล่า
“ทำอาหาร คนอย่างยัยนั่นรู้จักทำอาหารกับเขาด้วยเหรอครับ แล้วรสชาติเป็นยังไงบ้าง” รีบถามด้วยความอยากรู้ นั่งลงยังเก้าอี้เดี่ยวฝั่งซ้าย บ้านหลังนี้เดิมคิดจะอยู่คนเดียว ข้าวของส่วนมากจึงเน้นไม่เกินสี่ที่เท่านั้น อย่างโต๊ะอาหารที่มีเก้าอี้วางไว้เพียงสี่ตัว
“อร่อยนะคะ” ชื่นชมลูกศิษย์ ถึงรสชาติอาหารท่านจะเป็นคนปรุงเอง ระหว่างนั้นก็คดข้าวใส่จานให้เจ้านายที่ถามด้วยความอยากรู้
“ไม่เอาที่ป้าคอยช่วยสิ ถ้าเขาทำเองรสชาติเป็นยังไงบ้าง”
“กินได้ค่ะ”
“หึ เท่านั้นก็รู้แล้วว่าไม่อร่อย” ยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย แล้วค่อยลงมือรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เพียงแค่คิดว่าหน้าตาและรสชาติอาหารที่อณิรดาทำแม้จะเทให้สุนัขกินก็คงถูกเมิน หล่อนไม่มีฝีมือด้านนี้เอาซะเลย ต่างจากคนเป็นพี่สาวที่เก่งทุกอย่าง
“แต่เธอตั้งใจมากนะคะ ยังทำสตูเนื้อของโปรดคุณเพลิงด้วย รสชาติใช้ได้ทีเดียวค่ะ” ไม่วายเอ่ยชมลูกศิษย์ของตนให้เขาฟัง หวังว่าหญิงสาวจะได้รับคำชมจากร่างสูง
“ผมกลัวว่ากินแล้วจะท้องเสียน่ะสิครับ ไม่ไหวหรอก...ป้าปรุงกลับไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เคี้ยวอาหารด้วยความหิว เขาไม่ได้กินข้าวเพราะทำธุระเสร็จก็ลงเรือกลับเกาะทันที โดยมีบอร์ดี้การ์ดสองคนติดตาม
เรื่องงานจัดการเรียบร้อยแล้ว ลากคนที่ทำผิดมาลงโทษครบ แล้วปล่อยให้พนักงานจัดการระบบใหม่ ส่วนตนก็รีบมาคุมความประพฤตินักโทษที่ปล่อยให้เป็นอิสระมาหลายวัน ไม่คิดว่าจะปีกกล้าขาแข็งกล้าโต้แย้ง
สงสัยต้องควบคุมเน้นหนักกว่าเดิมแล้ว...
“ค่ะ” ป้าปรุงปลีกตัวปล่อยเจ้านายอยู่คนเดียว ดวงตาคมเหลือบไปเห็นสลัดที่อยู่ห่างออกไป คิดได้ทันทีว่าคงเป็นของผู้หญิงที่นอนอยู่บนห้อง เขายกยิ้มเมื่อนึกบางสิ่งออก
เธอบอกว่าอยากเป็นแฟน...ก็สมควรต้องทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสักหน่อย
ตื่นมากลางดึกเพราะท้องที่ร้องประท้วง หญิงสาวพยายามข่มตาหลับแต่ก็ไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราอีกได้ เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่ม หากอยู่เมืองหลวงเธอคงกำลังนั่งทำขนมช่วยแม่เพื่อหาเงินจ่ายหนี้ หรือย้อนกลับไปสมัยยังเป็นคุณหนูก็คงอยู่งานเลี้ยงฉลองของเพื่อน
เธอชอบความสนุกสนานถึงตัวเองจะดื่มแอลกอฮอล์ไม่เก่ง ขอได้อยู่ในกลุ่มเพื่อสร้างความครึกครื้น แต่พอตกอับทุกคนก็หนีหาย...
ถอนหายใจหนักแล้วตัดสินใจลุกยืน เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบโดยสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าที่มีเพียงตัวเดียว เพราะตัวที่เหลือขาก๊วยที่ยุ่งยากในการใส่ แต่อนลก็ยังเลือกซื้อมาให้หล่อนเหมือนต้องการกลั่นแกล้ง
“มีแต่ชุดเห่ยๆ ทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะจวนตัวฉันไม่มีทางใส่หรอก เสื้อยืดกับกางเกงขาก๊วยเนี่ยนะ คิดได้ยังไง ไร้รสนิยมสิ้นดี” ปิดตู้เสื้อผ้าเสียงดังแล้วทำหน้าบึ้ง แต่เสียงท้องที่ร้องประท้วงทำให้หล่อนต้องยกมือลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง
โครก
“บ้าจริง จะมาหิวอะไรตอนนี้...หมอนั่นหลับหรือยังก็ไม่รู้” พึมพำเสียงเบาแต่ก็ย่องเบาไปเปิดประตู ปิดให้เงียบที่สุดแล้วค่อยเดินลงมาชั้นหนึ่ง ไฟที่ปิดสนิทพอให้เบาใจว่าเขาคงกำลังนอนหลับ มีเพียงไฟสว่างจากรอบนอกบ้านที่ส่องเข้ามาข้างในให้เห็นทางเดิน
ไม่รู้ว่าในตู้เย็นมีอะไรกินบ้าง แต่หล่อนภาวนาให้มีขนมปังสักก้อนก็เพียงพอจะประทังความหิวยามค่ำคืน กินพร้อมกับนมน่าจะอร่อย
แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นฝาชีที่วางไว้กลางโต๊ะอาหาร รีบเดินแกมวิ่งไปเปิดออกทันที หวังในใจว่าต้องเป็นอาหารที่ตนขอไว้ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง มุมปากหยักจึงยกยิ้มมีความสุข แววตาเป็นประกายพลางรีบนั่งลงที่เก้าอี้
“ป้าปรุงเก็บไว้ให้ด้วย น่ารักจริงๆ” เริ่มลงมือกินสลัดที่หญิงวัยกลางคนทำไว้ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยพลางฉีกยิ้มกว้าง หล่อนไม่ได้เปิดไฟแต่แสงจากโคมข้างนอกก็ส่องสว่างเข้ามาข้างใน กำลังมีความสุขกับอาหารจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักที่หยุดอยู่ข้างหลัง
“ฉันเป็นคนเก็บเอง” ตกใจจนเผลอปล่อยช้อนหล่นบนโต๊ะ รีบหับขวับมามองคนที่มาโดยที่ตนไม่รู้ตัว เบิกตากว้างยามเห็นว่าเป็นเจ้าของบ้าน แต่ก็ไม่ตกใจเท่าไหร่ คนที่เข้านอกออกในอย่างสบายน่าจะมีเขาแค่คนเดียว
“ว๊าย! ตกใจหมด มาให้สุ่มให้เสียง เป็นแมวหรือไงถึงได้ตีนเบาขนาดนั้น” มองตามร่างสูงที่เดินมานั่งตรงหน้าตน เขาวางท่าทีน่าเกรงขามจนคนมองหมั่นไส้
“แค่นี้ทำเป็นขวัญอ่อน” สองคนจ้องหน้ากันนิ่ง หล่อนจึงเปลี่ยนมาหยิบช้อนส้อมแล้วรับประทานอาหารมื้อดึก เลิกสนใจคนตรงหน้าพยายามทำหูทวนลม แต่เขาก็ไม่พูดอะไรนอกจากมองเธออยู่อย่างนั้นจนเริ่มอึดอัด
ด่ากันซะยังดีกว่าไม่เอ่ยอะไรสักคำ...
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนกินข้าวหรือไง ไม่มีมารยาท” เป็นเธอที่ทนไม่ไหวจนต้องแทรกกลางปล้อง หมดอารมณ์จะกินอาหารตรงหน้าทันที จนต้องวางช้อนส้อมแล้วเดินไปหยิบน้ำมาดื่ม เขาเห็นอย่างนั้นก็จ้องการเคลื่อนไหวของอณิรดาทุกฝีเก้า
หากไม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกคงไม่ได้ยินเสียงปิดประตูจากห้องตรงข้าม เขาถึงได้ออกมาดูว่าหญิงสาวกำลังจะทำอะไร พอเห็นหล่อนเข้าห้องครัวก็ยกยิ้มทันที
ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้
“คนเคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นควายกินหญ้า” เกือบสำลักน้ำที่ดื่ม เขาพูดเสียงเรียบจนคนที่ถูกด่าเบิกตากว้างแทบถลน วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเสียงดัง ยืนฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องเขาตาวาว กลับฟันแน่นแล้วชี้หน้าอนล
“นี่ นาย นายว่าฉันเป็นควายเหรอ!”