๖ งานแต่งที่ไม่อยากแต่ง (๒)
“น่ากินจังเลยแม่ เดี๋ยวขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” เดินไปยังบ้านหลังเล็กของตนเองที่อยู่ท้ายสุด ขณะที่เอี้ยงก็เดินมาเมียงมอง
“กินด้วยกันไหมเอี้ยง ฉันทำไว้เยอะเลย” หนุ่มร่างเล็กฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีเหลือง
“ครับ คุณนายทำอะไรก็น่ากินไปหมด ขอฝากท้องไว้ด้วยนะครับ” มื้อเย็นเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้าน ครอบครัววิจิตรประภาจับจองที่นั่งประจำของตนเอง โดยมีแขกคือเอี้ยงที่ขอร่วมด้วย ส่วนศศินาต้องดูแลลูกสาวจึงไม่ได้มา
ภูตะวันยุ่งกับการดูแลลูกวัวเพิ่งคลอดแทนน้องสาวที่เรียนสัตวแพทย์มาโดยตรง งานนี้จึงมีเพียงสามหนุ่มที่หลังกินข้าวเย็นเสร็จก็ยกเหล้าหมักมาวางไว้บนแคร่ ได้รับอนุญาตจากบุลลาเป็นที่เรียบร้อยให้ดื่มไม่จำกัด
สร้างความสงสัยแก่บุตรชายคนเล็ก ปกติแม่ไม่ค่อยให้พ่อดื่มแอลกอฮอล์เท่าไหร่ถ้าไม่ใช่งานสังสรรค์ แต่ครั้งนี้กลับไม่ว่าอะไรทั้งที่ไม่มีงานเลี้ยงด้วยซ้ำ แต่คิดสักพักก็ปัดออกแล้วเริ่มดื่มน้ำสีขาวที่เข้าปากแล้วบาดคอเหลือเกิน
ถึงครั้งแรกที่เข้าปากจะเผ็ดร้อนแต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นหวานลิ้นจนไม่อาจหยุดได้ หยิบแก้วยกดื่มจนโลกเริ่มเอนเอียง
“อ้าวคุณปลัด มาๆๆ มาดื่มด้วยกัน” นั่งไปสักพักก็เห็นปลัดอำเภอขับรถยนต์มาบ้าน พณณกรเรียกแขกมานั่งด้วยกันซึ่งฝ่ายนั้นก็เดินถือเอกสารมานั่งลงที่แคร่หน้าบ้าน คีรินทร์ไม่ได้สังเกตอะไรนอกจากยกมือขึ้นไหว้ ศีรษะเริ่มเอียงไปมาจนเหมือนจะล้ม
“เชิญตามสบายเลยครับ” ปลัดยิ้มเล็กน้อย แล้วเอากระดาษพร้อมปากกาออกมาเตรียมไว้
“เออลูกพ่อ ตอนนี้แกมีแฟนหรือยัง อยากแต่งงานไหม” อยู่ดีๆ ก็วกมาเรื่องแต่งงานทั้งที่ท่านไม่เคยถามสักครั้ง คีรินทร์ขมวดคิ้วจนแทบจะพันกัน
“พ่อถามทำไม”
“เอ้า ก็พี่ชายแกกำลังจะแต่งงาน จันทร์เป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว พ่อก็เลยห่วงลูกชายสุดที่รักไงล่ะ” เข้าไปกอดคอวิศวกรหนุ่มหล่อ พลางตบบ่าเบาๆ
“อยากแต่งบ้างไหม ถ้าแต่งเดี๋ยวพ่อเอาเงินให้เลยหนึ่งล้าน” ใจป้ำสุดๆ ทำให้คนฟังที่สติเริ่มไม่ครบตาวาว
“แต่งพ่อแต่ง อะไรยังไงว่ามาเลย” ยกแก้วที่บรรจุน้ำสีขาวขึ้นดื่ม ใจเต็มเปี่ยมด้วยพลังเมื่อคิดเห็นแบงค์สีเทากองตรงหน้า
เงินไม่ใช่น้อยเลย...
“ฮ่าๆ อยากเองแต่งจริงนะ พ่อไม่ได้บังคับ” ย้ำอีกครั้ง และลูกชายก็ตอบเสียงฉะฉาน
“มั่นใจ อยากแต่งเอง” ชูมือขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ดวงตาคมหวานเยิ้มจากน้ำที่ดื่มเข้าไปเสียหลายแก้ว
“ตอนนี้เมาหรือเปล่า สติครบนะ” คีรินทร์ส่ายหน้าทันที
“ไม่เมา มีสติเต็มร้อย” พณณกรยกยิ้ม ก่อนจะหยิบกระดาษจากปลัดอำเภอมาไว้ตรงหน้าบุตรชาย พลางยัดปากกาใส่ในมือให้เรียบร้อย
“ถ้าอย่างนั้นเซ็นเลย แสดงความจริงใจหน่อย” ร่างสูงฮึกเฮิมทันที พยายามเพ่งอ่านเอกสารตรงหน้าทีละตัว แต่ก็ยากเหลือเกินเพราะสติที่ไม่ครบถ้วน ไหนจะแสงไฟส่องไม่ถึงอีก กระทั่งบิดาจับมือให้เซ็น
“ตรงนี้ๆ เซ็นลงไปเลย” ใบหน้าหล่อยิ้มแล้วพูดขอบคุณบิดาที่บอกตนเอง ก่อนจะเซ็นชื่อลงไปท่ามกลางอาการลุ้นตัวโก่งของคนเป็นพ่อและแม่ เมื่อจรดปลายปากกาเขียนชื่อเรียบร้อยแล้วบุลลาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขณะที่เจ้าของฟาร์มสายรุ้งรีบหยิบกระดาษออกมาทันที กลัวลูกจะอ่านออกว่ามันคืออะไรแล้วทำลายพันธะที่เพิ่งสร้างให้ขาดสะบั้น คุณพณณกรอ่านเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วยิ้มมีความสุข ส่งให้คุณปลัดทันที
“เรียบร้อยครับ ขอบคุณมากนะครับคุณปลัด” ข้าราชการหนุ่มยิ้มให้เจ้าของฟาร์มสายรุ้ง ก่อนจะขอตัวกลับเพราะมีนัดสำคัญกับครอบครัวของภรรยา เอี้ยงนอนกอดไหเหล้าเมาตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันจะตกดิน ส่วนคีรินทร์ขยับเข้ามาใกล้พ่อ
“หนึ่งล้านนะพ่อ อย่าลืม เอิ้ก” แทบประคองสติของตนเองไม่อยู่ แต่ก็ยังทวงสัญญาจากบิดาที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เอื้อมมือไปกอดคอบุตรชายพลางตบลงเสียงดัง
“ไม่ลืมหรอกลูกรัก เดี๋ยวพ่อจัดค่าสินสอดสองล้านไปเลย เอ้าชนหน่อย” ยกแก้วชนกันเสียงดัง แล้วคืนนั้นสองพ่อลูกก็ดื่มจนแทบจะกลายเป็นอาบ ภูตะวันกลับมาก็ช่วยมารดาเก็บจานชามไปล้าง มองน้องชายที่นอนไม่ได้สติ เช่นเดียวกับบิดาที่ทรุดลงไปกอดขาเตียงเอาไว้แน่น
ส่ายศีรษะแล้วประคองคีรินทร์ให้ลุกขึ้นยืน พาไปส่งที่ห้องนอนของอีกฝ่าย โดยไม่อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ขนาดแขนยังมีเฝือกก็ซ่าดื่มจนเมาไม่ได้สติ ได้พ่อมาทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ นั่นแหละคีเอ๊ย ถอนหายใจเล็กน้อยค่อยกลับไปพาบิดาเข้าห้อง
ก่อนที่คืนนั้นจะกลายเป็นคืนอันแสนขมขื่นของหนุ่มวิศวกร...
เอ๊กอี้เอ๊กเอก
เสียงไก่ขันไม่ทำให้คนที่นอนหลับตื่นได้ เขายกหมอนขึ้นปิดหูแล้วนอนต่อกระทั่งเสียงเปิดประตูและปิดลง คนบนเตียงยังไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ราวกับถูกเตียงดูดไว้ไม่ให้ลุก ทว่าพอมีกลิ่นอาหารลอยเข้าจมูกร่างกายก็ตอบสนองโดยอัตโนมัติ
คีรินทร์ลุกขึ้นนั่ง พยายามเปิดเปลือกตาแล้วมองควันที่ลอยตามลม เห็นคนที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมถือชามข้าวต้มทะเลแสนโปรดวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
“หนักหัวว่ะพี่” ภูตะวันมองน้องชายที่ลุกจากเตียง แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันอย่างทุลักทุเลค่อยกลับมาห้องนอน
“ดื่มไปเยอะ เป็นไงล่ะ” คนอายุมากกว่าเดินไปนั่งที่เก้าอี้นวมซึ่งตั้งไว้ข้างหน้าต่าง มองวิศวกรหนุ่มตักอาหารกินราวหิวโหย น้องไม่ได้ตอบอะไรเพราะตอนนี้ท้องกำลังประท้วง พอได้ซดอะไรร้อนๆ สมองก็โล่งขึ้นทันที
“ไปตัดเฝือกวันไหนนะ”
“พรุ่งนี้ พี่พาไปหน่อยสิ ไม่อยากไปคนเดียว” เขาพยักหน้า พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองนาฬิกาก็ค่อนข้างสายแล้ว คงต้องรีบเข้าไร่เร็วกว่าปกติเพราะวันนี้ต้องไปส่งผลไม้ให้ลูกค้าในตัวเมือง
“กินเสร็จแล้วก็เอาไปล้างด้วยล่ะ ไปแล้ว” คีรินทร์พยักหน้าแล้วจัดการอาหารตรงหน้าต่อ ก่อนจะชะงักเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
เหมือนเมื่อคืนพ่อพูดเรื่องแต่งงาน...
“แล้วมันยังไงต่อวะ” เค้นสมองนึกถึงคำพูดของบิดา แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสักที จำได้เพียงท่านอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา แต่พี่จันทร์ก็แต่งงานมีลูกไปแล้ว ส่วนพี่ตะวันก็กำลังจะแต่งน่าจะประมาณปีหน้า เหลือแต่เขาที่ยังโสดสนิท และยังไม่คิดจะมีใคร
ช่างมันเถอะ คิดไปก็นึกไม่ออกอยู่ดี อีกอย่างมันก็เป็นแค่เรื่องที่พูดคุยกันในวงเหล้า แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยไม่รู้เลยว่าภัยกำลังเข้าใกล้ตัวเอง
หลังจากเอาเฝือกออกคีรินทร์ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ เรื่องของคนที่ทำร้ายเขาก็เอาเรื่องมันจนถึงที่สุด ให้ชดใช้เป็นเงิน ก่อนจะจบเรื่องนี้อย่างพึงพอใจ สัญญากับตัวเองว่าต่อจากนี้ต้องดูให้ดีก่อนเข้าหาผู้หญิง เดี๋ยวเจอผัวเขามากระทืบอีก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
วันหยุดสุดสัปดาห์ก็กลับมาบ้านอีกครั้ง คราวนี้กะว่าจะนอนเล่นเกมอยู่บ้านเพราะงานในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบเริ่มคงที่แล้ว แต่ก็ต้องเข้าไปดูบ่อยครั้งแล้วมอบหมายงานให้วิศวกรส่วนดูแลภายในจัดการต่อ
“แม่ จัดงานอะไรเหรอครับ” ขับรถมาถึงบ้านก็เห็นลานกว้างมีคนมาตั้งเวที ถึงได้เอ่ยถามปกติ คนเป็นแม่ยิ้มในหน้าก่อนจะเดินเข้ามาหาลูกชาย
“งานแต่งลูกไงจ้ะ” ร่างสูงพยักหน้าพลางอมยิ้มจนแก้มจะแตก
“งานแต่งหนูเหรอ อืม ห้ะ งานแต่ง ของหนู เดี๋ยวๆๆ แม่ อันนี้ล้อเล่นใช่ไหม งานพี่ตะวันหรือเปล่า” ตกใจจนลิ้นเกือบพันกัน พยายามแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง แต่ก็คิดได้ว่างานแต่งพี่ชายจัดปีหน้า ไม่มีทางเลื่อนแน่นอนเพราะพ่อจัดการพิมพ์การ์ดไว้ข้ามปี
หรือจะเป็นงานเลี้ยงของไร่ แต่ก็เพิ่งจัดไปเมื่อห้าเดือนก่อน จะมาจัดอะไรบ่อยขนาดนี้ เขาจ้องหน้าแม่อีกครั้งเพื่อดูว่าท่านล้อเล่นหรือเปล่า
“งานเรานั่นแหละ พ่อลูกชาย” ตบบ่าหนาพอดีกับที่คุณพณณกรเดินเข้ามาดื่มน้ำ หลังดูแลการจัดเวทีให้เรียบร้อย
“อ้าว ว่าที่เจ้าบ่าวมาแล้วเหรอ” งงหนักกว่าเดิมเมื่อบิดาทักขึ้น เขายิ้มไม่ออกแล้วรีบส่ายหน้าทันที จะบ้าเหรอแฟนก็ยังไม่มีใครจะแต่งงาน
“พ่อกับแม่อำหนูเล่นแน่เลย ฮ่าๆ ตลกนะเดี๋ยวนี้ เล่นใหญ่ซะด้วย หมดเงินไปเท่าไหร่ครับ” ส่ายหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อตนเองทุ่มทุนขนาดนี้ อยากจะปรบมือให้จริงๆ ถ้าไม่ติดที่บิดายื่นกระดาษที่เขียนด้านบนว่า ‘ใบสำคัญการสมรส’ มาตรงหน้า
แล้วพ่อเอามาให้ดูทำไม ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองยังชื่อที่อยู่ด้านบน เบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นว่ามันถูกพิมพ์ด้วยอักษรที่อ่านง่าย ‘นายคีรินทร์ วิจิตรประภา’
“นะ นี่มันชื่อ ชื่อเหมือนหนู เอ๊ย ผมเลย” เห็นคนเดินผ่านจึงรีบเปลี่ยนสรรพนาม ทั้งที่ใจก็เต้นแรงขึ้น ทำไมชื่อเขาไปอยู่ในใบทะเบียนสมรสได้ นี่ของปลอมหรือเปล่า พ่อเอามาแกล้งกันเฉยๆ ใช่ไหม มันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร
“ก็ใช่ไง ชื่อแกนั่นแหละ ดีใจจริงๆ ที่ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา นี่พ่อซื้อเรือนหอในเมืองไว้ให้แกกับหนูคนิ้งแล้วนะ เดี๋ยวให้ยายบานเย็นกลับมาอยู่ไร่ เออบัวไปรับแม่หรือยัง ต้องเก็บของอีกไม่ใช่เหรอ” หันไปคุยกันเองปล่อยลูกชายยืนช็อคไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ทว่าพอเลื่อนสายตาลงมาชื่อข้างล่าง เข่าเขาก็แทบทรุด นี่เขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงเฉิ่มเชยคนนี้จริงเหรอ!
มธุรดา ธรรมสรณ์ ...