เสน่หารามาวตี ซีรีส์ชุดยอดเสน่หาซาตาน ลำดับที่๒

132.0K · จบแล้ว
เทียนธีรา
55
บท
26.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เมื่อภาพการจุมพิตเพราะความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับบุรุษหนุ่มถูกนำไปตีแผ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ รามาวตี ศิวัฒน์ชัย สาวน้อยในวัยน่ารักสดใส ลูกสาวมหาเศรษฐีอย่างเธอต้องตกกระไดพลอยโจนหมั้นกับเขาเพื่อรักษาชื่อเสียงของตน และถึงแม้เธอจะเป็นฝ่ายปฏิเสธการหมั้นกับชายหนุ่มก่อน แต่ในเมื่อเขาก็คิดจะปฏิเสธการแต่งงานกับเธอบ้างเหมือนกัน ความอยากเอาชนะจึงทำให้คนดื้อรั้นอย่างรามาวตียอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด หญิงสาวมุ่งมั่นที่จะทำให้ผู้ชายหล่อ เท่ โหด เถื่อน เก่ง รวยคนนี้รักเธอให้ได้ และหลังจากนั้น เธอก็จะเป็นฝ่ายสลัดเขาทิ้งเองภารกิจยั่วให้รักจึงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยถือคติที่ว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา! หนึ่งปี...ที่จะทำให้เขารักให้ได้ สาวน้อยหัวรั้นจึงต้องงัดกลเม็ดทุกกระบวนท่า และมารยาแทบทุกเล่มเกวียน ทั้งยั่ว ทั้งยวน ทั้งป่วนด้วยเสน่หาของรามาวตี โดยลืมคิดไปว่า หัวใจของเธอนั้นหาใช่ดั่งหินผา ที่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับผู้ชายคนนี้ มารู้ตัวอีกที ก็ถูกเขารุกล้ำพื้นที่หัวใจไปซะแล้ว!!ปฏิภาณ วิจิตราเจ้าของไร่องุ่นขนาดใหญ่ คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย สมองอันชาญฉลาดของเขาสั่งการเรื่องการถูกจับหมั้นหมายในครั้งนี้ว่า เขาไม่มีทางยอมแต่งงานกับผู้หญิงจืดชืดที่ห่างไกลจากคำว่า เซ็กส์ เอ็กซ์ อึ๋ม อย่างรามาวตีแน่นอน แต่เมื่อเจ้าหล่อนกล้าจะกระตุกหนวดเสือและอยากจะพิสูจน์เสน่ห์ของตนเอง ชายหนุ่มก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอจะยั่วเขาได้สักแค่ไหน หากแต่ความเจ้าเล่ห์ แสนงอน จอมพยศ และร่างนุ่มๆ หอมๆ ของเจ้าหล่อนนั้นกลับทำให้ปฏิภาณตกลงไปในบ่วงเสน่หาของรามาวตีอย่างง่ายดาย โดยที่หล่อนไม่จำเป็นต้องลงทุนยั่วยวนเขาให้มากมายเลยด้วยซ้ำ!!

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบัน

บทนำ

บทนำ

งานแต่งงานระหว่าง ‘รามิล ศิวัฒน์ชัย’ มหาเศรษฐีหนุ่มหล่อผู้ทรงอิทธิพลแถบชายฝั่งทะเลอันดามันกับ ‘ปริญชยา’ นักประพันธ์สาวจัดขึ้นที่โรงแรมเพิร์ลไดมอนด์ ซึ่งเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวบนชายหาดสีขาวสะอาดในจังหวัดภาคใต้

สาวน้อยเจ้าของร่างอรชร ส่วนสูงร้อยหกสิบสี่เซนติเมตรในชุดเดรสสีเหลืองอ่อนอมยิ้มให้กับความน่ารักของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวของงานในคืนนี้ การต้อนรับแขกถึงจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนแต่รอยยิ้มนั้นไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้าเพราะหล่อนมีความสุขมากที่ได้เห็นพี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก

แขกคนสุดท้ายเข้างานแล้ว หญิงสาวจึงเดินเลี่ยงออกมารับลมที่ระเบียงด้านนอกซึ่งอยู่ติดกับห้องแกรนด์บอลรูมที่เป็นห้องจัดงาน

สายตาสะดุดกับร่างสูงของสาโรจน์ซึ่งเป็นแขกของฝ่ายเจ้าสาวกำลังยืนทอดมองออกไปนอกระเบียง ร่างอรชรก้าวเข้าไปหาเพื่อทักทาย แต่ทว่ารองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่เกิดพลิกกะทันหันจนทำให้เสียหลักเซถลา

“โอ๊ย!...”

สาโรจน์หันขวับมามอง สองแขนแข็งแรงรีบยื่นเข้าไปช่วยประคองทันเวลาก่อนที่หญิงสาวจะล้มกระแทกกับพื้น

“คุณรามาวตีเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างสุภาพบุรุษที่ดีพึงกระทำ

“ไม่เป็นไรค่ะคุณสาโรจน์ เรแค่รองเท้าพลิก ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเรเอาไว้ ไม่งั้นมีหวังเรคงล้มคว่ำ หน้ากระแทกกับพื้นแน่ๆ” หญิงสาวยิ้มอายๆ กับความซุ่มซ่ามของตัวเอง

“สงสัยคุณรามาวตีจะยืนนานน่ะครับ ข้อเท้าเลยพลิก”

“คงจะจริงค่ะ วันนี้แขกมางานเยอะมาก”

รามาวตีสนทนากับสาโรจน์ด้วยไมตรีอันดี เพราะอย่างน้อยเขาก็มีความเป็นสุภาพบุรุษ แต่หล่อนไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกับสาโรจน์กลายเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งเข้าเสียแล้ว...

“ทำไมคุณสาโรจน์หลบมาอยู่นี่ที่ล่ะคะ”

“ข้างในมันดูอึดอัดน่ะครับ ผมเลยหลบออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักพัก”

“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มางานแต่งของพี่ชายเร”

“อย่าขอบคุณเลยครับ แป้งก็เหมือนน้องสาวผม ยังไงซะผมก็ต้องมาแสดงความยินดีในวันสำคัญของเขา” สาโรจน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“คุณสาโรจน์คงไม่โกรธพี่ชายเรใช่ไหมคะ” รามาวตีถามต่อด้วยรู้ดีว่าผู้ชายตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกับพี่สะใภ้ของตนเอง

“เฮ้อ...” สาโรจน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็อยากจะโกรธนะครับ แต่ทำไงได้ในเมื่อแป้งรักเขา ผมก็ต้องทำใจให้ไม่โกรธและยินดีกับความสุขของแป้ง”

“ไม่เอาสิคะ อย่าถอนหายใจอย่างนั้น เรเชื่อว่าพี่โรมต้องดูแลพี่แป้งเป็นอย่างดี และผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษอย่างคุณสาโรจน์ต้องได้เจอผู้หญิงดีๆ แน่นอนค่ะ” รามาวตีเอ่ยเสียงอ่อนโยนหวานละมุนและสบตาสาโรจน์อย่างให้กำลังใจ

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ

“เข้าไปในงานเถอะนะคะ พี่แป้งอาจจะกำลังมองหาพี่ชายที่น่ารักอย่างคุณอยู่”

แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะขยับตัว เสียงเข้มๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น

“หลบมาอยู่ตรงนี้กันนี่เอง...” น้ำเสียงเจือไว้ด้วยความยียวนก่อนจะหันไปทางสาโรจน์ “...แป้งถามหาแกน่ะ”

“ฉันจะเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” สาโรจน์ตอบผู้มาใหม่ ก่อนจะหันไปทางรามาวตี “ไปพร้อมกันเลยไหมครับคุณรามาวตี?”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าและทำท่าจะก้าวตามสาโรจน์เข้าไป แต่เสียงเข้มของปฏิภาณขัดขึ้นอย่างห้วนๆ

“เดี๋ยวก่อนคุณรามาวตี...”

คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน “มีอะไรคะ?”

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณตามลำพัง” เขาเน้นคำหลัง

“ก็ได้ค่ะ”

รามาวตีรับคำก่อนจะหันไปสบตากับสาโรจน์เป็นเชิงบอกให้เข้าไปก่อน สาโรจน์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงไปทั้งๆ ที่ใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนของตนมีเรื่องอะไรจะคุยกับสาวน้อยคนนี้

“มีอะไรหรือคะ” รามาวตีถามขึ้นเมื่อสาโรจน์เดินไปไกลแล้ว

“ผมแค่อยากจะเตือนคุณในฐานะญาติ ถ้าคิดจะพลอดรักกับผู้ชายก็ควรเลือกสถานที่และความเหมาะสมบ้าง เป็นสาวเป็นนางทำตัวแบบนี้มีแต่จะหมดราคา” ปฏิภาณเล่นงานรามาวตีแบบไม่ให้ตั้งตัวทันที

“ฉันไม่ได้พลอดรักกับใคร ฉันบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดอย่างที่คุณกล่าวหา” รามาวตีโต้กลับอย่างฉุนๆ เช่นกัน

“บริสุทธิ์ใจจนถึงขนาดมายืนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างไม่อายใครอย่างเมื่อกี้น่ะเหรอ” ปฏิภาณย้อนถามเสียงห้วนปนเยาะหยัน

รามาวตีไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิภาณจะต้องมาทำท่าโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงใส่หล่อนแบบนี้ ใบหน้าหล่อคมคร้ามของเขาบึ้งตึงเคร่งขรึม ดวงตาเครียดเขม็งจนดูน่ากลัว หากแต่คนที่ไม่ยอมคนอย่างหล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะคิดกลัวเขาหรอก ใบหน้าสวยหวานชูคอตอบอย่างถือดีเช่นกัน

“มันก็แล้วแต่คุณจะคิด แล้วมันเรื่องอะไรของคุณไม่ทราบคะ”

คำพูดเหมือนไม่แยแสและแสนอวดดีไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำมันถังใหญ่ๆ ราดลงบนกองไฟที่กำลังร้อนระอุ

“ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก ถ้าไม่เห็นว่าคุณเป็นญาติของน้องสาวผม เห็นท่าทางติ๋มๆ ทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์ ที่แท้ก็บ้าผู้ชายใช่เล่น”

ใบหน้าเนียนแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความโกรธและอับอาย ทันใดนั้นมือเล็กๆ ก็ยกขึ้นเตรียมจะฟาดลงไปที่ใบหน้าหล่อคมเพื่อสั่งสอนให้เขารู้ซึ้งบ้างว่าอย่ามาพูดจาพล่อยๆ กับหล่อน แต่ยังไม่ทันที่มือข้างนั้นจะปลิวเข้าไปกระทบใบหน้าของเขา ก็ถูกมือใหญ่รวบเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับที่เอวเล็กถูกกระชากเข้าไปกอด!

“ทำไม? พูดแทงใจดำแล้วทนฟังไม่ได้หรือไง”

ใบหน้าหล่อโน้มลงมาหา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นรดริมฝีปากอิ่มในระยะประชิด จนรามาวตีรู้สึกสะท้านและขนลุกซู่ไปทั้งร่าง

“ถึงฉันจะบ้าผู้ชายแค่ไหน แต่ผู้ชายคนเดียวที่ฉันไม่คิดจะพิศวาสก็คือคุณ” เสียงหวานสบถใส่พลางเชิดหน้าขึ้นจ้องตาอย่างท้าทาย

“ถ้าอย่างนั้นเรามาพิสูจน์กันหน่อย ว่ามันจะจริงอย่างที่คุณพูดหรือเปล่า”

จบคำริมฝีปากหยักก็โฉบลงมาบดขยี้จูบไปทั่วใบหน้างดงาม รามาวตีดิ้นรนสุดเรี่ยวแรง พยายามเบี่ยงใบหน้าหลบการระดมจูบอย่างตื่นตกใจ

“นี่คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! บอกให้ปล่อย!” รามาวตีร้องเสียงหลง พลางดิ้นรนขลุกขลักให้หลุดจากพันธนาการของเขาเป็นพัลวัน มือทุบตีระรัวเข้าที่แผงอกแกร่ง หากแต่ร่างหนาไม่สะทกสะเทือนสักนิด ริมฝีปากร้อนรุ่มยังคงระดมจูบอย่างป่าเถื่อนรุนแรง มือหนาข้างหนึ่งสอดขึ้นที่ท้ายทอยได้รูป ตรึงเอาไว้ไม่ให้ขยับ ก่อนจะลากไล้ริมฝีปากหยักไปประกบกลีบปากนุ่มปิดกั้นเสียงร้องของหล่อนจนเงียบสนิท ใช้ความช่ำชองบังคับให้ริมฝีปากอ่อนนุ่มเผยอเปิด แล้วจึงแทรกเรียวลิ้นอันร้ายกาจจู่โจมเข้าไปในโพรงปากแสนหวานทันที

ใช้ความชำนาญพลิกพลิ้วแทรกไซ้ไปทั่วทุกอณูดูดดื่มกวาดเซาะเอาความหอมหวานแล้วถ่ายเทความเร่าร้อนรัญจวนใส่เข้าไปแทน

รามาวตีอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง สัมผัสอันหวามหวานนั้นเหมือนจะสูบเอาเรี่ยวแรงของหล่อนไปจนหมดสิ้น พยายามเตือนสติตัวเองไม่ให้ยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่าในวินาทีนั้นสมองคล้ายจะหยุดสั่งการไปชั่วขณะ สองแขนบอบบางเลื่อนปะป่ายขึ้นไปตามอกแกร่งจนกระทั่งเอื้อมตวัดรัดรอบต้นคอเขาเอาไว้แน่น พลางเผยอรับการจุมพิตดูดดื่มเร่าร้อน ส่งเรียวลิ้นนุ่มเข้าไปกระหวัดเกี่ยวพัวพันกับเรียวลิ้นอุ่นจัดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทำเอาชายหนุ่มส่งเสียงครางลึกลอดไรฟันออกมาด้วยความพึงพอใจ

“อืม”

ความนุ่มนิ่มเนียนละเอียดของผิวกายสาวที่ได้รับจากร่างอ้อนแอ้นในอ้อมกอดปลุกเร้าให้อารมณ์บางอย่างของชายหนุ่มพลุ่งพล่านขึ้นอย่างสุดระงับ เพียงแค่ปฏิกิริยาตอบสนองเล็กๆ น้อยๆ ของร่างอรชรก็ทำเอาความเป็นบุรุษแข็งขืนจนแทบระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ

ปฏิภาณถอนจูบจากปากนุ่มราวกับกลีบดอกไม้เมื่อหญิงสาวทำท่าจะหายใจไม่ทัน ปากอุ่นจัดและจมูกโด่งคมค่อยๆ เลาะริมไปที่ใบหูเล็กๆ ขบกัดเบาๆ อย่างหยอกเย้า รามาวตีขนลุกซู่ไปทั้งร่างกับการสัมผัสเชิงยวนสวาทของเขา

ร่างนุ่มนิ่มที่หอมกรุ่นดั่งกลิ่นดอกไม้ป่าอันแสนบริสุทธิ์ช่างเย้ายวนอารมณ์ยิ่งนัก ปฏิภาณผู้ซึ่งสามารถควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอดเกือบจะตบะแตก เขานึกอยากจะกระชากฉีกทึ้งอาภรณ์ทั้งหมดทิ้งไปเสียสิ้น ยกขาเรียวสวยขึ้นเกี่ยวกระหวัดรอบเอวแกร่ง แล้วพาตัวเองดิ่งลึกเข้าสู่ความหฤหรรษ์อันแสนหวานที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของหล่อน

ชายหนุ่มตกใจในความต้องการอันรุนแรงของตน ตระหนักในตอนนั้นเองว่าร่างนุ่มนิ่มแสนหวานซึ่งผุดผาดราวกับกุหลาบแรกแย้ม แท้จริงแล้วคือไฟดีๆ นี่เอง...รามาวตีรวมเอาความหวานและความเร่าร้อนไว้ในตัวเองไม่ต่างอะไรกับน้ำผึ้งกลางเปลวไฟ เสน่ห์อันแสนยั่วยวนของหล่อนนี่เองที่หลอกล่อให้ผู้ชายหลายคนต่างวิ่งพล่านเข้าหาความสวยของเปลวไฟอย่างเต็มใจ แม้รู้ว่ามันจะร้อนระอุเพียงใดก็ตาม และตอนนี้เขาก็กำลังจะเป็นหนึ่งในผู้ชายหน้าโง่พวกนั้น ที่หลงกระโจนเข้าไปในบ่วงเสน่หาของหล่อน แต่ช่างปะไร เรื่องห่าเหวอย่างอื่นช่างหัวมันเถอะ ตอนนี้ร่างนุ่มๆ ของหล่อนน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ

เมื่อความเป็นหนุ่มถูกปลุกให้คึกคักขึ้นมา มือกำยำจึงสนองตอบโดยการลูบไล้สำรวจไปตามสะโพกผาย เอวคอดกิ่ว ไล้ขึ้นไปตามแผ่นหลังนวลเนียนก่อนจะวนเข้ามาหาปทุมถันคู่งาม สองมือทาบทับลงบนทรวงอกอวบอิ่มแล้วเริ่มเคล้นคลึงเบาๆ

ร่างบางสะดุ้งเฮือกและได้สติในตอนนั้น ความอับอายแล่นเข้าจู่โจมหัวใจดวงน้อยทันทีเพราะตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาวยังไม่เคยมีมือของบุรุษใดได้สัมผัสความงามอันน่าหวงแหนนั้นเลย

สติสัมปชัญญะและสำนึกอันดีของผู้หญิงที่พึงรักนวลสงวนตัวกลับมาอีกครั้ง รามาวตีผลักอกแกร่งนั้นออกห่าง ก่อนจะตวัดมือเล็กกระทบใบหน้าคมคร้ามเต็มแรง คราวนี้ไม่พลาดเป้าเพราะเขาไม่ทันได้ตั้งตัว

ฉาดดด!

“คนเลว!!” หญิงสาวตวาดลั่น ตัวสั่นเทาราวกับลูกนกน้อยที่เพิ่งผ่านพายุฝนครั้งใหญ่มาหมาดๆ

“ผมก็เห็นคุณร่วมมือดีนี่ นึกว่าชอบเสียอีก” เขายิ้มมุมปากยวนยั่ว

“คนบ้า! คนเถื่อน! ฉันเกลียดคุณ!”

รามาวตีอับอายที่สุดในชีวิตเมื่อโดนย้อนอย่างยียวนเย้ยหยัน กำปั้นเล็กๆ ทั้งสองข้างระดมทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่งอีกระลอก ต่อไปนี้หล่อนจะเลิกชอบนิยายที่พระเอกเป็นเจ้าของไร่โหดเถื่อนอย่างเด็ดขาด!

ปฏิภาณใช้มือแกร่งรวบมือของหล่อนไว้อย่างรำคาญ แล้วโน้มหน้าลงชิดริมฝีปากจนลมหายใจปะทะลมหายใจ หญิงสาวตวัดสายตามองหน้าหล่อคมอย่างเกรี้ยวกราด พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการของเขา

“ปล่อยฉันนะ!”

“ถ้าไม่เลิกอาละวาด ผมจะจูบอีก!”

“คนบ้า” หล่อนยังก่นด่า ใบหน้าหวานแดงก่ำ ดวงตาเคืองขุ่นวาวโรจน์

“ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู...” เขาขู่ซ้ำ

คำขู่ของเขาได้ผลชะงัดเพราะทำให้รามาวตีหยุดดิ้นในทันที

“ว่าง่ายดีนี่”

ปฏิภาณหลุบตาลงมองริมฝีปากนุ่มนิ่มราวกับกลีบดอกไม้ซึ่งเขารู้ดีว่าหอมหวานแค่ไหนเพราะเพิ่งชิมรสด้วยปากตนเองมาหมาดๆ หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อ อาศัยจังหวะนั้นผลักเขาออกห่างแล้วรีบหันหลังเดินแกมวิ่งหนีไปทันที

ดวงตาคมเข้มมองตามหลังร่างอรชรนั้นอ่อนโยนลง และคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น...