เจ้าเป็นใคร
ในวังหลวงแคว้นเหนือ
“องค์หญิง จะมีน้ำตาไปไย ตอนนี้ต้องแสร้งฝืนยิ้มไว้ ระหว่างทางนั้นมีโอกาสหนีได้มากมาย”
ปาดน้ำตาปรับสีหน้าให้เยือกเย็นดั่งหิมะแรกของปี ผ้าแพรสีแดงถูกดึงลงมาคลุมหน้า นางกำนัลส่งมือให้จับ พาเดินไปยังเกี้ยวที่รออยู่ด้านหน้า ท่านแม่ทัพ ยืนม้าคอยอยู่ก่อนแล้วส่งสัญญาณให้เคลื่อนเกี้ยวออกทันที หมิงซื่อรั้งอยู่ด้านหลังในอาภรณ์แสนธรรมดาไม่ได้บ่งบอกฐานะฮ่องเต้
“หลานซานเตรียมอารักขา”บุรุษหนุ่มท่าทีองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างจากคนบนหลังม้าสีขาวนวล
“อารักขา เกี้ยวองค์หญิงให้ดี การเดินทางค่อนข้างยาวนาน ระวังไว้จะดีที่สุด” หลานซานประสานมือ ก้มหัวแทนคำตอบ
ดวงอาทิตย์อัสดง ในเงามืดของหุบเขายิ่งมืดมิด หุบเขาทอดยาวไม่อาจผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ ท่านแม่ทัพ ส่งสัญญาณให้ตั้งกองที่นั่นกระโจมน้อยใหญ่ถูกกางเป็นที่พัก หมิงซื่อนั่งร่างอักษร มือเรียวบางตวัดพู่กันด้วยความแคล่วคล่องตัวอักษรพลิ้วสวยไร้ที่ติ ดึงแผ่นกระดาษขึ้นส่งให้ขันทีข้างกาย
“เสี่ยวหาน นำไปให้องค์หญิงสิบสี่ที่กระโจม”
“ฝ่าบาท ไม่ส่งถึงมือองค์หญิงเองเพื่อแสดงความจริงใจ”
“ไม่มีประโยชน์ ธารน้ำแม้ถูกกักกั้นไว้เพียงใดก็จะไหลไปตามทางที่มันต้องการ”
คำพูดเขาย้อนแย้งในตัวเองในเมื่อนางไม่ยินยอมที่จะเป็นฮองเฮาของเขาทำไม่เข้าต้องฝืนใจนาง หรือรอว่าสักวันนางจะเห็นความจริงใจของเขา เสี่ยวหานประสานมือคำนับถอยออกห่าง แต่
“เสี่ยวหานเองก็ไม่เข้าใจในเมื่อกักเก็บธารน้ำไม่ได้ ทำไม่ไม่ปล่อยมันไหลทะลัก”หมิ่งซื่อยกมือฟาดกระบาล เบาๆ เสี่ยวหานรีบวิ่งออกไปทันที
“หลงรูปเจ้ายิ่ง เสียดาย
หากแม้นหมายรูปโฉม งามยิ่ง
ดั่งดอกเหมยร่วงหล่น เมื่อถึงคราต้องลมหนาว
แต่ใครจะเล่าโอบอุ้มไม่ให้ ต้องพื้นดิน”
“อักษร เหล่านี้ก็เป็นเพียงอักษรไร้ค่าไม่เหมาะแก่การครอบครอง”องค์หญิงสิบสี่ พับกระดาษแผ่นเดียวกับที่หมิงซื่อส่งมาวางลงบนโต๊ะ
...กระโจมใหญ่อีกฝั่ง..
หมิงซื่อทอดถอนหายใจ หลับตาลงช้า ๆ กลิ่นกำยานหอมอบอวลไม่นานก็นิทราหลับใหล
ร่างบางในชุดสีแดงมงคลที่ใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง วิ่งถลาเข้ามาที่ แท่นนอนหมิงซื่อ หกล้มหกลุกล้มลงบนตัวของหมิงซื่ออย่างแรง ร่างใหญ่สะดุ้งตื่นแต่มือไวยิ่งกว่าความคิด กอดรัดเอวบางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแม้ร่างบางจะดิ้นรนเพียงใดก็ตาม
ตาคม จ้องมองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุม ที่มองเห็นเพียงเลือนราง
“ปล่อย”ใบหน้าสวยเชิดหยิ่งของเฟิ่งหลิวที่ไม่หลบสายตาคมดุ
“องค์หญิงสิบสี่ ”แว๊บหนึ่งดีใจอย่างที่สุดเผลอกระชับอ้อมกอดแน่น
“ฝ่าบาท องค์หญิงแคว้นเหนือ อยู่ๆ ก็วิ่งออกมาจากกระโจม”
เสี่ยวหานตะโกนบอกจากข้างนอกกระโจม ตอบคำถามแทนเฟิ่งหลิว
“ปล่อย ” ร่างบางยังขยับตัวหนีแต่โดนมือใหญ่ล็อกไว้แน่น
“บอกมาองค์หญิง เข้ามาในนี้ทำไม”ใจเต้นไม่เห้นจังหวะนางงดามจริงๆแม้จะมองผ่านผ้าแพรบางเบาทว่าดวงตากลมนั้นเขารุ็สึกราวกับว่าคุ้นเคย
“ไม่รู้ไม่รู้อะไรทั้งนั้น” เฟิ่งหลิวลำดับเหตุการณ์เมื่อ ยกชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอกแล้วก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิวก่อนจะสะดุ้งตื่นมาอีกครั้ง บนแท่นนอนในอาภรณ์สีแดง ทีแรกนึกว่าตัวเองตายไปแล้วบนสวรรค์หรือไร ช่างสวยงามตระการตา เสียงคนพูดคุยกันฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สะบัดหัวไล่ความมึนงง
เฟิ่งหลิวลุกขึ้นวิ่งออกมาข้างนอกกระโจม
“องครักษ์จับตัวองค์หญิงแคว้นเหนือไว้”หัวหน้าองครักษ์สั่งเสียงดังลั่นแต่ช้ากว่าเฟิ่งหลิว เพราะนางวิ่งลิ่วไปทั่วกอง จนสุดท้ายก็พาตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของ หมิงซื่อฮ่องเต้
“ปล่อยนะ”เงื้อไม้เงื้อมือ
“สามหาว”เฟิ่งหลิวถอนหายใจยาว
“สามหาวแปดหาวอะไรกัน ข้าไม่ใช่องค์หญิงอะไรนั่น ดูสิ” เปิดผ้าคลุมหน้าออกทันที หมิงซื่อจ้องตาไม่กะพริบตกตะลึงกับใบหน้างามผุดผาดริมฝีปากสีชมพูระเรื่อไม่ได้สีแดงสดอย่างที่คิด ใบหน้าได้รูปสวยจนคนมองตกตะลึง แต่จมูกเชิดหยิ่งดวงตาสีน้ำตาลใสมีแววขี้เล่น แต่ไม่ใช่องค์หญิงสิบสี่อิงเผย เป็นนางคณิกาคนเมื่อเช้าที่เขาจำติดตาไปได้อย่างไร แต่ใบหน้าไม่ได้ขะมุกขะมอมเหมือนเมื่อครั้งแรกที่พบนาง เผลอปล่อยเอวบาง เฟิ่งหลิวเซเกือบล้มคนตัวใหญ่จึงต้องรวบเอวบางมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้งสบตานิ่ง
“เจ้าเป็นใคร”น้ำเสียงระคนสงสัย