๑.๒ คู่หมั้นจำเป็น
รามาวตีได้แต่หลุดเสียงร้องคร่ำครวญผาดแผ่ว หากแต่ร่างอรชรที่อ่อนหัดในเชิงรักกลับสั่นระริก สัมผัสจากริมฝีปากอันร้ายกาจและปลายนิ้วอันพลิกพลิ้วจัดเจน ทำให้เลือดกายสาวไหลเวียนด้วยความร้อนรุ่มจนเกือบจะเป็นเดือดพล่าน รู้สึกเหมือนประหนึ่งร่างกายกำลังจะแตกสลาย เมื่อกระแสความวาบหวามรัญจวนที่หนักหน่วงและบ้าคลั่งนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างระลอกแล้วระลอกเล่า
ร่างบางเตลิดเพริดไปกับสัมผัสของเขา อา... นี่หล่อนชื่นชอบสัมผัสของเขาขนาดนี้เชียวหรือ ความคิดนั้นทำให้รามาวตีเกิดอาการตระหนกตกใจอย่างที่สุด พยายามรวบรวมสติและเรี่ยวแรงเท่าที่หลงเหลืออยู่ ผลักร่างหนาออกห่างในจังหวะที่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตั้งตัว พร้อมยกมือขึ้นจะตบเขา แต่ถูกเขารวบมือเอาไว้เสียก่อน
“แค่ผมยอมให้คุณตบครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้ว”
“หยาบคาย! กักขฬะที่สุด!” รามาวตีตะโกนเสียงสั่น
ปฏิภาณยิ้มยั่วใส่ตากลมโตอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับคำบริภาษนั้น
“อย่าลืมนะว่าคุณเป็นฝ่ายมาหาผมเอง”
“ก็ใครจะรู้ล่ะว่าคุณมันจะหื่นได้ขนาดนี้”
“แต่คุณก็ชอบนี่ เห็นตอบสนองผมอย่างถึงอกถึงใจเลยทีเดียว”
คำพูดเยาะหยันนั้นทำให้รามาวตีหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหตัวเอง มือบางยกขึ้นกุมแก้มที่ร้อนผ่าวอย่างอับอาย หล่อนมาที่นี่เพื่อลากตัวเขาไปหาพ่อแม่ แต่กลับกลายเป็นว่าเกือบจะยอมให้เขาลากขึ้นเตียงที่อยู่ไกลออกไปไม่ถึงสามเมตรนั่น
“ฉันไม่ได้มาให้คุณลวนลามเอาตามชอบใจนะ” เสียงหวานโต้ออกไปอย่างปกป้องตัวเอง
“ถ้าไม่ใช่มาเสนอตัวให้ผม แล้วมาทำไมแต่เช้า” ปฏิภาณยังคงเชือดเฉือนด้วยวาจาไม่เลิก
“คุณสะกดคำว่าสุภาพบุรุษเป็นไหม หรือสะกดเป็นแต่เรื่องอย่างว่าเท่านั้น”
“ปากจัดใช้ได้นี่ แต่ทำไมรสจูบถึงจืดชืดไร้รสชาติสิ้นดีล่ะ”
รามาวตีโกรธจนหน้าแดง มือเล็กกำจิกเข้าหากันแน่น พยายามระงับอารมณ์ที่จะไม่กระโจนเข้าไปข่วนหน้าหล่อๆ หล่อนเชิดคางใส่ เกลียดคนตรงหน้ามากที่สุด!
“ถ้าจืดชืดจริงแล้วคุณจูบฉันทำไมตั้งนานสองนาน”
ใบหน้าหล่อคมกระตุกยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวลงมาพูดชิดริมฝีปากสีระเรื่อ
“อย่าลืมสิรามาวตีว่าที่มันนาน ก็เพราะคุณเองก็จูบตอบผมเหมือนกัน”
รามาวตีหน้าชาวาบเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่เป็นระลอกที่สอง เมื่อถูกเขายอกย้อนในสิ่งที่หล่อนเองก็ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ด้วยความเป็นหญิงที่รักนวลสงวนตัวมาตลอด จึงยังไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายคนไหนรุกเร้าเข้าประชิดขนาดนี้ แล้วทำไมถึงได้ปล่อยให้เขากอดจูบลูบคลำได้ตามสบายแบบนั้น หล่อนรีบสลัดความรู้สึกทุกอย่างแล้วเชิดหน้าขึ้น
“ต่อไปอย่าหวังว่าจะได้เข้าใกล้ฉันอีก”
“เสียงแข็งมากนะ แต่เตือนตัวเองไว้เถอะ ผู้หญิงอย่างคุณก็เหมือนแมงเม่า เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านบินเข้ากองไฟ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบขรึมแต่เหมือนสั่งสอนหล่อนอยู่ในที...
“ฉันไม่ใช่แมงเม่า และไม่คิดจะบินเข้ากองไฟอันแสนทุเรศอย่างคุณ ที่ฉันมาหาคุณก็เพราะมีเรื่องต้องให้คุณไปเคลียร์”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นแทนคำถาม “เคลียร์อะไร?”
“ก็เรื่องข่าว...” หญิงสาวกำลังจะโวยวายต่อ แต่หยุดชะงักเอาไว้เพราะคิดว่าเขาคงยังไม่รู้ “มันมีภาพหลุดตอนที่คุณเอ่อ... จูบฉันเมื่อคืนนี้”
“แล้วยังไง?” เขาถามยียวนเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“คุณต้องไปอธิบายให้พ่อแม่ฉันฟัง ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีอะไรกัน” เสียงหวานพูดเชิงสั่งอย่างคนร้อนใจ
“คำพูดของคุณไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้พ่อแม่ของคุณเชื่อได้เลยเหรอถึงต้องแล่นมาพึ่งผม แสดงว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของคุณมันไม่น่าไว้ใจเลยสิ” ปฏิภาณย้อนถาม
“คุณปฏิภาณ!” เสียงหวานแหวลั่น “ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่ คุณต้องไปอธิบายให้พ่อแม่ฉันฟัง ในฐานะที่คุณเป็นต้นเหตุ!”
“คุณต่างหากรามาวตีที่เป็นต้นเหตุแต่แรก ถ้าคุณไม่ให้ท่าไอ้โรจน์และทำตัวไม่เหมาะสมแบบนั้น ผมก็คงไม่ต้องจูบสั่งสอนคุณหรอก”
“ไม่จริง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคุณมันพวกหื่นไม่เลือกสถานที่ต่างหาก”
รามาวตีโต้กลับอย่างโมโห ดวงตาคู่สวยตวัดมองใบหน้าหล่อคมด้วยความขุ่นเคืองเดือดจัด หล่อนเคยคิดว่าผู้ชายแบบเขาเป็นพระเอกในฝันของหล่อน แต่ตอนนี้มันตรงกันข้าม หล่อนสาบานว่าจะเกลียดผู้ชายคนนี้ตลอดไป
ชายหนุ่มไหวไหล่ “ก็แล้วแต่จะคิด”
“ถ้าคุณไม่ไปกับฉัน ฉันจะฟ้องแม่คุณ จะฟ้องพี่แป้ง ว่าคุณรังแกฉันยังไงบ้าง” หญิงสาวยกชื่อทุกคนมาขู่เพราะรู้ดีว่าปฏิภาณรักและเกรงใจแม่กับน้องสาวมากแค่ไหน
“นี่คุณกำลังขู่ผมเหรอ”
“ไม่ได้ขู่ แต่งานนี้ฉันเอาจริง”
“ยุ่งชะมัด!” ชายหนุ่มสบถอย่างหงุดหงิด
“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะลงไปรอข้างล่าง หวังว่าคงไม่ปล่อยให้สุภาพสตรีรอนานเกินไปนะคะคุณปฏิภาณ” เสียงหวานพูดย้ำประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่นทีละคำให้เขาได้ยินชัดๆ ก่อนจะหันหลังเดินฉับๆ ออกจากห้องเขาไปอย่างผู้ชนะ
ดวงตาคู่คมมองตามหลังหล่อน ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด จากนั้นร่างสูงจึงหมุนตัวเดินเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวโดยใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง แล้วจึงลงไปที่ล็อบบีชั้นล่างของโรงแรมหาแม่ตัวแสบที่ขู่เขาแว้ดๆ
ทันทีที่เห็นร่างสูงก้าวออกมาจากลิฟต์ รามาวตีก็เผลอกวาดตามองอย่างพิจารณา เขาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตคอโปโลแขนสั้นยัดชายเข้าไว้ในกางเกงอวดลำขาแข็งแรงที่เต็มไปด้วยพลังขณะย่างก้าว ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เหลือร้าย ใบหน้าคมเข้มเย็นชาเรียบเฉยออกจะดุด้วยซ้ำไป หากแต่บุคลิกแบบนั้นก็ทำให้เขาเป็นชายชาตรีชวนดูน่าเกรงขามอย่างหาตัวจับได้ยากทีเดียว ทุกท่วงท่าของการก้าวเดินเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง บ่งบอกลักษณะของการเป็นผู้นำประดุจราชสีห์เจ้าป่าก็ไม่ปาน
ในขณะนั้นหล่อนสังเกตว่ามีพนักงานสาวของโรงแรมหลายคนทอดสายตามองร่างสูงกำยำในลักษณะที่พร้อมจะกระโจนขึ้นเตียงด้วย มิน่าล่ะเขาถึงได้ทะนงนักว่าตัวเองเป็นบุรุษที่มากด้วยเสน่ห์
รามาวตีแอบเบ้ริมฝีปากเรียวสวยอย่างหมั่นไส้ อดนึกถึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่เห็นเขาในลักษณะนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาเปิดประตูให้หล่อนทั้งที่ยังงัวเงียไม่ได้ การแต่งกายอย่างหมิ่นเหม่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้ใส่อะไรนอน เมื่อคืนคงพาผู้หญิงมาทำอะไรกันบนเตียง แล้วนอนในลักษณะนั้นจนถึงเช้า!
‘เชอะ... ฉันไม่มีวันยอมคุณเหมือนผู้หญิงพวกนั้นหรอก’
ร่างบางรีบลุกขึ้นยืนบ้างและช้อนตามองเขา เมื่อดวงตาสบประสานกับดวงตาคมเข้มคู่นั้นเข้าจังๆ หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงระรัวขึ้นดื้อๆ ราวกับมีใครกำลังกระหน่ำกลองศึกอยู่ภายในนั้นก็ไม่ปาน
การมองของเขาทำให้แก้มเนียนใสร้อนผะผ่าวเอาดื้อๆ รสสัมผัสจากจูบอันหนักหน่วงเร่าร้อนที่มันเพิ่งจางไป...เวลานี้กรุ่นขึ้นมาอีกระลอก คล้ายกับว่าเขากำลังใช้สายตาแทนปากระดมจูบหล่อนอีกครั้ง
“ไปกันหรือยัง”
ร่างอรชรถึงกับสะดุ้ง เพราะเมื่อพูดจบลำแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็สอดเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วโอบประคองออกไปทางประตูหน้าของโรงแรม ทั้งคู่จึงตกเป็นเป้าสายตาใครหลายคนที่มองตามอย่างอิจฉาและชื่นชมเพราะดูเผินๆ ก็คล้ายกับคู่รักซึ่งเหมาะสมกันอย่างที่สุด...
มือหนาคลายออกเมื่อพาหล่อนเดินมาถึงลานจอดรถ ในขณะที่หญิงสาวยังเต็มไปด้วยอาการเงอะงะ
“เอากุญแจมา เดี๋ยวผมขับเอง”
รามาวตีจำต้องส่งกุญแจรถให้เพราะรู้ดีว่าเถียงกันไปก็ไร้ประโยชน์ สู้พาเขาไปพบพ่อแม่เร็วๆ แก้ต่างความเข้าใจผิดให้ทุกคนเข้าใจ จากนั้นก็ต่างคนต่างไป เขากลับไร่ของเขา ส่วนหล่อนก็อยู่บ้านของหล่อน ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก!