๖ งานแต่งที่ไม่อยากแต่ง (๑)
๖
งานแต่งที่ไม่อยากแต่ง
หลายวันต่อมามธุรดายุ่งกับงานจนแทบไม่มีเวลานอน ไหนจะออกข้อสอบ ตามงานของเด็กที่ยังไม่ส่ง ประชุมกับคุณครูเกี่ยวกับกิจกรรมก่อนปิดเทอม เล่นเอาหัวหมุนกระทั่งงานทุกอย่างผ่านพ้น จึงได้กลับมาบ้านหลังน้อยยังไร่รุ่งอรุณ
จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างหน้า เดินขึ้นบนเรือนเห็นมารดานั่งคั้นใบย่านางอยู่เฉลียงก็ยกมือไหว้ท่านพร้อมรอยยิ้มหวาน
“แม่ สวัสดีจ้ะ” เข้าไปหาแล้วนั่งตรงข้าม วางกระเป๋าเอาไว้มองเห็นนางนุ่มนิ่มขะมักเขม้นกับการคั้นใบย่านางเสียเหลือเกิน
“ทำอะไรกินเหรอแม่” ถามด้วยความกระตือรือร้น
“แกงหน่อไม้ใส่ใบย่านางเนี่ยแหละ อยากกินไหม” ไม่ได้กินเสียนานกำลังอยากพอดีเลย คนตัวเล็กยิ้มในหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนชุดแล้วจะมาช่วยนะจ้ะ” คนเป็นแม่พยักหน้า มองตามแผ่นหลังเล็กของบุตรสาวที่ผลุบเข้าไปในห้องนอนของตนเอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องพูด เมื่อวานบุลลาก็มาอีกครั้งเพื่อสอบถามเรื่องการแต่งงาน
ทว่าหล่อนยังไม่ได้พูดกับลูกจึงต้องบอกปัดไปก่อน วันนี้คงหนีไม่พ้น เกริ่นกับมธุรดาให้เป็นเรื่องเป็นราว อีกฝ่ายจะเอาอย่างไรก็เคารพในการตัดสินใจ
คิดแล้วก็ได้เครียดจนต้องออกแรงขย้ำใบย่านางจนเป็นสีเขียวเข้ม ไม่นานคุณครูคนเก่งของนักเรียนก็ออกมาจากห้องด้วยชุดเสื้อยืดกับผ้าถุงสั้นเพียงเข่า ค่อยเดินไปหยิบใบชะอมมาตัดก้านแข็งๆ ออก
“ตอนนี้ลูกมีคนรักหรือเปล่า” มือเล็กชะงักไปครู่หนึ่ง ปกติไม่เห็นมารดาถามเรื่องนี้ ท่านไม่ก้าวก่ายด้วยรู้ว่าลูกสาวไม่มีใคร โสดสนิทจนอยากหาคนรักให้ด้วยซ้ำ
“ไม่มีนะแม่ ทำไมเหรอ จะแนะนำใครให้หนูอีก” พูดทีเล่นทีจริง แต่เห็นหน้าของแม่ที่ค่อนข้างเครียดจึงวางมีดลง
“แม่...มีอะไรหรือเปล่า” เริ่มรับรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ขยับเข้าไปใกล้ท่านมากกว่าเดิมแล้วจ้องมองด้วยตาที่เริ่มฝ้าฟางตามกาลเวลา
“ป้าบัวมาขอลูกให้คุณคี” เหมือนหูของหล่อนอื้อไปชั่วขณะหลังฟังจบ พยายามยิ้มออกมาถึงจะขัดกับดวงตาที่เต็มไปด้วยอาการตระหนกก็ตาม
“แม่ล้อเล่นอะไร หนูไม่ตลกนะ ใครจะมาสู่ขอหนูกัน หน้าตาก็ไม่สวย เข้าสังคมก็ไม่เป็นอยู่ด้วยก็เหงาเปล่า แม่มั่วแล้ว” พยายามพูดตลกกลบเกลื่อนแต่พอมองหน้ามารดาซึ่งฉายแววเคร่งเครียดก็หัวเราะไม่ออก
เริ่มกลัวเสียแล้ว
“นิ้งฟังแม่นะ ป้าบัวเขามาสู่ขอให้หนูแต่งงานกับคุณคีจริงๆ แม่ไม่ได้โกหก” คว้ามือลูกมากุมเอาไว้แล้วพูดอย่างใจเย็น
“แล้วป้าบัวจะทำแบบนั้นทำไม หนูกับคุณคีไม่ได้รักกันสักหน่อย หน้าหนูเขายังไม่อยากมองเลย ถ้าแต่งกันก็ไปไม่รอด” นิสัยพวกเธอต่างกันมาก เขาชอบสังสรรค์ในขณะที่เธอชอบกลับบ้าน อยู่เงียบๆ มากกว่าที่เสียงดัง
อีกอย่างคีรินทร์ชอบพูดจาประชดประชัน เธอไม่ชอบเอาเสียเลย หากแต่งงานกันไปคงต้องกินยาแก้ปวดหัววันละหลายเม็ดแน่
“ป้าเขาบอกไม่อยากให้คุณคีเจอคนหาเรื่องแบบครั้งนี้อีก เลยอยากหาผู้หญิงมากำราบ” คุณครูตัวเล็กแทบจะหัวเราะออกมา
“แม่ หนูกำราบเขาไม่ได้หรอกนะ ขนาดพูดคุณคียังไม่อยากจะฟัง” ดวงตากลมโตมีนำปริ่ม เธอไม่อยากแต่งงานกับเขาสักนิด แค่คิดว่าต้องอยู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันตลอดก็ห่อเหี่ยวเสียแล้ว
“แม่เข้าใจ แต่ป้าบัวเขาขอมาก็ไม่รู้จะพูดยังไง หนูก็รู้ว่าเขามีบุญคุณกับเรามากแค่ไหน” ตอนที่นางยุภาพรมีปัญหาเรื่องเข่าต้องผ่าตัดก็ได้เงินจากบุลลา ไหนจะค่าเล่าเรียนบุตรสาวอีก ให้ทั้งที่พักอาศัย ไม่รู้ว่าชาตินี้จะชดใช้หมดหรือเปล่า
“แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่หนูต้องแต่งงานกับคุณคีนิแม่” ว่าเสียงเครือ ก่อนจะโผเข้ากอดมารดาแน่น
“ถ้าลูกไม่อยากแต่งแม่จะบอกป้าเขาให้ ไม่ร้องนะลูก ไม่ร้อง ป้าบัวไม่ได้บังคับหรอกแค่มาถามไว้เฉยๆ ถ้าหนูไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร” ลูบศีรษะมนอย่างปลอบปะโลม หล่อนร้องไห้ในอ้อมกอดของท่านก่อนจะผละไปเดินเล่นที่ไร่
ต้องการใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรบางอย่าง กระทั่งมาหยุดยืนอยู่น้ำตกท้ายไร่ในยามโพล้เพล้เช่นนี้ มองน้ำเบื้องหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย น้ำตาเหือดแห้งไปจนหมดก่อนที่จะเดินไปนั่งยังโขดหิน หย่อนเท้าลงสัมผัสสายน้ำเย็น
คนเราจะแต่งงานกับชายที่ไม่รักได้อย่างไร มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้ทั้งสองฝ่ายเสียเปล่า แล้วสำหรับเธอกับคีรินทร์ไม่ใช่แค่ไม่รัก ใช้คำว่าเกลียดน่าจะเหมาะกว่า
เขาไม่ชอบหน้าเธอ และเธอเองก็ไม่ต้องการอยู่ใกล้เขาเช่นเดียวกัน ความต้องการชัดเจนขนาดนี้คงไม่สามารถอยู่ร่วมชายคาด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นเรื่องแต่งงานจึงถูกตัดทิ้งทันที
“คนิ้ง มาทำอะไรตรงนี้” หันไปมองก็พบพี่สาวคนสวยที่ตอนนี้กลายเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งเสียแล้ว ศศินาเดินมานั่งข้างหญิงสาวที่นึกเอ็นดูเหมือนน้อง
“คุณหนู” เรียกเสียงเบาแล้วยิ้มให้ ก่อนจะขยับเพื่ออีกฝ่ายจะได้นั่ง
“นั่งเศร้าอะไรเรา มีเรื่องหนักอกหนักใจเหรอ” ตอนแรกว่าจะเดินเล่นรับลมหลังส่งลูกน้อยให้คุณตาคุณยายเลี้ยง คุณพณณกรหลงหลานสาวมาก ซื้อของมาให้จนล้นบ้านแล้ว ร่ำๆ จะสร้างบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ติดกันด้วยซ้ำ
แต่เพราะหล่อนต้องการความเป็นส่วนตัวจึงห้ามเอาไว้ก่อน ตอนนี้เลยมาอยู่บ้านของโอบเอื้อที่อยู่ใกล้บ้านคนงาน แน่นอนว่าเจ้าของไร่ที่ถึงจะแก่แต่ยังแข็งแรงบ่นไม่หยุดว่าไปอยู่ไกล จะได้เล่นกับหลานก็ขับรถมาเอง จนภรรยาต้องปรามจึงเลิกบ่น
“เปล่าหรอกค่ะ” ปฏิเสธทั้งที่ใบหน้าหมอง
“ให้พี่ทายไหม เรื่องที่คุณแม่ขอบัวให้คี” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้น หันไปมองรุ่นพี่ทันที
“คุณหนูรู้ได้ยังไงคะ” คิดว่าเป็นความลับเสียอีก อย่างนี้คีรินทร์ก็รู้แล้วเหมือนกันสิ ถอนหายใจออกมาเสียงเบาแล้วก้มมองน้ำสีใส ศศินาสงสารน้องที่โดนบังคับแบบนี้ หล่อนรู้ว่าแท้จริงแล้วมธุรดารักใคร แต่แน่นอนมันคือรักที่เป็นไปไม่ได้
ในเมื่อภูตะวันกำลังจะแต่งงานกับเกวลิน และทั้งสองคนก็รักกันมากเหลือเกิน ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยกันมาก็เยอะ
“รู้กันทั้งบ้านแล้ว ยกเว้นคีนะ รายนั้นไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอก” ยกยิ้มเล็กน้อย เขาไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวจะมาหาเรื่องเธออีก
“นิ้งไม่อยากแต่งค่ะ นิ้งไม่ได้รักคุณคี อยู่กันไปก็ไม่รอด เขาเกลียดนิ้งจะตายไปหน้ายังไม่อยากมองเลย เจอกันทีไรก็มีแต่ทะเลาะ” คนฟังขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น เท่าที่หล่อนสังเกตคีรินทร์ก็ไม่ได้เกลียดคุณครูคนเก่งสักเท่าไหร่
“ไม่จริงหรอก คีไม่ได้เกลียดนิ้ง เขาอุตส่าห์ช่วยนิ้งขึ้นมาจากน้ำตอนเด็ก ไหนจะดูแลตอนนิ้งป่วยอีก พี่ว่าน้องชายของพี่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนะ” ใบหน้าหวานหันไปมองคนที่นั่งข้างตนเอง ละล้ำละลักถามเสียงสั่น
“คุณหนูหมายความว่ายังไงคะ พี่ตะวันช่วยนิ้งขึ้นจากน้ำไม่ใช่เหรอ ทำไมเป็นคุณคี” ศศินาหัวเราะร่วน แล้วตอบตามความจริงที่ตนเองได้รู้
“พี่ตะวันไปเห็นตอนที่คีช่วยนิ้งขึ้นมาได้แล้วต่างหาก คนที่ช่วยเราจริงๆ น่ะคือคี แล้วช่วงที่นิ้งป่วยไม่มีคนอยู่บ้านคีก็ช่วยดูแล สงสัยลืมไปหมดแล้วมั้ง”
ไม่ใช่ลืม เธอไม่เคยรู้เลยต่างหาก!
ตอนนี้ก็นิ่งอึ้งพูดไม่ออก กำลังประมวลผลจากสิ่งเพิ่งรู้ แสดงว่าความฝันที่ช่วงนี้หวนกลับมาอีกครั้งมันเพื่อย้ำเตือนให้หล่อนรู้ความจริง หลังเข้าใจผิดมาตลอดว่าภูตะวันช่วยขึ้นจากน้ำ แท้จริงคือคีรินทร์ต่างหาก
ใบหน้าคมโผล่ขึ้นมา ทำให้เกิดความสับสนจนไม่ได้ยินในสิ่งที่ศศินาพูด เกิดคำถามขึ้นในใจของตัวเอง ที่ชอบพี่ตะวันก็เพราะเขามาช่วยจากความตาย แล้วถ้าวันนั้นรู้ความจริงคนที่เธอจะหลงรักคงเป็นคีรินทร์ใช่หรือเปล่า
ดวงตากลมมีแต่ความสับสน กระทั่งศศินาชวนกลับถึงได้เดินออกมาเหมือนร่างไร้วิญญาณ มาถึงบ้านก็พบว่าไม่ได้มีแค่แม่และยาย เพราะผู้มาเยือนคือคุณพณณกรและคุณบุลลา เจ้านายแห่งไร่อรุณนั่นเอง
หลังออกจากโรงพยาบาลวิศวกรหนุ่มหล่อก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม เพื่อนร่วมงานต่างเข้ามาถามไถ่อาการและเขียนให้กำลังใจลงบนเฝือกสีขาวที่ตอนนี้กลายเป็นตัวอักษรเต็มไปหมด การใช้ชีวิตของเขายุ่งยากมากขึ้นเมื่อมีเกราะหุ้มแขน
หงุดหงิดในบางครั้งที่จะกินข้าวก็ไม่ถนัด อยากกลับไปซัดคนพวกนั้นให้หมอบเหลือเกิน ตอนแรกแขนจะไม่เจ็บหรอกถ้ามันไม่เล่นทีเผลอใช้ไม้ฟาดเข้ามาจนเจ็บแขน คราวหน้าถ้ารู้ว่าจะมีเรื่องเขาเตรียมสนับมือไปแน่ ไม่รู้ซะแล้วว่าแต่ก่อนคีรินทร์คุมทั้งโรงเรียน
บอกเลยบัวขาวยังชิดซ้าย เขาทรายที่ว่าแน่ก็ไม่สู้นะครับ
“วันนี้มึงไปไหน” หลังเลิกงานก็พากันเดินไปยังรถยนต์ที่เดี๋ยวนี้อาศัยให้สกลไปรับไปส่ง เนื่องจากแขนใช้การได้ข้างเดียว พวกเขาตัวติดเป็นฝาแฝด ยิ่งกว่าผัวเมียเสียด้วยซ้ำ
“กลับไร่ มึงไปส่งหน่อย” แหย่เล่นเกือบโดนโบก เพราะวันนี้อีกฝ่ายนัดกับเมียจะไปกินข้าวนอกบ้าน หวานกันสักนิดชีวิตรักจะได้ไม่จืดชืด และคีรินทร์ก็รู้ดีจึงไม่อยากขัดขวาง แต่ก็อดหยอกไม่ได้เพราะหน้าตามันดูมีความสุขเหลือเกิน เห็นแล้วก็หมั่นไส้
“กูล้อเล่นน่า เดี๋ยวไอ้เอี้ยงมารับ” ได้ยินอย่างนั้นก็คลายความกังวล พูดไม่ทันขาดคำรถกระบะคันกลางเก่ากลางใหม่ก็จอดเทียบหน้าบริษัทวิจิตร (จำกัด) มหาชนสาขาต่างจังหวัด
“คุณคี ผมมารับแล้วครับ” หนุ่มร่างเล็กที่ตัวแคระแกนเปิดประตูลงจากรถ ชุดสีสันค่อนข้างแสบตาไหนจะทรงผมที่ถูกเซ็ทให้ตั้งไปข้างซ้ายฝั่งเดียว มีแว่นตากรอบสีเขียวอีก เขาเห็นแล้วก็ได้แต่เอามือนวดขมับ ปวดหัวกับมันเหลือเกิน
สกลที่ยืนข้างกันก็หลุดขำ รู้จักกับเอี้ยงมาตั้งแต่สมัยเรียน อีกฝ่ายเป็นลูกน้องคนสนิทของคีรินทร์ที่ทำงานอยู่ฟาร์มสายรุ้งมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่เป็นคนงานแต่พ่อเสียชีวิตตั้งแต่มันได้ห้าขวบ ถูกเลี้ยงมาพร้อมๆ ลูกคนเล็กเจ้าของไร่
ทำให้กลายเป็นคู่หูคู่ซี้ แต่ขนาดตัวและหน้าตาห่างกันไปมากโข เวลาเดินข้างคุณคีมันจะถูกมองข้ามราวเป็นอากาศธาตุ หรือมากกว่านั้นคือกองขี้หมา สายตารังเกียจเสียเหลือเกิน ทั้งที่เอี้ยงก็มั่นใจว่าหล่อเหมือนเจ้านาย
“มึงแต่งตัวอะไรมาเนี่ย” ไล่ตั้งแต่เสื้อลายตารางสีไม่ซ้ำ กางเกงขาเดฟสีส้มที่มองแล้วก็นึกแสบตา ทว่าคนใส่นั้นแสนจะภูมิใจจนต้องกอดอก
“หล่อใช่ไหมครับ ผมเดินออกจากไร่คนชมทั้งนั้น” วิศวกรหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก ไม่เคยทำลายความมั่นหน้าของมันได้จริงๆ
“เออหล่อ ไอ้หล่อพากูกลับบ้านหน่อยแล้วกัน” หนุ่มร่างเล็กรีบเดินไปเปิดประตูข้างคนขับให้เจ้านายทันที
“ไปแล้วมึง ไว้เจอกันวันจันทร์” บอกลาเพื่อนสนิท ก่อนที่เอี้ยงจะย้ายไปประจำตำแหน่งคนขับ แล้วค่อยเคลื่อนตัวออกจากหน้าบริษัท มุ่งตรงไปอำเภอซึ่งเป็นที่ตั้งของไร่รุ่งอรุณ ระหว่างนั้นก็พูดจ้อไม่หยุดถึงเรื่องสาวๆ ที่มาติดตนเอง
“กูขอถามหน่อย ก่อนออกจากบ้านมึงได้ส่องกระจกบ้างไหม กูคิดว่ากูหลงตัวเองแล้วนะ มึงนี่หนักเลยเอี้ยง หนักจริงๆ” วิศวกรหนุ่มหล่อพูดราวปลงกับลูกน้องตนเอง ทั้งเอ็นดูปนขำ ไหนจะหมั่นไส้กับความมั่นหน้าของหนุ่มตัวเล็ก
ขนาดอายุเข้ายี่สิบปีแล้วยังสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเลย “กระจกมันเพิ่งแตกเมื่อเช้าเองคุณคี แม่ขว้างสากใส่ เลยไม่รู้จะส่องที่ไหน ต้องใช้ช้อนเป็นกระจกแทน” ไม่น่าทำไมผมเป๋ไปขนาดนี้
คีรินทร์พูดกับเอี้ยงจนกระทั่งถึงไร่ มาจอดยังบ้านหลังเล็ก เห็นแม่ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะหน้าบ้าน คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย จะเลี้ยงใครหรือเปล่าทำไมถึงลงครัวเองพร้อมกับข้าวมากมายขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นโดยที่เขาไม่รู้อย่างนั้นเหรอ
“แม่ ทำไมทำกับข้าวเยอะจัง” ถามคุณบุลลาที่สาละวนกับการจัดโต๊ะ
“อ้อ วัวเพิ่งคลอด พ่อเลยเอาน้องวัวมาให้แม่อ่อม” น้องวัวที่ว่านั้นหมายถึงรกวัว ซึ่งจะออกมาตอนที่แม่วัวคลอดลูก ตามแถบอีสานมักนำมาทำเป็นอาหารรสชาติจัดจ้าน หรือต้มแกล้มเหล้าก็อร่อยเหมือนกัน