๓.๑ นายหญิงฝึกหัด
๓
นายหญิงฝึกหัด
เอ้กอิ๊เอ้ก...เอ้กกก
เสียงไก่ป่าที่ขันเจื้อยแจ้วในยามรุ่งอรุณ บ่งบอกว่าอีกไม่นานแสงอรุโณทัยจะฉายมาแต่งแต้มขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เสียงนั้นเปรียบเสมือนนาฬิกาปลุก ทำให้ร่างบางที่หลับอยู่ตื่นจากห้วงนิทรา
รามาวตีนอนฟังเสียงไก่ขันอย่างมีความสุข ก่อนจะควานมือไปหาโทรศัพท์มากดดูเวลา ตัวเลขดิจิทัลบนหน้าจอบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้ได้ล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาวน้อยรีบดีดตัวลุกจากเตียง กระวีกระวาดไปอาบน้ำแต่งตัว ทั้งๆ ที่ปกติเวลานี้หล่อนยังนอนคลุมผ้าห่มหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่มๆ
เช้านี้อากาศเย็นสบาย เสียงนกตัวเล็กๆ ที่มีรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงร้องดังจิ๊บๆ ประหนึ่งธรรมชาติกำลังบรรเลงเสียงดนตรีอันแสนไพเราะไปทั่วบริเวณบ้านไม้สักหลังใหญ่ พระอาทิตย์ดวงโตยังคงรอเวลาโผล่ขึ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างเป็นปกติเช่นทุกวัน
ร่างสูงกำยำซึ่งก้าวพ้นประตูบ้านออกมาต้องขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นสาวยืนรออยู่ที่ลานกว้างหน้าบ้านก่อนแล้ว
“ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า”
“มารอคุณ”
“รอทำไม” เขาตอบเรียบๆ
“ฉันจะเข้าไร่ด้วย”
“จะไปทำไม ยุ่งยากเปล่าๆ งานในไร่ไม่ได้สนุกเหมือนอย่างที่คุณคิดหรอกนะ” เสียงทุ้มพูดเหมือนรำคาญ
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่ในฐานะว่าที่ภรรยาเจ้าของไร่ ฉันก็อยากรู้ว่างานในไร่ของคุณมีอะไรบ้าง เพราะหลังจากแต่งงานแล้ว ฉันจะได้เป็น ‘นายหญิงรามาวตี’ อย่างสมบูรณ์แบบ” สาวน้อยยิ้มแย้ม ตาฉายแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
นายหญิงงั้นเหรอ... คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะนึกตามอย่างเอ็นดู ตาคมดุจับจ้องใบหน้ารูปไข่อย่างเต็มตา ผิวหน้าของหล่อนเนียนใสเป็นสีขาวอมชมพูบอบบางน่าทะนุถนอม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นอวบอิ่มไปทุกสัดส่วนบ่งบอกว่าเป็นสาวเต็มตัว ถึงแม้จะจบปริญญาตรีแล้ว ทว่าหล่อนก็ยังเด็กอยู่มาก โดยเฉพาะหากจะเทียบกับภาระใหญ่โตหนักอึ้งที่ต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าของไร่
ปฏิภาณไม่พูดอะไร แต่เดินนำไปขึ้นรถสปอร์ตโฟร์วีลที่จอดอยู่ใกล้ๆ แล้วออกรถเมื่อรามาวตีขึ้นมานั่งบนเบาะข้างๆ เรียบร้อยแล้ว
“คุณตื่นเช้าอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอคะ”
“อืม...” เขาตอบสั้นๆ สายตายังมองไปตามถนนอย่างคนกำลังตั้งใจขับรถ
“ถ้าฉันจะมาด้วยทุกวัน คุณจะว่าอะไรไหม?”
ชายหนุ่มหันมามองเสี้ยวหน้าสวยหวานแวบหนึ่ง
“ตื่นไหวเหรอ”
“ไหวสิ สบายมาก” สาวน้อยหันมาตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับแยกริมฝีปากอวดรอยยิ้มสดใส ทำเอาคนที่กำลังตั้งใจขับรถชักใจแกว่งได้เหมือนกัน
เมื่อถึงไร่ชายหนุ่มก็หักพวงมาลัยบังคับให้รถจอดริมถนน รามาวตีมองออกไปนอกกระจกรถก็พบว่า ด้านที่หล่อนนั่งอยู่เต็มไปด้วยต้นองุ่นสีเขียวขจีซึ่งปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา สวยงามเหมือนอย่างที่หล่อนเคยฝันไว้ไม่มีผิด ร่างอรชรก้าวลงจากรถเหมือนคนละเมอ และรู้สึกว่าตัวเองหลงรักต้นองุ่นเหล่านั้นตั้งแต่แรกพบ
ปฏิภาณเดินอ้อมรถมายืนข้างๆ แล้วยื่นหมวกปีกให้หล่อนใบหนึ่ง
“ใส่ซะ... ในไร่แดดแรง”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ”
สาวน้อยคลี่ยิ้มออกมาจนเห็นไรฟันสีขาวสะอาด จงใจใช้ประโยคนั้นยวนเขาหลังจากสงบศึกมาหลายชั่วโมง ดวงตาคู่คมมองหล่อนอยู่ครู่หนึ่งคล้ายจะรู้เท่าทันความคิด เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะยั่วได้แค่ไหน แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยจัดการสั่งสอนให้สาวน้อยตรงหน้าให้หลาบจำว่าไม่ควรกระตุกหนวดเสือ แต่ตอนนี้งานในไร่รอเขาอยู่...
บุรุษสองคนซึ่งยืนรอปฏิภาณอยู่หันมามองสาวน้อยที่เดินตามร่างสูงกำยำของผู้เป็นเจ้าของไร่มาอย่างสนใจ เมื่อหล่อนหยุดยืนตรงหน้าพวกเขาแล้ว สายตาของคนทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นชื่นชมทันทีที่ได้เห็นใบหน้าสวยหวานนั้นชัดๆ
ปฏิภาณออกจะหงุดหงิดที่เห็นนพกรกับพงษ์มิตรมอง ‘คนของเขา’ แทบไม่กะพริบตา
“นี่รามาวตี” เสียงทุ้มเอ่ยแนะนำหล่อนให้สองหนุ่มรู้จัก
“สวัสดีครับคุณรามาวตี” ทั้งสองคนเอ่ยทักทาย
“คุณนพกรเป็นผู้จัดการของไร่ ส่วนคุณพงษ์มิตรเป็นเกษตรอำเภอ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“รามาวตีเป็นคู่หมั้นของผม...”
สถานะของสาวน้อยหลุดออกจากปากนายใหญ่ของไร่ในเวลาต่อมา ทำให้หัวใจที่กำลังลิงโลดของสองหนุ่มเหี่ยวแฟบลงไปในทันที
“ยินดีด้วยนะครับนาย” นพกรเอ่ยขึ้นก่อนและยิ้มแหยๆ เมื่อเจอท่าทีหวงก้างของผู้เป็นเจ้าของไร่เข้าไปเต็มๆ
ครู่ต่อมาปฏิภาณกับนพกรก็เดินตามกันไปดูงานที่อีกฝั่งหนึ่งของไร่ รามาวตีจึงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับพงษ์มิตร
“คุณปฏิภาณก็อย่างนี้แหละครับ เวลาอยู่ในไร่จะยุ่งมากเพราะเขาใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง” พงษ์มิตรเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ถ้าอย่างนั้นเรรบกวนคุณพงษ์มิตรพาเดินดูไร่หน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ยินดีเลยครับ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนเริ่มอธิบาย “ไร่วิจิตรามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณห้าร้อยไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกองุ่นราวๆ สามร้อยไร่ครับ ส่วนที่เหลือเป็นคอกม้า โรงบ่มไวน์ สวนดอกไม้ และบ้านพักคนงานน่ะครับ”
“เรชอบสวนดอกไม้ เห็นปลูกเป็นสัดส่วนและมีการเลือกสีสันอย่างลงตัวทำให้ไร่ดูสวยตั้งแต่ทางเข้าเลย”
“ครับสวย...คุณปฏิภาณออกแบบให้ไร่วิจิตราเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยครับ ท้ายไร่เป็นทะเลสาบ ช่วงเย็นๆ ตอนพระอาทิตย์ตกดินสวยมากนะครับคุณเร”
“จริงเหรอคะ” คนฟังนึกภาพตามและอดตื่นเต้นไม่ได้
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นแค่ไร่โทรมๆ เพราะเจ้าของเก่าประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก จนต้องขายต่อให้คุณปฏิภาณในราคาถูกๆ แต่คุณปฏิภาณเก่งมากนะครับ ใช้เวลาแค่ห้าปีในการพัฒนาปรับปรุงจากไร่โทรมๆ จนเจริญรุ่งเรืองอย่างที่คุณเรเห็นนี่แหละครับ”
สาวน้อยนึกถึงสีหน้าและแววตาที่เอาจริงเอาจังของเขาแล้ว ก็อดชื่นชมคู่หมั้นของตัวเองไม่ได้ ปฏิภาณมีอะไรหลายๆ อย่างให้น่าทึ่งอยู่เสมอ
“องุ่นของไร่วิจิตราจะราคาแพงกว่าที่อื่น เพราะเป็นองุ่นปลอดสารพิษ” พงษ์มิตรเล่าต่อขณะเดินนำดูไร่ไปเรื่อยๆ “พื้นที่ปลูกองุ่นจะแบ่งแปลงออกเป็นสองส่วนครับ คือแปลงที่ปลูกสำหรับทานสด และปลูกสำหรับทำไวน์”
“แล้วมีผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่างอื่นหรือเปล่าคะ อย่างเช่น น้ำองุ่น แยมองุ่น”