ม้าแยกร่าง
ทหารสองคนเข้ามาข้างใน เฟิ่งหลิวลุกขึ้นยืนกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้นหากจะให้ทหารพวกนั้นมาถูกเนื้อต้องตัวทั้งลากทั้งดึงอีกทั้งแต่ละคนท่าทีกักฬะสิ้นดี
"อย่านะ"
"เป็นนางคณิกา เจ้าหวงตัวแบบนี้ได้หรือ"คำก็นางคณิกาสองคำก็นางคณิกา
"ข้าถึงจะเป็นนางคณิกาแต่ก็เป็นนางคณิกาชั้นดี"โกหกทั้งๆ ที่ จะถูกฝึกให้เป็นอี้จีแต่ไม่ทันจะผ่านงานแรกไปด้วยซ้ำ ไไอ้ที่ร่ำเรียนมาหากมาใช้ตอนนี้จะได้ผลไหม
"บอกมาองค์หญิงให้สิ่งใดตอบแทนเจ้าเจ้าจึงต้องมาถ่วงเวลาข้า"น้ำเสียงยามพูดถึงองค์หญิงช่างอ่อนโยน แต่ท้ายประโยคกลับดุดันใส่ เฟิ่งหลิว
"ไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม"ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้
"ไปได้แล้ว"ดึงสายรัดเอวที่ผูกติดกับมือ จูงเฟิ่งหลิวไปที่กระโจมใหญ่ ที่รายรอบด้วยกระโจมเล็กๆ มากมาย คล้ายกับเป็นเกราะป้องกัน
เมื่อถึงกระโจมใหญ่
“นอนข้างล่างนี่แหละ”หมิงซื่อทิ้งเฟิ่งหลิวลงบนผ้าห่มกองใหญ่ด้านล่างที่เสี่ยวหานเอามากองไว้หมายจะเข้ามานอนคอยรับใช้หมิงซื่อ
"เสี่ยวหานเฝ้าประตูไว้แม่นางคนนี้ร้อยเล่ห์มารยา ต้องเป็นข้าที่จัดการนาง"
ในเมื่อใจคิดไปเสียแล้วว่าเฟิ่งหลิวร้อยเล่ห์มารยา ยากจะเปลี่ยนความคิดได้อีกทั้งยังคิดว่าหากปล่อยให้เฟิ่งหลิวนีไปเบาะแสเดียวในการตามหาองคืหญิงสิบสี่อิงเผยจะต้องหายไป
เดินไปจับปลายสายรัดเอวกระตุก แล้วทิ้งตัวลงนอนบนแท่นนอนสบายอารมณ์เฟิ่งหลิวนั่งนิ่งไม่ยอมนอน หมิงซื่อกระตุกเชือกไปมา
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางและยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะบางทีอาจไม่ได้นอนอีกต่อไป สวมรอยเป็นองค์หญิงอาจถูกม้าแยกร่าง หรือไม่ก็ต้องถูกประหาร ข้าชอบที่จะเห็นม้าแยกร่าง ตัดสินใจแล้วให้ม้าแยกร่างดีที่สุด”น้ำเสียงดุดันเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านทั้งที่คนฟังขวัญหนีดีฝ่อ แต่กลับสะกดกลั้นอาการกลัวไว้คนพูดพูดเหมือนกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสิ้นดี
“ดีจะได้ไม่ต้องเห็นหน้า..ท่าน.. อีก”เฟิ่งหลิวบ่นเบาๆ
ฉับพลันนั่นเองใบหน้าหล่อก็ยื่นมาเกือบชิดใบหน้าเนียน
“ใบหน้าข้าเป็นอย่างไร เจ้ามันก็แค่นางคณิกา เหตุใดกล้าต่อคำของข้า พรุ่งนี้ข้าสัญญาสอบสวนเจ้าเสร้จจะใฝห้ม้าแยกร่างเจ้าเสียจะได้ไม่ต้องพบกันอีก” เฟิ่งหลิวนิ่งหลบตาคม ตกใจแทบช็อกเมื่อใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ผลักอกกว้าง แต่ไม่สะดุ้งสะเทือนส่งสายตาเหยียดหยาม
"ไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้กับข้า"น้ำเสียงแสดงว่าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“นอน"ส่งเสียงเข้ม
“ ไม่อยากนอนปล่อยเดี๋ยวนี้ อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะได้นอน”หลายคนในหอนางโลมรู้ดีว่าเฟิ่งหลิวค่อนข้างจะร้ายกาจไม่น้อย แต่...ก็เพียงแต่ตอนที่โมโหเท่านั้นเฟิ่งหลิวจะดื้อแพ่ง
“พอดีเลย เชิญตามสบายอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ข้าออกจากวังหลวงมาแสนนาน ห่างสนมมาก็แรมเดือนหากจะมีเจ้าแก้ขัดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ข้ากำลังจะหลับแต่หากเจ้าปลุกขึ้นมาอีกที ไม่รับรองว่าจะปลุก ...อารมณ์พิษวาสของข้าขึ้นมาหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนแน่ ถึงจะผ่านชายมามากหน้าหลายตา แต่คงไม่มีใครเหมือนข้าแน่”
เป็นคำขู่ที่ได้ผล เฟิ่งหลิวทิ้งตัวลงนอนนิ่งไม่กล้าขยับตัว หลับตาปี๋หน้าแดงแจ๋ด้วยความเขินอายแต่ หมิงซื่อกลับมองไม่เห็น
เฟิ่งหลิวแสร้งทำท่าทีนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านทั้งที่รู้ดีว่าอยู่ในห้องสองต่อสองถึงตะโกนไปพวกข้างนอกก็คนของเขาจะเข้ามาช่วยไหมจากที่ดูหมิงซื่อทรงอำนาจไม่น้อยเป็นถึงฮ่องเต้ ตวาดทีเดียวรับรองพวกนั้นกลัวหัวหด
ล้มตัวลงนอนตะแคงไม่หันไปมองคนที่นอนบนแท่นบรรทม
เสียงหายใจดังสม่ำเสมอแสดงว่าอีกคนหลับไปแล้ว
นอนคิดถึงพรุ่งนี้ จะทำอย่างไรดี ครอบครัวของเฟิ่งหลิวได้เงินมากมายนั่นหรือยังหนอ แล้วจะหนีไปอย่างไรตอนนี้อยู่แห่งใดกัน เฮ้อนอนเอาแรงดีกว่า เพื่อพรุ่งนี้สมองจะได้ปลอดโปร่งหาทางเอาตัวรอดได้อย่างมีสติ สติเท่านั้นที่จะช่วยได้
...เช้าสดใส...
เสียงทหารเซ็งแซ่เหมือนกำลังจะไปรบ ต่างช่วยกันเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินทาง เฟิ่งหลิวงัวเงียตื่นจากที่นอนสายแล้วนี่ ต้องไปทำงานลุกพรวดพลาด ปัดกวาดเช็ดถูหอคณิกา เหมือนในทุกเช้าที่ต้องทำงานหนักพวกนี้ แต่พอหันไปอีกทาง
ต้องยกมือปิดตาเมื่ออีกคนยืนโป๊ให้เสี่ยวหานขันทีข้างกาย แต่งองค์ให้อยู่ ยืนกางมือเกือบเปลือยอยู่ตรงนั้นแบบไม่สะทกสะท้านใดใด