๘ หลงใคร (๑)
๘
หลงใคร
เสียงขบวนแห่ขันหมากดังขึ้นมาแต่ไกล คนงานในไร่ต่างไปร่วมร้องรำกันถ้วนหน้า ใส่ชุดสีสันสดใสตามที่ได้รับคำบอกเล่าจากคุณพณณกร หน้าขบวนเป็นบิดาและมารดาเดินนำ ถือสินสอดทองหมั้นทำเอาหลายคนตาลุกวาว นึกอิจฉาในวาสนาของมธุรดา
ไม่มีใครทราบมาก่อนว่าทั้งสองคบหากันอยู่ เห็นคีรินทร์รักชอบหญิงไปทั่วจนอดสงสารเจ้าสาวไม่ได้ แต่พอมองดูทองที่อยู่บนพานก็เลิกสงสารแล้วหันมาสมเพชตัวเองแทนที่หาไม่ได้แบบนั้นบ้าง สามีที่บ้านเอาแต่กินเหล้าเมายาไม่ช่วยทำการทำงานเลย
ครอบครัววิจิตรประภามากันครบเนื่องจากเป็นงานแต่งหลานชายสุดที่รักทั้งที คุณภราดรและคุณพสุธาที่อายุเยอะยังควงภรรยามาแสดงความยินดีพร้อมรับขวัญหลานสะใภ้ จะมีก็แต่เจ้าบ่าวที่ยกมือปิดปากหาวหลายครั้ง
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ” คนเดินข้างกันอย่างภูตะวันกระซิบบอกน้องชาย วิศวกรหนุ่มถอนหายใจก่อนเอ่ยขึ้นเสียงงัวเงีย
“ผมตื่นมาแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ตีสี่นะพี่ตะวัน มันก็ง่วงเป็นธรรมดา” บอกถึงเหตุผลที่ทำให้เขาเกิดอาการเช่นนี้ คนเป็นพี่ส่ายหน้าระอา
“แล้วที่นอนดึกเพราะไปดื่มเหล้ากับพ่อไม่ใช่หรือไง พ่อยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย” มองเจ้าของฟาร์มสายรุ้งที่ยิ้มหน้าบาน ไม่มีอาการเมาค้างสักนิดทั้งที่เมื่อคืนก็ดื่มไปหลายแก้วเหมือนกัน คีรินทร์หันกลับมามองพี่ชาย
“นั่นพ่อไงพี่ ผ่านมากี่สูตรแล้ว ไม่เมาก็ไม่แปลก แต่ผมมันไม่ได้คอทองแดงไง สองสามแก้วก็เมา” แสร้งทำเป็นไร้เรี่ยวแรง จนภูตะวันต้องดันร่างหนาที่สูงกว่าตนเองเอาไว้ น้องน้อยที่เคยตัวเท่าไหล่บัดนี้สูงกว่าเขาไปหลายเซนติเมตร
“แกก็ไม่ต่างหรอก” ผละออกจากกันเมื่อมาหยุดลงที่หน้าบ้านหลังเล็ก มีคนกั้นประตูเงินประตูทองยาวจนเขาเบิกตากว้าง
นี่มันกี่แถววะเนี่ย
เจ็ดแถว! มีทั้งหมดเจ็ดแถวด้วยกันและดูจากหน้าตาแล้วไม่ใช่เพื่อนของมธุรดาแน่นอน เจ้าบ่าวหันไปมองบิดาที่ถือซองขาวเอาไว้ เจ็ดแถวก็เท่ากับว่าต้องแจกซองสิบสี่คน นี่พ่อเขาใส่ไปกี่บาทกัน ถ้าใส่แบงค์พันนี่ขอเป็นลมเลยนะ
ลงทุนเกินไปแล้ว
“พ่อใส่แบงค์อะไรวะพี่” ขยับเข้าไปหาพี่ชายแล้วกระซิบถาม จากที่ง่วงก็ตื่นขึ้นทันที เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับด้วยตื่นเต้นไม่เคยแต่งงานมาก่อน นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกในชีวิต
ใช่สิ!ใครมันจะอยากแต่งงานหลายครั้ง เปลืองจะตาย
“ห้าร้อย” เออ ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าเอาห้าร้อยคูณสิบสี่ ก็เท่ากับเจ็ดพัน ไม่ถึงหมื่น...
“ก่อนจะเข้าไป ขอถามเจ้าบ่าวหน่อยค่ะ” ด่านแรกก็เล่นวิศวกรหนุ่มเสียแล้ว ทุกคนแหวกทางให้เจ้าบ่าวเดินมายืนด้านหน้า ใบหน้าหล่อที่ถูกแต่งแต้มยิ่งดูดีขึ้นอีก ทำเอาเหล่าสาวๆ ที่มากั้นประตูเงินประตูทองอยากจะเป็นเจ้าสาวเสียเอง
“หล่อขนาดนี้ สนใจรับเมียคนที่สองไหมคะ” หยอกเล่นพร้อมยิ้มหวาน แต่คีรินทร์ก็ส่ายหน้าทันที
“ไม่ครับ รักเมียคนเดียว” ทุกคนต่างโห่แซวเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดเต็มปากเต็มคำ คนเป็นพ่อหน้าบานพอเบาใจได้บ้าง ตอนแรกก็คิดว่าลูกชายจะหนีงานแต่งเลยให้ภูตะวันตามประกบ เห็นเต็มใจแบบนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย
“พูดขนาดนี้ ให้ผ่านจ้า” รับซองเงินมาถือเอาไว้ก่อนจะไปยังประตูที่สอง
“ชอบอะไรในตัวเจ้าสาวคะ” คำถามนี้ยากเลย ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็คงพูดเต็มปากเต็มคำว่า ‘ชอบจูบครับ จูบหวานดี’ แต่เดี๋ยวจะพากันแตกตื่นทั้งงาน เพราะฉะนั้นจึงเลือกคำที่ดูนุ่มนวลมากกว่า
“ชอบชื่อครับ ชื่อเพราะดี” อมยิ้มคนเดียวเล่นเอาคนอื่นพากันงงไปหมด กระทั่งบุลลาเป็นคนเอ่ยขึ้น
“คีเขาหมายถึงดอกมธุรดาที่มีชื่ออีกอย่างว่ารุ่งอรุณน่ะจ้ะ” พอได้ทราบอย่างนั้นทุกคนก็ส่งเสียงแซวอีกครั้ง กลองตีรับจนครึกครื้น ชื่อลูกสะใภ้คนเล็กเหมือนชื่อไร่รุ่งอรุณเลย
คีรินทร์ก็เข้าใจตอบเหลือเกิน เพราะที่จริงมธุรดาแปลว่าความงดงาม ความหวาน แต่ถ้าเป็นดอกมธุรดาซึ่งจะเรียกอีกอย่างว่าดอกรุ่งอรุณก็เข้ากับชื่อไร่พอดี เหมาะเจาะอะไรขนาดนี้ เจ้าบ่าวยิ้มในความฉลาดของตัวเองก่อนจะไปประตูที่สาม
และกว่าเขาจะรอดพ้นประตูเงินประตูทองมาได้ก็เกือบเลยฤกษ์เสียแล้ว ชายหนุ่มเข้าไปนั่งข้างในบ้านที่ถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานหมั้น จำได้ว่าเมื่อวานที่เขามาตอนเย็นก็ยังไม่เห็นจัดอะไรสักอย่าง ทำไมวันนี้กลายเป็นอีกแบบ
ทำได้ภายในข้ามคืนจริงๆ โดยไม่รู้ว่าคนจัดงานเบี้ยวไปรับงานซ้อนจนต้องยกเลิกงานหมั้นของมธุรดา หล่อนกับแม่และเหล่าคนงานจึงช่วยกันทำทั้งคืนจนไม่ได้หลับ ต้องมาแต่งหน้าแต่งตัวอีก ง่วงจนเกือบจะหลับอยู่รอมร่อ
ร่างสูงเข้ามานั่งรอข้างในบ้าน ญาติฝ่ายเจ้าบ่าวเยอะจนต้องรอข้างนอก ส่วนญาติเจ้าสาวมีแค่ยายและแม่ งานเป็นไปตามพิธีของชนบท มีพิธีกรบอกกำหนดการก่อนที่เจ้าสาวจะออกมาจากห้อง เธอสวมชุดไทยสีงาช้าง ผมเกล้าขึ้นเปิดลำคอระหง ใบหน้าที่คีรินทร์เคยคิดว่าจืดชืดถูกแต่งจนสวยคม เล่นเอาเจ้าบ่าวตะลึงอ้าปากค้าง
เจ้าสาวของเขาสวยจนอยากลุกขึ้นไปบดขยี้ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้น จากที่ง่วงก็หายจนไม่เห็นอาการสักนิด ร่างบางเดินมานั่งข้างสามีของตนเอง พยายามไม่แสดงอาการอ่อนเพลียให้ใครเห็น ดวงตากลมโตไม่กล้ามองเขาโดยตรง
เพียงแค่รับรู้ถึงประกายร้อนแรงที่ร่างสูงส่งมาก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว แอบเหลือบไปทางภูตะวันที่ใส่ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีน หล่อเหลาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ค่อยหันมามองเจ้าบ่าวตนเองเมื่อได้ยินเสียงเขาจิ๊ปาก ไม่คิดว่าคีรินทร์จะหล่อขนาดนี้เมื่ออยู่ในชุดไทยราชประแตน ผมที่เคยปรกหน้าเปิดขึ้นเห็นหน้าผากได้รูป ไม่แปลกใจสักนิดที่หญิงสาวทั้งเมืองจะตกหลุมรัก
ขนาดเธอไม่เคยมองว่าเขามีเสน่ห์ยังเกือบต้านทานไม่ไหว ก่อนจะได้ยินเสียงพิธีกรดำเนินงาน ให้ญาติเข้ามาผูกข้อไม้ข้อมือคู่บ่าวสาว ไม่มีใครพูดอะไรกันเพราะง่วงทั้งคู่ ทว่าเจ้าบ่าวก็ยังเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ ตลอดเวลา
ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่ดูเฉิ่มเชยพอแต่งชุดไทยจะสวยขนาดนี้ คนอื่นเห็นอาการของชายหนุ่มก็แอบอมยิ้มกันเป็นแถบ
“อ้าวเจ้าบ่าว มองแขกบ้างอย่ามัวแต่มองเจ้าสาว” ทุกคนหัวเราะร่วนจนคีรินทร์ต้องรีบก้มหน้า อายที่ถูกจับได้จนมธุรดาที่นั่งข้างกันหันมองเขา เธอหัวเราะเสียงเบาก่อนที่ชายหนุ่มจะถลึงตาใส่เลยต้องเงียบเสียง
กว่างานจะดำเนินจบก็กินเวลาไปเกือบเที่ยงวัน บ่าวสาวเหนื่อยจนไม่อยากรับแขกและโชคดีเหลือเกินที่คนเป็นพ่อแม่ช่วยต้อนรับแขกเหรื่อ เขาถึงได้แอบมางีบที่ห้องของหญิงสาวซึ่งถูกทำเป็นเรือนหอชั่วคราว
“ว้าย คุณคี” ร้องตกใจเมื่อเข้ามาในห้องพบเขากำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของตนเอง วิศวกรหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วหลับลง
“ฉันง่วง ขอนอนหน่อยแล้วกัน เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย” พูดเสียงอู้อี้ก่อนจะเงียบลง คาดว่าอาจจะหลับอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ถอดชุดราชประแตน หล่อนถอนหายใจคิดหนักว่าจะเอาอย่างไร ตอนแรกจะเปลี่ยนชุดในห้องแต่คงทำไม่ได้แล้ว
ตัดสินใจนำเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ทว่าเห็นเพื่อนที่เล่นกันตอนเด็กก็จำต้องวางของทุกอย่างไว้ แล้วเดินไปพูดคุยด้วย ทั้งที่เหนื่อยจนเกือบหลับกลางอากาศไปหลายครั้ง เป็นงานแต่งที่ทรหดจริงๆ
“สินสอดเล่นเอาฉันตาวาวเลย แกนี่โชคดีจริงๆ หนูตกถังข้าวสาร” ร่างบางมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากเป็นหรอกหนูที่ตกถังข้าวสารเนี่ย ยอมเป็นคนธรรมดาพอมีพอกินไปวันๆ ดีกว่า
“ตามสบายเลยนะ” เห็นทุกคนคุยกันเองเลยลุกขึ้น กำลังจะไปหยิบชุดมาเปลี่ยนแต่ก็โดนดึงไว้เสียก่อน แม่นุ่มนิ่มเห็นจึงเดินมาหาลูกสาว รู้ว่ามธุรดาอิดโรยมากเพียงใด
“เดี๋ยวแม่ขอตัวนิ้งหน่อยนะลูก” บอกพลางอมยิ้ม เพื่อนของคนิ้งเลยยอมปล่อย นุ่มนิ่มพาบุตรสาวเข้ามาในบ้านก่อนจะบอกด้วยความเป็นห่วง “ไปพักเถอะ เดี๋ยวทางนี้แม่ดูแลเอง” ใบหน้าหวานยิ้มเล็กน้อย แล้วค่อยพยักหน้า
“ฝากด้วยนะคะ เอ่อแม่ หนูขอไปนอนห้องแม่นะ พอดีห้องหนูคุณคีเขานอน” ท่านหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ได้สิ ไปนอนห้องแม่กับยายเถอะ” รับคำแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวท ปล่อยให้ญาติทำหน้าที่รับแขก แต่ส่วนมากก็เป็นคนงานหรือบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น พอเข้ามาห้องนอนก็หลับทันทีจนไม่ได้ยินเสียงเพลงซึ่งเปิดดังก้องไร่
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ทุกคนพากันเคลื่อนไปยังบ้านของฝ่ายเจ้าบ่าวเพื่อเลี้ยงฉลองงานแต่ง ชุดของเจ้าสาวเปลี่ยนจากไทยประยุกต์เป็นราตรีสีขาวที่ยาวเพียงเข่า ผมปล่อยสยายกลางแผ่นหลัง ใบหน้าแต่งแต้มจนสวยงาม
เจ้าบ่าวก็ไม่น้อยหน้า สวมเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทเข้ม ผมเซตตั้งขึ้นอย่างหล่อเหลา งานเย็นแค่เป็นการร้องเพลงออกสเต็ปเท้าสนุกสนานเท่านั้น ทุกคนจึงค่อนข้างชอบ ยิ่งมีโต๊ะจีนที่ทยอยเสิร์ฟอาหารมาเรื่อย ไหนจะแอลกอฮอล์ไม่อั้นตามที่เจ้าของฟาร์มสายรุ้งได้กล่าวอีก
งานนี้คนเต็มทุกโต๊ะจนแทบต้องปูเสื่อนั่ง เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวเดินทักทายทีละโต๊ะ ยิ้มแย้มเป็นการเป็นงานกระทั่งพิธีกรประกาศให้ขึ้นไปบนเวที มธุรดาปวดเท้าเพราะไม่ชินกับการใส่รองเท้าส้นสูง ชายหนุ่มเห็นพอดีจึงรวบมือเธอมาจับไว้
“คะ” ถามเขานึกว่ามีอะไรจะคุยด้วย ทว่าอีกฝ่ายกลับโน้มมากระซิบข้างหู
“ค่อยๆ เดิน เท้าเจ็บไม่ใช่หรือไง” ไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจตนเองด้วย แอบยิ้มเล็กน้อยแล้วมองคนที่อยู่ข้างกาย
ที่จริงก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย
“เอาละครับ เรามาฟังความรู้สึกของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่มีต่อกันดีกว่า” พอยืนบนเวทีแล้วถูกสายตาเกือบร้อยคู่จับจ้องก็ทำตัวไม่ถูก
ไม่คิดว่างานแต่งของตนเองจะใหญ่โตขนาดนี้ แขกที่คิดเอาไว้ก็เพียงห้าสิบคนแต่ความจริงเกือบร้อย แถมยังส่งเสียงโห่แซวไม่หยุด เล่นเอาต้องขยับเข้าไปใกล้ว่าที่สามีเพื่อเป็นกำบัง
“ผม..คิดว่าให้เจ้าสาวพูดก่อนดีกว่าครับ” รีบโยนไมค์ให้คนข้างกายทันที ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น ไม่ถนัดพูดต่อหน้าคนนับร้อยขนาดนี้ ถึงเป็นคุณครูแต่สอนเพียงห้องเรียนไม่เกิน 40 คนเท่านั้น มาเจอของจริงแล้วลมจะจับ
“เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก คุณคีเป็นคนหล่อ เอ่อ ค่ะ” คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร สมองมันเบลอไปหมด พยายามนึกถึงความทรงจำที่มีร่วมกับเขา ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนข้างกัน คีรินทร์มองเธออยู่ก่อนแล้วราวกับลุ้นคำตอบ
“นอกจากนั้นเขายังเป็นคนใจดีมากๆ อีกด้วย เขาเคยช่วยนิ้งไว้ตอนเด็ก...ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือเปล่า นิ้งรู้สึกขอบคุณมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ไม่คิดเลยว่าเราจะได้แต่งงานกัน มันเหมือนฝันด้วยซ้ำ แค่นี้แหละค่ะ” ถึงมันจะไม่หวานตรึงใจ หรือซึ้งจนน้ำตาไหล แต่ทุกคนก็ปรบมือให้เสียงดัง เห็นว่าหล่อนประหม่า มือหนาเอื้อมมากุมมือนิ่มเอาไว้
เธอหันมองเขาแล้วยื่นไมค์ให้ทั้งที่มืออีกข้างถูกกุม พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก มันยากเสียยิ่งกว่าไปสอนนักเรียนวันแรกอีก ขณะที่ร่างสูงก็อมยิ้มแล้วมองเสี้ยวหน้าหวาน
รู้สักทีว่าใครช่วยกันแน่...
“ผมเป็นคนพูดเก่งนะครับ แต่ถ้าต้องให้มาพูดหวานๆ ซึ้งๆ ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ก็เล่นเอาประหม่าเหมือนกัน ถ้าถามว่าชอบเจ้าสาวตรงไหน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้เจาะจงนะ แค่รู้สึกว่าชอบ ชอบที่เธอเป็นคนยิ้มง่าย กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมนะ พอเห็นหน้าผมทีไรหน้าบึ้งตลอด” เสียงหัวเราะดังขึ้น ขณะที่ร่างบางก็จ้องเขาเอาเรื่อง
“น่ะ เห็นไหมครับว่าดุแค่ไหน ไม่รู้ว่าได้เมียหรือแม่” เธอบีบมือเขาแน่นขึ้น พลางส่งสายตาปรามให้พูดเข้าเรื่องเสียที