๔.๒ หวานรักรามาวตี
เข้าสู่ตอนบ่ายแก่ๆ แดดเริ่มร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้านวลเนียนชื้นไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ จนต้องยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากออกหลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่ทำให้สาวน้อยคิดจะย่อท้อแต่อย่างใด เพราะหล่อนรู้สึกสนุกและมีความสุขที่ได้ตัดพวงองุ่นสวยๆ เหล่านั้นด้วยมือตัวเอง
อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าซึ่งโปร่งโล่งมาตลอดทั้งวันกลับเริ่มขุ่นมัวด้วยเมฆทะมึน ที่ถูกลมหอบพัดพาเข้ามาปกคลุมอย่างรวดเร็ว ลมเริ่มพัดแรงพร้อมๆ กับเสียงร้องครืนๆ ที่เตือนว่าบัดนี้พายุฝนกำลังกรีดกรายใกล้เข้ามาแล้ว... เหล่าคนงานต่างก็ช่วยกันขนย้ายตะกร้าองุ่นเข้าไปในโรงพักองุ่นอย่างเร่งรีบเพื่อไม่ให้องุ่นที่เพิ่งจะตัดเสร็จเหล่านั้นโดนฝน
“นายหญิงเข้าไปหลบในโรงพักองุ่นก่อนเถอะครับ ฝนกำลังจะตกแล้ว” คนงานชายส่งเสียงเรียกพร้อมทั้งยกตะกร้าองุ่นของหล่อนไปด้วย
“จ้าๆ” เสียงหวานขานรับและวางมือจากการตัดองุ่น
สายตาคู่สวยมองดูคนงานแบกตะกร้าองุ่น ก็นึกอยากจะช่วยบ้าง แต่รู้ว่าตัวเองน่าจะเป็นตัวถ่วงมากกว่าตัวช่วยจึงได้แต่มองอย่างให้กำลังใจ สักพักบรรยากาศรอบๆ ตัวก็เงียบลงเพราะคนงานต่างก็วิ่งเข้าไปหลบฝนกันหมด ร่างอรชรหมุนซ้ายหมุนขวาอย่างไม่รู้จะไปทางไหน และอีกไม่กี่นาทีต่อมาหยาดฝนเม็ดเล็กก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะค่อยๆ หนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเม็ดขนาดใหญ่กระหน่ำเทลงมาบนพื้นดินแบบไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่ว...
ปฏิภาณเข้าไปสมทบกับคนงานในโรงพักองุ่น พลางสอดส่ายสายตาหาร่างอรชรของคู่หมั้นสาว เมื่อไม่เห็นว่าสาวน้อยยืนรวมอยู่กับคนงานคนอื่นๆ ชายหนุ่มก็เกิดอาการร้อนใจขึ้นมาทันควัน
“นายหญิงอยู่ไหนเทพ?” เขาหันไปถามคนงานที่เขาฝากให้ดูแลรามาวตีในระหว่างที่เขาไปตรวจงานที่อื่น
“ไม่ทราบครับนาย เมื่อกี้ผมเรียกนายหญิงแล้ว นึกว่านายหญิงจะตามมา” เทพตอบอ่อยๆ ด้วยกลัวว่าผู้เป็นนายจะโมโหเอา
ด้านนอกพายุฝนฟ้าคะนองยังไม่มีทีท่าจะลดความรุนแรงลง มิหนำซ้ำดูเหมือนว่าฝนจะตกหนักและลมแรงขึ้นทุกขณะ หัวใจของเจ้าของไร่หนุ่มพลุ่งพล่านไปด้วยเพลิงโทสะ ซึ่งเกิดจากความเป็นห่วงคู่หมั้นสาว
“บ้าชะมัด!” เขาสบถแรง ก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนออกไปทางแปลงองุ่นที่หญิงสาวตัดอยู่
เมื่อไปถึงก็พบว่าร่างอรชรยืนเปียกปอนเป็นลูกนกตกน้ำอยู่ใต้ร้านองุ่นนั้นเช่นเดิม ปฏิภาณโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง รีบวิ่งเข้าไปหาและถอดเสื้อแจ็กเกตที่สวมอยู่บังฝนให้หล่อนทันที
“คุณ...” สาวน้อยอุทานอย่างดีใจที่เห็นเขา
“ทำไมมายืนตากฝนอยู่นี่” เสียงนั้นดังเกือบเป็นตะคอก
“ก็เรไม่รู้จะไปทางไหนนี่คะ”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ มือหนากระชับเข้าที่ข้อมือเล็กๆ ก่อนจะพาหล่อนวิ่งไปยังโดมเล็กๆ ซึ่งถูกสร้างเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวหลบแดดที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก
ใบหน้าหล่อคมก้มลงมองใบหน้าอ่อนหวานซึ่งบัดนี้อยู่ในสภาพมอมแมม ผมดำขลับที่เคยพลิ้วเป็นประกายดุจเส้นไหมลู่แนบไปกับศีรษะได้รูป แต่ถึงอย่างไรความสดใสของดวงตากลมแป๋วก็ยังเปล่งรัศมีมากระทบสายตาเขาอยู่ดี
สายลมที่พัดมาแรงๆ ทำให้ร่างบางที่เปียกปอนนั้นสั่นเทิ้มด้วยความเหน็บหนาว ริมฝีปากบางเริ่มซีดเซียว
“หนาวเหรอ...” เสียงทุ้มถามขึ้น
“ค่ะ” หล่อนตอบเสียงสั่น
ร่างสูงขยับไปยืนตรงหน้า สอดมือเข้าที่เอวอ้อนแอ้นและกระชับร่างอรชรเข้าไปกอดไว้ มืออีกข้างโอบที่แผ่นหลังเนียน
“กอดผมสิเร จะได้หายหนาว” เสียงทุ้มพูดเหมือนสั่ง แต่น้ำเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลจนรามาวตีค่อยๆ ซบใบหน้าลงไปอิงแอบกับอกกว้างและยกมือขึ้นโอบรอบเอวเขาเอาไว้ ซึมซับเอาไออุ่นจากร่างกำยำจนอาการสะท้านนั้นค่อยๆ คลายลงทีละนิด
“คุณโกรธเรหรือเปล่าคะ” เสียงหวานถามอู้อี้กับอกกว้าง
เขาก้มลงมองเรือนผมที่เปียกลู่ชั่วขณะ “โกรธเรื่องอะไร?”
“ก็ที่เรไม่ไปหลบฝนในโรงพักองุ่น จนคุณต้องวิ่งออกมาเปียกด้วยอีกคน”
“ถามอะไรโง่ๆ ที่โมโหแทบตายก็เพราะเป็นห่วงนะ” น้ำเสียงนั้นติดดุแต่มือหนากลับลูบศีรษะเล็กๆ อย่างปลอบประโลม
คำตอบของเขาทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นวาบเต็มตื้นในใจ สาวน้อยจึงเผลอเบียดร่างแน่งน้อยเข้าไปหาร่างกำยำจนแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม อกนุ่มหยุ่นบดเบียดไปกับแผงอกกว้าง สะโพกกลมกลึงแนบไปกับต้นขาแข็งแรงที่แน่นเครียดไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา ทำเอาอารมณ์ที่อยากปกป้องแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาขึ้นมาโดยพลัน
“ถ้าเบียดมากกว่านี้ ผมจะทำอย่างอื่นแล้วนะ” เสียงทุ้มพึมพำพยายามข่มอารมณ์เสน่หาที่พุ่งพรวดขึ้นให้กลับลงไปสงบดังเดิม แต่ก็ไม่ง่ายเลยเมื่อเจ้าของร่างเย้ายวนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่ได้ให้ความร่วมมือสักนิด
“ทำอะไรคะ?” เสียงหวานแสร้งถามเหมือนไม่เข้าใจ รู้ว่าเขากำลังทรมานก็ยิ่งอยากแกล้ง
“ปล้ำ...” เสียงทุ้มปนพร่าขู่เบาๆ ที่ข้างใบหูสวย
“เรื่องอะไรเรจะยอมให้ปล้ำ เรจะเก็บความสาวเอาไว้ให้คนที่เรรัก” เสียงหวานพึมพำ
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับก้มลงไปชิดหน้าผากกลมมน
“แล้วตอนนี้รักใครอยู่ล่ะ”
“ไม่บอก...”
ปฏิภาณไม่ว่าอะไรนอกจากหัวเราะ และกระชับอ้อมแขนแน่นหนาขึ้นกว่าเดิมคล้ายจะบอกสาวน้อยว่า หล่อนไม่มีสิทธิ์จะมอบความบริสุทธิ์ให้ใคร นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น! ส่วนรามาวตีเองก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก
เมื่อฝนเริ่มซาลงปฏิภาณจึงพาคู่หมั้นสาวกลับบ้าน โดยกำชับให้หล่อนรีบอาบน้ำสระผมชะล้างเอาน้ำฝนออกเพื่อป้องกันไม่ให้ไข้หวัดเล่นงาน
ในตอนค่ำหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จรามาวตีก็มานั่งเช็ดผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออกหามารดา
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด...
เสียงรอสายดังขึ้นไม่กี่อึดใจคุณเรณูก็กดรับ
“ว่าไงคะลูกสาวคนสวยของแม่” เสียงมารดาเอ่ยทักทาย
“คิดถึงคุณแม่จังค่ะ...” เสียงหวานอ้อนไปตามสาย
“แม่นึกว่าจะหลงเสน่ห์บ้านไร่จนลืมชายทะเลใต้แล้วซะอีก” คุณเรณูล้อลูกสาวเพราะรู้ดีว่ารามาวตีนั้นคลั่งไคล้นิยายที่มีพระเอกเป็นเจ้าของไร่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่ยังน่ากังวลก็คือรามาวตีถูกบังคับให้หมั้นกับปฏิภาณด้วยเหตุผลเพื่อการรักษาชื่อเสียง อาจทำให้รามาวตีไปแผลงฤทธิ์แผลงเดชใส่ปฏิภาณก็เป็นได้
“โธ่คุณแม่ขา... ยังไงเรก็รักทะเลที่สุด”
“แล้วอยู่โน่นเป็นยังไงบ้างลูก ป่วนอะไรว่าที่ลูกเขยแม่หรือเปล่า” คุณเรณูสัพยอก
คำว่า ‘ว่าที่ลูกเขย’ ที่ผู้เป็นมารดาพูดออกมาเต็มปากเต็มคำนั้นทำเอารามาวตีอายม้วนต้วน ใบหน้าสวยหวานค้อนคว่ำอยู่คนเดียว ก่อนจะตอบมารดากลับไปด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“เรียกซะเต็มปากเต็มคำเลยนะคะคุณแม่ ถ้าเกิดเขาเบี้ยวไม่แต่งด้วยขึ้นมาจะทำไงคะ”
“ลูกสาวแม่ออกจะน่ารัก คุณปฏิภาณคงไม่มีทางเบี้ยวหรอก และแม่ก็เชื่อว่าเขามีความเป็นลูกผู้ชายพอ” คุณเรณูพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่ทันไรก็เข้าข้างกันแล้วนะคะ” หญิงสาวทำเสียงเหมือนน้อยใจ
“แน้ๆ อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกับแม่” คนเป็นแม่รู้ทัน