๔.๑ หวานรักรามาวตี
๔
หวานรักรามาวตี
เช้านี้เป็นอีกวันที่รามาวตีต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อออกไปไร่กับคู่หมั้นหนุ่มตามที่ตั้งใจเอาไว้ สาวน้อยลงมารอเขาก่อนเช่นเคย และในระหว่างนั้นก็ถือโอกาสเดินสำรวจสวนหน้าบ้านไปพลางๆ
ไม่ถึงสิบนาทีร่างสูงกำยำในชุดเสื้อเชิ้ตยัดชายในกางเกงยีนสีซีดอวดลำขาแข็งแรงก็เดินออกมา ทันทีที่เหลือบเห็นเขาใบหน้าสวยหวานก็แดงระเรื่อขึ้นทันที กิริยานี้เป็นไปเองอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่เจ้าตัวก็ไม่อาจควบคุมได้
ปฏิภาณหยุดยืนอยู่ข้างรถ สอดนิ้วโป้งทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกงรอให้รามาวตีกลับออกมาจากสวนหย่อม เท้าเล็กๆ ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงปราดเปรียว คนที่ตัวเล็กกว่าเป็นฝ่ายแหงนเงยใบหน้าขึ้นมองเขาก่อน ดวงตาสองคู่สบประสานกันชั่วขณะ แต่สาวน้อยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกตอกตรึงเอาไว้ด้วยดวงตาแสนสวาทคู่นั้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณปฏิภาณ”
“ลืมแล้วเหรอว่าเวลาอยู่กันสองต่อสองต้องเรียกผมว่ายังไง?” ดวงตาคมเข้มไหวระริก ขณะก้มหน้าลงมาใกล้จนริมฝีปากแทบจะสัมผัสกัน
ใบหน้าสวยหวานต้องรีบเอียงหลบในกิริยาแบบเย้ายวนสนิทสนมนั้น แล้วหมุนตัวหันหลังให้เขาเอาเสียดื้อๆ ชายหนุ่มขยับเข้าไปประชิดแผ่นหลังเนียนของคู่หมั้นสาว ก่อนจะสอดวงแขนแข็งแรงทั้งสองข้างโอบกระชับที่เอวคอดเล็ก แล้วรั้งให้มาชิดติดกับแผงอกของตน
ร่างอรชรสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อลมหายใจอุ่นๆ พรมลงมาบนต้นคอขาวเนียนอย่างจู่โจม
“ปล่อยนะคะ... อายเขา” รามาวตีเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าเนียนใส
“อายใคร?” เสียงทุ้มพูดพึมพำชิดใบหูสวย
“ก็คนในบ้านนั่นไงคะ”
“อายทำไม ใครๆ เขาก็รู้ว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน”
“ก็แค่หมั้น... ยังไม่ได้แต่งซะหน่อย” เสียงหวานตัดพ้อเบาๆ
“แล้วใครผิดสัญญาก่อนล่ะ เมื่อคืนตกลงกันว่ายังไง...หือ” เขาทวงสัญญาพลางกดจมูกโด่งสูดเอากลิ่นหอมกรุ่นรัญจวนใจของคนในอ้อมกอดไปด้วย
“ปล่อยก่อนเถอะค่ะ เรขอโทษ คราวหลังจะไม่ลืม” หล่อนใช้ไม้อ่อนโดยการพูดเสียงอ้อนๆ
“ไม่ชอบให้ผมกอดเหรอ...” เสียงทุ้มกระซิบถามพลางพ่นลมหายใจอุ่นๆ ลงบนใบหูสวยสะอาด ทำเอารามาวตีวูบหวิวและปั่นป่วนอยู่ภายในขึ้นมาจนร่างกายสั่นสะท้าน
“บ้าสิคะ ใครจะชอบให้คนอื่นมาลวนลามเอาบ่อยๆ แบบนี้” ตอบเสียงสะบัดแต่กลับแอบอมยิ้ม ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายแห่งความสุขออกมา ขืนหลุดพูดความจริงว่าหล่อนก็ชอบที่ได้อยู่ในวงแขนอุ่นๆ และมีเขาคลอเคลียอยู่ข้างๆ แบบนี้ เจ้าของไร่หนุ่มจอมเจ้าเล่ห์คงจะได้ใจและหัวเราะเยาะหล่อนเป็นแน่
ชายหนุ่มหมุนร่างอรชรหันมาเผชิญหน้า นิ้วเรียวแข็งเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา สาวน้อยรู้สึกว่าดวงตาคมเข้มยามนี้ช่างเป็นประกายร้อนแรงจนหล่อนต้องหลุบเปลือกตาคู่สวยลงมองอยู่แค่อกแกร่งของเขาเท่านั้น
“เขาว่าคนโกหก มักไม่กล้าสบตา”
“แล้วคุณล่ะคะ หาเรื่องกอด หาเรื่องจูบบ่อยๆ แบบนี้หลงรักเรบ้างหรือยัง” สาวน้อยโพล่งถามเอาดื้อๆ
ใบหน้าหล่อคมระบายยิ้ม ไม่คิดว่าหล่อนจะกล้าถามตรงไปตรงมาแบบนี้ เขานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบออกมา
“ยัง...”
คำตอบนั้นทำให้มือบางยกขึ้นปัดมือเขาออกอย่างงอนๆ หมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินไปขึ้นรถ ชายหนุ่มมองตามพลางอมยิ้มขำ ตาเป็นประกายระยิบอ่อนโยนโดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เห็น
“แต่เกือบแล้ว...”
เสียงทุ้มๆ ที่ดังตามมาทำให้เท้าเล็กๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหยุดชะงักชั่วขณะ ใบหน้าสวยหวานแอบอมยิ้มด้วยความเขินแต่ก็ไม่ยอมหันกลับมามองเขาอยู่ดี
ตลอดระยะทางกว่าสิบนาทีที่นั่งรถมาด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบ หากแต่ประกายตาของคนทั้งคู่กลับฉายแววแสนสุข เมื่อทั้งสองมาถึงไร่องุ่น รามาวตีก็พบว่าคนงานกำลังช่วยกันตัดองุ่นในแปลงอย่างขะมักเขม้น สาวน้อยหันมาทางร่างสูงกำยำที่เดินอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต
“เรอยากลองตัดองุ่นดูบ้างค่ะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น “ไหวเหรอ ตอนกลางวันแดดแรงมากนะ”
“ไหวสิคะ รามาวตีซะอย่าง สบายมาก” ใบหน้าสวยหวานยิ้มสู้
ปฏิภาณยอมตามใจ จึงสั่งให้คนงานหากรรไกรและเข่งสำหรับบรรจุองุ่นให้ หลังจากนั้นเขาก็สอนวิธีการตัดพวงองุ่นที่ถูกต้องด้วยตัวเอง โดยเลือกแปลงที่ต้นยังไม่สูงมากนักเพื่อที่สาวน้อยจะได้ไม่ตัดลำบาก
“คุณทำยังไงคะ องุ่นถึงได้พวงโตและออกผลต่อเนื่องแบบนี้” เสียงหวานเอ่ยถามขณะใช้กรรไกรตัดที่ขั้วพวงองุ่นซึ่งแก่เต็มที่ แล้วบรรจุลงเข่งด้วยความระมัดระวัง
“เคล็ดลับของการปลูกองุ่นให้ได้ผลดีอยู่ที่การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งครั้งที่หนึ่งจะเรียกว่า ‘มีดแรก’ ส่วนการเก็บเกี่ยวครั้งต่อมาเรียกว่า มีดสอง มีดสาม และมีดสี่ ส่วนใหญ่ทุนจะได้คืนตั้งแต่มีดแรก มีดหลังๆ นี้จะถือว่าเป็นผลกำไรแล้ว อีกอย่างนะครับเร ที่นี่ได้เปรียบเรื่องภูมิอากาศด้วย องุ่นชอบอากาศเย็นแต่ห้ามให้เจอลมแรง เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องทำเสาและร้านให้แข็งแรง”
ชายหนุ่มเล่าและคอยประคับประคองร่างอรชรอยู่ไม่ห่าง ทำให้คนงานหลายๆ คนที่ตัดองุ่นอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นอดอมยิ้มกับภาพหวานของผู้เป็นนายไม่ได้
มีอยู่จังหวะหนึ่งที่รามาวตีต้องเขย่งเท้าขึ้นไปตัดพวงองุ่น เพราะขั้วอยู่สูงกว่าพวงอื่นๆ ทำให้ร่างสูงกำยำต้องมายืนซ้อนหลังและช่วยช้อนประคองพวงองุ่นพวงนั้นลงมา
“อย่าทำอะไรรุ่มร่ามสิคะ ดูสิคนงานมองอยู่นะ” เสียงหวานหันมาเอ็ดเบาๆ พอได้ยินกันสองคน
“คิดมากไปได้ คนแค่อยากช่วย”
“ก็...” สาวน้อยกำลังจะหันไปเถียง
“อย่าหันมานะ” เขารีบปราม “เดี๋ยวแก้มชนจมูกผม กลัวคนงานจะเอาไปลือว่านายหญิงรามาวตีถูกหอมแก้มกลางไร่”
“คนเจ้าเล่ห์” เสียงหวานได้แต่บ่นกระปอดกระแปด
ในช่วงพักกลางวัน ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารร่วมกับคนงานคนอื่นๆ รามาวตีรู้สึกเขินๆ เหมือนกันที่ถูกสายตาหลายคู่ต่างจับจ้องมองมาอย่างชื่นชม
คนงานเหล่านั้นรู้ว่ารามาวตีคือคู่หมั้นของนาย ซึ่งในอนาคตจะมาเป็นนายหญิงของพวกเขา ทุกคนต่างชื่นชมเพราะรามาวตีหน้าตาน่ารักสะสวยเหมาะสมกับนายของพวกเขาที่หล่อเหลาไม่ด้อยไปกว่าพระเอกคนไหนๆ และที่สำคัญไปกว่านั้น ว่าที่นายหญิงรู้จักที่จะเรียนรู้งานในไร่อย่างไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ปฏิภาณปลีกตัวไปตรวจงานในไร่กับนพกร ปล่อยให้คู่หมั้นสาวตัดองุ่นอยู่ตามลำพัง โดยไม่ลืมที่จะกำชับให้คนงานคอยช่วยดูแลหล่อนในระหว่างที่เขาไม่อยู่