๗ ดีกว่าที่คิด (๑)
๗
ดีกว่าที่คิด
วิศวกรหนุ่มมือสั่นขณะจ้องมองใบทะเบียนสมรส ลายเซ็นนั้นเป็นของเขาไม่ผิดแน่ ดูจากน้ำหนักและเส้นที่ตวัดมั่นใจว่าตนเองเป็นคนจรดปากกาลงไม่ใช่ปลอมแปลงแต่อย่างใด แล้วเขาไปเซ็นตอนไหนกันล่ะ คิดอย่างสับสนแล้วเงยหน้ามองบุพการีสลับไปมา
ใบหน้าคมเกือบจะร้องไห้ ขณะที่คุณพณณกรอมยิ้ม คว้าเอกสารมาถือไว้กลัวว่าบุตรชายจะทำลายมันทิ้ง ถึงจะเป็นเพียงใบที่ถ่ายเอกสารมาก็เถอะ
“ผมไปเซ็นตอนไหน ไม่ใช่สักหน่อย ไม่จริง” คนเริ่มเดินขวักไขว่เยอะขึ้นเลยเปลี่ยนสรรพนาม และคาดว่าต่อจากนี้ต้องท่องให้ชินปากเสียแล้ว กลัวหลุดแทนตนเองว่าหนูกับบิดามารดา เกิดมีคนเอาไปล้อได้ขายหน้าแย่
“แกเป็นคนเซ็นเอง ต่อหน้าฉัน ไอ้เอี้ยง แม่แก แล้วก็ปลัดอำเภอ” เริ่มคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่พ่อชวนดื่มเหล้าหมัก ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เห็นแตะแฮลกอฮอล์หากไม่ใช่เทศกาลหรืองานสังสรรค์
แปลกพิกลจนมารู้วันนี้เอง มันคือแผนที่ทำให้เขาจดทะเบียนสมรสไงล่ะ!
“แบบนี้มันโกงชัดๆ ผมไม่ได้อยากแต่ง พ่อจะบังคับไม่ได้” รีบโวยวายแต่กดเสียงต่ำ ไม่อยากให้คนโดยรอบเห็นว่ากำลังเกิดการทะเลาะวิวาท
“จะมายกเลิกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องแห่ขบวนขันหมากไปบ้านเจ้าสาวแต่เช้า” ว่าแล้วก็ผละออกไปช่วยคนงานตั้งเวที ขณะที่คุณบุลลาเดินเข้าครัวทำอาหารเลี้ยงคนงานก่อนจะถึงวันงานคือพรุ่งนี้
เขาเหมือนถูกทุบด้วยค้อนทำเอาก้าวขาไม่ออก ร่างกายชาไปถึงสมอง นี่ฝันอยู่หรือเปล่า โสดมายี่สิบเกือบจะสามสิบปี พอได้แต่งงานก็ปุบปับซะจนตั้งตัวไม่ทัน แถมเจ้าสาวยังไม่ได้เลือกเองอีก คิดดังนั้นก็เดินไปคว้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าของบิดาแล้วขับออกจากบ้านทันที
ปลายทางคือบ้านของว่าที่เจ้าสาว คิดว่าจะได้มาเป็นสะใภ้คนเล็กของไร่รุ่งอรุณอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ เขานี่แหละจะทำให้เธอวิ่งหนีไปเซ็นใบหย่าไม่ทันเลยคอยดู!
“อยู่บ้านก็ปิดประตูให้แน่นหนา แม่จะไปบ้านงานก่อน” นุ่มนิ่มบอกลูกสาวที่อยู่เพียงลำพัง หล่อนทำหน้าเศร้าแล้วค่อยพยักหน้าตอบรับ
“จ้ะ หนูไปด้วยไม่ได้เหรอแม่” เอ่ยเสียงเบาอย่างกระเง้ากระงอด ไม่อยากอยู่คนเดียวเดี๋ยวคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย
ทว่าก็ไม่ได้รับการอนุญาตจากมารดา “ไม่ได้ อยู่บ้านนั่นแหละ ออกไปตากแดดเดี๋ยวตัวดำหมด” คุณครูตัวเล็กยกแขนขึ้นดูพลางถอนหายใจออกมา
“หนูดำอยู่แล้วนะแม่ ตากแดดอีกนิดไม่ทำให้ดำขึ้นกว่าตอนนี้หรอก ขอไปด้วยหน่อยนะไม่อยากอยู่บ้าน” อ้อนวอนแต่ก็ไม่ถูกตามใจ นุ่มนิ่มบอกเสียงเด็ดขาดทำเอาร่างบางต้องทำตามคำสั่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ไม่ อยู่บ้านเฝ้าไปนั่นแหละ เดี๋ยวค่ำๆ แม่กลับ” สุดท้ายก็ทำได้แค่โบกมือลามารดา หล่อนต้องอยู่บ้านคนเดียวเพราะยายไปคุยกับเพื่อน โอ้อวดใหญ่ว่าหลานสาวจะแต่งงานกับลูกชายเจ้าของไร่รุ่งอรุณ ทั้งทำงานเป็นครูรับราชการ หน้าบานเสียยิ่งกว่าจานดาวเทียมอีก
ต่างจากว่าที่เจ้าสาวซึ่งไม่มีความสุขบนใบหน้าสักนิด หล่อนไม่ต้องการแต่งงานทว่าวันที่คุณพณณกรมาเยือนบ้านหลังนี้พร้อมภรรยาอย่างคุณบุลลา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันที
“สวัสดีค่ะ” เธอขึ้นมาบนบ้านแล้วยกมือไหว้ท่านทั้งสอง เห็นแม่นุ่มนิ่มและยายยุภาพรนั่งอยู่ก่อนแล้วก็เริ่มกังวล ค่อยหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตรงข้ามนายใหญ่ของไร่
รับรู้ได้ว่ากำลังจะเผชิญความยุ่งยากทางใจ เหลียวมองยายของตนซึ่งยิ้มแย้มราวมีความสุขนักหนา ต่างจากแม่นุ่มนิ่มไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้น แล้วคุณพณณกรก็เป็นคนเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจจากหล่อนได้เป็นอย่างดี
“ฉันอยากให้คนิ้งแต่งงานกับคี” ว่าแล้วเชียว...
ประโยคนั้นกดดันหล่อน ทั้งสายตาคมที่มองมาอีก ขนาดหายใจยังอึดอัดจนต้องเสมองมือตนเอง กัดริมฝีปากแน่นไม่กล้าตอบ
เพิ่งรู้ความจริงเรื่องคนที่ช่วยชีวิตตนเองขึ้นจากน้ำ ทว่าความกลัวต่อคีรินทร์ไม่ได้ลดลงเลย ถึงแม้จะรู้สึกดีกับชายหนุ่มมากกว่าเมื่อก่อนแต่ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมชายคาได้ การแต่งงานมันเป็นเรื่องสำคัญมากไม่ใช่เล่นขายของ
หล่อนอยากแต่งงานครั้งเดียว ไม่อยากเป็นของเล่นชั่วครั้งชั่วคราวของใคร ถ้าไปกันไม่รอดผู้หญิงก็มีแต่เสียกับเสีย มธุรดาคิดหนักจนนุ่มนิ่มต้องพูดให้
“เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่คนิ้ง นิ่มคุยกับลูกแล้ว คนิ้งไม่อยากแต่งงานกับคุณคีค่ะ” ตอบเสียงนุ่มพยายามไม่พูดมากกว่านั้น
“ทำไมล่ะลูก คุณคีเขาก็ดีนะ แต่งๆ ไปเดี๋ยวก็รักกันเอง” ยายยุภาพรเอ่ยขึ้น นางอยากเป็นทองแผ่นเดียวกับเจ้าของไร่จะแย่ คงเอาไปพูดให้คนอิจฉาเล่น แค่มีหลานรับราชการพวกนั้นก็ยกยอจนยิ้มมีความสุขไปทั้งวัน
“ป้ารักหนูเหมือนลูกคนหนึ่ง อยากให้หนูมาเป็นลูกสาวอีกคน แล้วก็ช่วยดูแลลูกชายคนเล็กของป้า มันอาจจะดูเป็นการเห็นแก่ตัวสักหน่อย แต่ป้ามองไม่เห็นใครที่เหมาะกับคีเท่าหนูแล้ว” บุลลาพูดขึ้นทำเอาคนตัวเล็กนิ่งกว่าเดิม
“หนูคิดไม่ออกเลยค่ะว่าถ้าต้องไปอยู่กับคุณคีจะเป็นยังไง เราไม่เคยพูดดีกันเกินสามคำด้วยซ้ำ แล้วผู้หญิงคนอื่นของเขาอีก หนูคงไม่สามารถรับมือไหว ขอโทษจริงๆ นะคะแต่หนูแต่งงานกับคุณคีไม่ได้” ตอบจากใจจริงทำเอาสองสามีภรรยามองหน้ากัน
คิดเผื่อใจไว้แล้วว่ามธุรดาคงไม่ตกลงง่ายๆ สุดท้ายคงต้องงัดเอาไม้เด็ดที่ดูไร้น้ำใจมาใช้ซะแล้ว
“ที่จริงฉันก็ไม่อยากทวงบุญคุณหรอกนะ แต่เงินที่เธอยืมไปเกือบห้าแสนไหนจะไถ่ถอนที่ดินของเธออีกสองแสน ฉันคงต้องขอคืน” พณณกรบอกเสียงเข้ม ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้คงต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว
ถึงไม่อยากทำเช่นนี้เพราะเป็นการบังคับจิตใจของทั้งสองคน แต่มันคือหนทางสุดท้ายเพื่อไม่ให้ลูกชายตัวดีไปผจญเรื่องราวอันตรายอีก ถ้ามีครอบครัวคงพอจะเบาใจไปได้บ้าง และมธุรดาก็เหมาะสมจะเป็นสะใภ้คนเล็กของบ้าน
คิดอย่างหมายมาด โดยไม่ได้นึกถึงตนเองครั้งยังอดีตเลยว่าไม่ชอบใจแค่ไหนตอนถูกบังคับแต่งงานกับภรรยา
“แต่งๆ ไปเถอะคนิ้ง เขาไม่ฆ่าเอ็งตายหรอก” คนเป็นยายที่ถูกจับคลุมถุงชนกับสามีพูดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินว่าจะต้องคืนเงิน ทุกอย่างวันนี้ยังแทบไม่มีกิน จะไปมีปัญญาหาเงินหาเงินเกือบล้านที่ไหนมาคืน สู้ให้หลานสาวแต่งงานไม่ดีกว่าหรือ
เงินไม่ต้องจ่าย แถมยังได้หน้าอีก มีแต่คุ้มกับคุ้ม
“ฉันมีสินสอดให้สองล้าน ทองอีกสิบบาท ทองคำ 10 แท่ง บ้านพร้อมที่ดินในตัวเมือง ฉันไม่ได้มาซื้อคนิ้งเพราะเห็นเป็นเหมือนของชิ้นหนึ่ง แต่ฉันอยากได้ลูกสาวของเธอมาเป็นลูกสาวอีกคน และจะไม่มีการหย่าเกิดขึ้นเด็ดขาด คนิ้งจะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของคีรินทร์” ให้คำสัญญาที่ไม่อาจรู้ว่าลูกชายของตนเองจะทำได้อย่างนั้นหรือเปล่า
มธุรดาคิดหนัก สบตาคนเป็นแม่ก่อนจะเบนไปยังยายยุภาพร ถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ แล้วจมอยู่กับความคิดของตนเอง
เธอจะอยู่กับเขาได้ไหม...
เป็นคำถามที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ไม่อาจตอบได้ เพราะไม่เคยไปถึงจุดที่ต้องอยู่กับคีรินทร์เพียงสองคน ทว่าพอจำความรู้สึกตอนที่เขาช่วยทำแผลให้ เดินมาส่งที่บ้านยามค่ำคืน
มันก็ไม่ได้อึดอัดสักนิด กลับอุ่นใจมากกว่า แล้วถ้าหากลองพัฒนาความสัมพันธ์เป็นมากกว่าคนในไร่กับลูกชายจ้าของฟาร์มสู่สถานะสามีภรรยา จะเป็นอย่างไรบ้าง
“ตัดสินใจให้ดีนะลูก” นุ่มนิ่มบอกลูกสาวหลังจากเห็นเงียบไปนาน
เงินเกือบหนึ่งล้านคงหามาคืนไม่ได้ และถ้าหากยืมสหกรณ์เงินเดือนที่มีเพียงหยิบมือก็คงถูกหัก ไม่พอค่ากินค่าอยู่ อดโทษผู้มีพระคุณทั้งสองไม่ได้ที่เอาเรื่องนี้มาข่มขู่กัน
สุดท้ายจึงจำใจตอบในสิ่งที่หล่อนเองก็ยังไม่มั่นใจ แต่ขอลองดูสักตั้งก็แล้วกัน ในเมื่อตนเองไม่มีคนรักคงไม่เป็นไรถ้าอยากเริ่มต้นกับใครสักคน
ที่ดูจะไม่ชอบตนเลย...
มองตามหลังมารดาที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ลับไปก่อนจะเดินกลับเข้าห้องของตนเอง ปิดประตูลงกลอนแล้วเดินมาหยิบข้อสอบนักเรียนเพื่อตรวจ หลังสอบเสร็จเธอก็ต้องตัดเกรด โชคดีที่ไม่มีนักเรียนติดศูนย์วิชาที่สอนจึงไม่ต้องให้แก้เกรด
ใช่ว่ามีแต่นักเรียนที่ไม่อยากได้ศูนย์ ครูเองก็ไม่อยากให้คะแนนกลมๆ แบบนี้เหมือนกัน เพราะนั่นคือภาระงานของตนเอง แต่ในเมื่อคะแนนไม่ถึงก็ต้องให้ตามตัวเลขที่ตกเกณฑ์
ต้องรีบทำงานให้เสร็จเพราะอีกไม่นานจะมีคนมาจัดซุ้มสำหรับงานหมั้นช่วงเช้าที่อยู่บ้านเจ้าสาว ส่วนกางเต้นหรือจัดโต๊ะไว้รับประทานอาหารเช้านั้นคนงานได้ทำการเรียบร้อยแล้วก่อนจะกลับไปแล้ว ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงมธุรดา
ขณะที่กำลังนั่งตรวจงานไปเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาในเขตบ้าน จำได้ว่าไม่ใช่รถของแม่แน่นอน หรือจะเป็นคนที่มาส่งยาย ทว่าเธอก็ไม่กล้าเปิดประตูออกไป นั่งรอฟังเสียงเรียกอยู่ในห้องดีกว่า
“ออกมาเดี๋ยวนี้! ฉันต้องพูดกับเธอ!” เสียงเข้มที่ตะโกนลั่นบ้านทำให้รู้ว่าเป็นใคร หล่อนลุกจากเก้าอี้เดินมาที่ประตู แต่ยังไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับว่าที่สามี ขอทำใจหน่อยแล้วกัน
“จะออกมาดีๆ หรือให้ฉันพังประตู อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ในนั้นนะ ถึงฉันจะไม่รู้ห้องแต่ฉันก็จะพังมันทั้งสามประตูเนี่ยแหละ เปิดเดี๋ยวนี้” หญิงสาวกลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริง ถึงได้เปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับวิศวกรหนุ่มที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
และเมื่อเห็นว่าที่เจ้าสาวก็ตรงดิ่งผลักเธอเข้าห้องนอนแล้วลงกลอนเรียบร้อย ใบหน้าหวานซีดเผือดเริ่มกลัวยามอยู่ในที่ลับตากับคีรินทร์สองต่อสอง
“ฉันจะไม่แต่งงานกับเธอเด็ดขาด!” ประกาศกราวตามเจตนารมณ์ของตนเอง มองผู้หญิงที่ไม่ได้สวยสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น พยายามหาเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงมาแต่งงานด้วยทั้งที่ไม่รักชอบกันสักนิดเดียว
หรือว่าเธอจะแอบชอบเขาอยู่ ลืมคิดไปเลยว่าตนเองหล่อมากขนาดไหน
“คุณเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วค่ะ งานจะจัดขึ้นพรุ่งนี้” และแน่นอนว่าหล่อนไม่ได้บอกคนที่โรงเรียนสักคน มีเพียงเพื่อนที่เรียนมัธยมมาด้วยกันบางคนที่รู้เรื่อง ส่วนมากเป็นคนงานในไร่มากกว่า
“ทำไมอยากแต่งงานกับฉันนัก ชอบฉันเหรอ หือ เจอจูบครั้งนั้นเข้าไปเลยเคลิ้มใช่ไหม” พูดถึงเรื่องในอดีตที่เธอพยายามลืมแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อมันคือจูบแรกที่เขาฉกฉวยไป ถึงพยายามปลอบว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แล้วปากก็แตะกันเฉยๆ ไม่เรียกว่าจูบสักหน่อย
“นิ้งไม่ได้ชอบคุณคีค่ะ แล้วเรื่องวันนั้นก็ลืมมันไปแล้ว” ตอบอ้อมแอ้มแล้วหลบสายตาคมที่จ้องมา ร่างหนาค่อยก้าวเข้าหาหล่อนเมื่อได้ยินคนตัวเล็กบอกว่าลืมการกระทำที่เขาจำมันฝังใจ ไม่รู้ทำไมไม่อาจลืมริมฝีปากนุ่มของหล่อนได้
มันมักจะผุดมาทุกครั้งยามมีอารมณ์ และก็ต้องดับความอยากด้วยการอ่านหนังสือหรือหันเหความสนใจไปที่อื่น
ทว่าตอนนี้ที่ริมฝีปากหล่อนอยู่ใกล้แค่เอื้อม และเขาก็ไม่อาจต้านทานได้อีก ย่างสามขุมเข้าไปหาร่างบางพลางยกยิ้มร้ายกาจ
“ลืมจริงเหรอ แน่ใจนะว่าลืมแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะย้ำให้เอง” เหมือนรู้ชะตากรรมของตัวเอง หญิงสาวกำลังจะหันไปหยิบของใกล้ตัวเพื่อมาป้องกันตนเอง แต่เหมือนจะไม่ทันเพราะเขาจับแขนเรียวแล้วดึงเข้ามาก่อนเปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าหวานให้แหงนขึ้น
ประกบปากลงมาอย่างรวดเร็วทำเอาหล่อนนิ่งค้าง จากที่เคยแตะปากกันเฉยๆ ในครั้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นดูดคลึงจนต้องใช้มือทุบแผงอกหนา เพื่อร้องขอให้ปล่อยเธอไป ทว่าคีรินทร์เหมือนตกในภวังค์ ไม่สนใจแรงเท่ามดสักนิด กลับสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากหวานอย่างรุกราน
มันรู้สึกดีจนบรรยายไม่ถูก ขณะที่ร่างเล็กเริ่มนิ่งขึ้น หลงเข้าไปในวังวนที่เข้าสร้างอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากนุ่มตอบรับด้วยการยอมให้เขาเกี้ยวกระหวัดลิ้นราวหยอกล้อ มือหนาเลื่อนจากใบหน้ามายังแผ่นหลังเล็ก ดันให้หล่อนแนบชิดตนมากขึ้นแล้วค่อยจับสะโพกมน
อารมณ์ที่เคยสงบนิ่งเริ่มร้อนระอุขึ้นมา ดวงตาคมเหลือบมองเตียงนอนแล้วเริ่มคิดหนัก นี่เขาอยากเข้าหอกับเธออย่างนั้นเหรอ