๓.๓ นายหญิงฝึกหัด
ตอนค่ำหลังจากรับประทานอาหารเย็น รามาวตีก็ปลีกตัวขึ้นข้างบนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนผ้าชีฟองสีขาวประดับลายด้วยดอกไม้สีชมพูดอกเล็กๆ พอน่ารัก มือบางหยิบหวีมาแปรงผมสีดำสลวยที่ยาวประบ่าจนขึ้นเงาก็คลานขึ้นเตียง คืนนี้หล่อนตั้งใจจะนอนเร็วเพราะเมื่อคืนที่ผ่านมามัวแต่คิดวุ่นวายกว่าจะหลับก็ค่อนรุ่ง มิหนำซ้ำตอนเช้ายังตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่าง แต่ยังไม่ทันที่ร่างอรชรจะล้มตัวลงนอน เสียงเคาะหนักๆ ที่ประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นติดๆ กัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
เคาะอย่างไม่เกรงใจแบบนี้คงไม่มีใคร... รามาวตีอยากจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินนัก แต่ดูเหมือนคนที่เคาะอยู่ข้างนอกจะไม่ยอมรามือง่ายๆ สาวน้อยจึงตัดสินใจลุกจากที่นอน เอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมสีหวานมาใส่ทับก่อนจะเดินไปปลดล็อกลูกบิด และดึงประตูเปิดออกอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลมหายใจของหล่อนชะงักไปชั่วขณะทันทีที่เห็นเขา ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครแต่ก็อดตกใจไม่ได้เมื่อสายตาปะทะกับร่างสูงตระหง่านที่กำลังยืนคิ้วขมวดอยู่ตรงหน้าห้อง
“มีอะไรคะ ฉันจะนอนแล้วนะ รู้จักเกรงใจหน่อยสิ” เสียงหวานโวยวายใส่เพื่อกลบเกลื่อนอาการตื่นเต้นของตัวเอง
“มีเรื่องจะคุยด้วย”
“เรื่องอะไรคะ เอาไว้คุยพรุ่งนี้ก็ได้ ฉันง่วงแล้วค่ะ” สาวน้อยพยายามตัดบทและทำท่าจะปิดประตูหนีเอาดื้อๆ
แต่ชายหนุ่มไม่สนใจท่าทีนั้น เขาถือวิสาสะแทรกตัวเข้าไปข้างใน แล้วเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนของหล่อนหน้าตาเฉย
รามาวตีมองตาค้าง เม้มริมฝีปากเรียวบางเป็นเส้นตรง ก่อนจะรีบหันขวับตามคนที่ก้าวล่วงเข้ามาในห้อง เท้าเล็กๆ ก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง
“คุณมีเรื่องอะไรจะพูดก็รีบพูดมาสิ”
ใบหน้าหล่อเข้มกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พร้อมกับใช้สายตาตรึงที่ใบหน้าสวยหวานนั้นนิ่ง
“รีบไล่ขนาดนี้ กลัวผมจะทำอะไรล่ะ หือ?”
รามาวตีสูดลมหายใจและเชิดหน้าขึ้น ลำแขนเรียวยกขึ้นกอดอกเพื่อปกปิดความอวบอิ่มจากสายตาซุกซนของเขา พยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้อย่างมิดชิด ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงโครมครามระทึกไปหมด เพราะตอนนี้ดวงตาคมเข้มพราวระยับทอดมองมาไม่วางตา
“ไม่กลัว เพราะคุณคงไม่ทำอะไรหรอก ในเมื่อฉันไม่ได้เร่าร้อนเหมือนพวกสาวๆ ของคุณ” สาวน้อยรีบดักคออย่างชาญฉลาด ชายหนุ่มจึงยิ้มขำเพราะไม่คิดว่าจะโดนชกใต้เข็มขัดเข้าเต็มๆ
“มานั่งนี่สิ” เขาตบที่นอนข้างๆ
“ยืนอยู่ตรงนี้ก็คุยได้ค่ะ”
เมื่อคู่หมั้นสาวดื้อนัก มือหนาจึงเอื้อมไปดึงต้นแขนกลมกลึงแล้วอาศัยความว่องไวกระตุกเสื้อคลุมตัวสวยของหล่อนเบาๆ มันก็หลุดติดมือเขาออกมาอย่างง่ายดาย
“อุ๊ย!” เสียงหวานร้องอุทาน เพราะไม่คิดว่าจะถูกเขาจู่โจมรวดเร็วขนาดนี้
สายตาคู่คมพราวระยับขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นร่างอรชรในชุดนอนน่ารักน่าทะนุถนอมนั้น และเมื่อขยับอีกครั้ง สาวน้อยก็ถูกดึงให้ไปนั่งลงบนต้นขาแข็งแรงราวกับท่อนไม้ของเขา
“ปล่อยสิคะ... ไม่งั้นฉันไม่คุยด้วยนะ” เสียงหวานโวยวายพลางพยายามดิ้นรนลงจากตักเขาให้ได้
ปฏิภาณยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่คุยก็ไม่เป็นไร กอดเฉยๆ ก็ดีไปอย่าง”
รามาวตีหน้าแดงระเรื่อ หยุดดิ้นไปโดยพลัน เมื่อคิดได้ว่ายิ่งดิ้นตัวเองยิ่งเสียเปรียบ
“ถ้างั้นก็รีบพูดมาสิ” เสียงหวานเริ่มอ่อนลง
“แค่จะมาบอกเรื่องหน้าที่ของคู่หมั้น”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเอียงคอถาม “ทำไมคะ ฉันทำหน้าที่คู่หมั้นบกพร่องตรงไหน?”
“ทุกอย่าง...” เสียงทุ้มตอบเรียบๆ แต่ทำเอาคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาเต็มตา
“แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรบ้าง”
“หน้าที่ของคู่หมั้นอย่างแรกคือ ต้องเรียกว่าที่สามีด้วยภาษาที่อ่อนโยนนุ่มนวลรื่นหู แทนตัวเองว่า ‘เร’ และเวลาอยู่สองต่อสองต้องเรียกผมว่าที่รัก” ชายหนุ่มอธิบายพร้อมทั้งจ้องใบหน้าเนียนใสที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว
รามาวตีแทบจะตั้งตัวไม่ติดกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของปฏิภาณ สาวน้อยเฝ้าครุ่นคิดว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหนก็ตาม เรื่องอะไรหล่อนจะยอมให้เขาสั่งอยู่ฝ่ายเดียว
“ไม่เอาหรอกค่ะ”
“ถ้าไม่ทำตามก็ต้องถูกลงโทษด้วยการจูบหนักๆ เอาแบบดิบเถื่อนเหมือนที่คุณชอบเลยดีไหม” เสียงทุ้มขู่แบบกระเส่า มองมาด้วยสายตาเอาจริง ทำให้รามาวตีชักหวาดๆ จนต้องรีบร้องขึ้น
“ไม่!”
“ถ้าไม่ก็ต้องทำตามที่ผมบอก อย่างไม่มีเงื่อนไข”
สาวน้อยนิ่งไปด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ว่าไง ตกลงหรือเปล่า?” เขาถามซ้ำอย่างเร่งเร้า
รามาวตีจำต้องพยักหน้า ก้มหน้างุดลงก่อนจะตอบอุบอิบ “ตกลงก็ได้ค่ะ”
นิ้วเรียวแข็งเชยคางมนนั้นขึ้นมาสบตา “ถ้าอย่างนั้น ลองเรียกดูสิครับ”
“เอ่อ…” สาวน้อยอึกอักเขินอายเกินกว่าจะพูดคำเหล่านั้นออกมาได้
เมื่อหล่อนไม่ยอมทำตาม คนเผด็จการจึงกดปลายจมูกโด่งลงบนแก้มใสแล้วลากต่ำลงไปพรมจูบทั่วทั้งซอกคอขาวเนียนอย่างจู่โจม
“อย่าค่ะ... เรเรียกแล้วก็ได้...” เสียงหวานร้องห้ามพลางเบี่ยงลำคอและใบหน้าหนีจากสัมผัสร้อนๆ ที่กำลังดอมดมเอาความหอมกรุ่นของเนื้อสาวเข้าปอดด้วยความหลงใหล
“เรียกสิ... ผมรอฟังอยู่” เสียงทุ้มพูดพึมพำ
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นแล้วค่อยๆ พูดตามที่ถูกสอนอย่างแผ่วเบาราวกระซิบ
“ที่รัก...”
ปฏิภาณยิ้มในหน้า เมื่อเห็นคนแสนพยศยอมพูดตาม
“อืม... หน้าที่ข้อแรกถือว่าผ่านแล้ว แต่ยังไงก็ต้องติดตามผล”
“ถ้าพอใจแล้วก็ออกไปสิคะ เรจะนอน” หล่อนรีบเอ่ยปากไล่ทันที
“ยังหรอกที่รัก มีอีกข้อที่คุณต้องเรียนรู้... ก็คือการจูบ”
“จูบ!” สาวน้อยอุทานเสียงสูง
“คุณต้องหัดจูบผมบ้าง เข้าใจหรือเปล่า” ชายหนุ่มทำหน้าตาเจ้าเล่ห์แต่ก็แฝงไปด้วยความกรุ้มกริ่ม
“เรจูบไม่เป็นนี่” รามาวตีพูดเสียงเบา ก่อนจะหลุบเปลือกตาสวยหวานลงอย่างขวยเขิน พวงแก้มใสแดงระเรื่อยิ่งทำให้น่ารักและแสนเย้ายวน ทำเอาปลายจมูกโด่งคมต้องก้มลงไปแตะเบาๆ ก่อนจะคลอเคลียไปทั่วแก้มนุ่มๆ นั้น
“เราจูบกันออกจะบ่อย” กระซิบเบาๆ ที่ข้างใบหูสวยสะอาด
“ใครบอก… มีแต่คุณที่เป็นฝ่ายจูบเรต่างหาก” รามาวตีเถียงอุบอิบ รู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วใบหน้า
“เอาปากมาประกบผม แล้วผมจะสอนให้”
ดวงตากลมแป๋วมองใบหน้าหล่อคมอย่างนิ่งงันไปชั่วขณะ แต่ภายในเต็มไปด้วยความปั่นป่วน รู้ดีว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางยอมให้หล่อนปฏิเสธแน่นอน สาวน้อยยังกล้าๆ กลัวๆ แม้ลึกๆ จะรู้สึกอยากลองก็เถอะ แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเตลิดจนปล่อยให้อะไรๆ มันเลยเถิดมากไปกว่านั้น ดูสายตาคมวิบวับเป็นประกายกรุ้มกริ่มของเขาสิ ช่างผิดกับคนที่เก๊กขรึมพูดจาร้ายกาจใส่หล่อนราวกับเป็นคนละคน ทำเอาหัวใจของสาวน้อยเต้นแรงระทึก
“สัญญานะคะว่าจะไม่ล่วงเกินเรมากกว่าจูบ” เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องหาทางเอาตัวรอดไว้ก่อน
“ไม่มีปัญหา...” เขารับปากพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ท่าทางกึ่งกล้ากึ่งอายนั้นทำให้แทบจะอดใจไม่อยู่ แต่ก็ยังพยายามใจเย็นรอคอยให้หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
เมื่อได้ยินคำสัญญานั้นแล้ว มือเล็กบางจึงเลื่อนขึ้นไปโอบที่ท้ายทอยของชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปจรดริมฝีปากแนบชิดลงบนริมฝีปากหยักได้รูปเบาๆ แต่เขาไม่ยอมเปิดปากให้ ทว่าในที่สุดความไร้เดียงสาของหล่อนก็ชนะ ปฏิภาณยอมเปิดปากรับเอาลิ้นนุ่มๆ แล้วดูดเบาๆ
รามาวตีหลับตาพริ้มด้วยความวาบหวาม รสจูบนั้นอบอุ่นละมุนหวานแต่ก็ชวนมึนเมาอยู่ในที ไม่ต่างอะไรกับการลิ้มลองไวน์องุ่นเลิศรส ยิ่งจิบยิ่งเมาแต่ก็ไม่อยากจะวางลง
จุมพิตอันดื่มด่ำทวีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ มือหนาเลื่อนขึ้นลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียนผ่านเสื้อนอนเนื้อนุ่ม ดันเบาๆ ให้ร่างอรชรอุ่นละเอียดเบียดแนบเข้าหาแผ่นอกแกร่งของตน มืออีกข้างไต่ขึ้นไปหาปทุมถันคู่สวยแต่ถูกมือบางตะครุบเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ครอบครอง
“อือ” เสียงหวานครางประท้วงในลำคอ ทำให้ชายหนุ่มจำต้องผละออกจากริมฝีปากฉ่ำหวานอย่างแสนเสียดาย
“จูบของเรยังเหมือนน้ำล้างจานอยู่ไหมคะ” หล่อนถามอย่างไม่เต็มปากเต็มเสียงเท่าไร คล้ายคนกำลังกังวล
เขาหัวเราะเบาๆ กับความวิตกกังวลของคนช่างสงสัย ‘เด็กโง่เอ๊ยถ้าจืดชืดจริงๆ เขาจะหาเรื่องจูบหล่อนทำไมบ่อยๆ’
แต่การหัวเราะของเขายิ่งทำให้สาวน้อยขาดความมั่นใจมากยิ่งกว่าเดิม จึงได้แต่ค้อนหน้าคว่ำและย่นจมูกใส่เขาอย่างงอนๆ
“หัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็ดีขึ้น แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ” ชายหนุ่มตอบไปอีกทาง “จะให้ดีกว่านี้ต้องหัดจูบบ่อยๆ”
“กับใครก็ได้ใช่ไหม” สาวน้อยแสนซนแกล้งถาม
“ไม่ได้! ห้ามให้ไอ้ผู้ชายหน้าไหนจูบเด็ดขาดนอกจากผม เข้าใจไหมเร!” เสียงทุ้มเข้มขึ้น ท่าทางฮึดฮัดด้วยความหึงหวง
“ทีคุณยังแจกจูบสาวๆ ได้เลย” หล่อนเถียงให้บ้าง
ดวงตาคมเข้มหรี่มองคนที่ทำหน้าเง้างอนเหมือนกำลังเรียกร้องความเท่าเทียม แต่จริงๆ แล้วหล่อนกำลังจะต้อนให้เขาเอ่ยปากสัญญาว่าจะไม่จูบกับใครต่างหาก ปฏิภาณแอบหัวเราะเพราะความฉลาดของหล่อนทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง เขาก็อยากจะแกล้งโง่แล้วกระโจนลงไปในบ่วงของหล่อน แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆ สาวน้อย
ชายหนุ่มยิ้มใส่ตาและก้มลงมาพูดเสียงแหบพร่าใกล้ใบหน้าหล่อน
“ขอติดคำสัญญาไว้ก่อนนะทูนหัว ถ้าเมื่อไรคุณจูบเก่งและเร่าร้อนตามมาตรฐานของผม ผมสัญญาว่าจะไม่จูบผู้หญิงคนไหนอีก”
มือหนากระชับเอวกิ่วคอดยกลอยหวือมาวางที่เตียงอย่างรวดเร็วแล้วหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะพาตัวเองออกไปจากห้องนอนของหล่อนเงียบๆ เหมือนค่ำคืนที่ผ่านมา...หากแต่คืนนี้รามาวตีสามารถหลับตาพริ้มลงได้ด้วยความสุขล้นในสีหน้า