๕ ขอร้อง (๒)
“บัวคิดว่ายังไงถ้าพี่จะให้คีแต่งงานกับคนิ้ง” เข้าประเด็นทันทีซึ่งคนฟังก็นิ่งเงียบ หล่อนเคยผ่านการคลุมถุงชนด้วยความไม่สมัครใจ แต่งงานเพื่อหนีข้อครหาของคนในหมู่บ้าน สุดท้ายก็ต้องเจ็บปวดจากการไม่ยอมพูดคุยหรือปรับความเข้าใจให้ตรงกัน
เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของสามีสักเท่าไหร่ ดูแล้วมธุรดาไม่ได้รักลูกชายของเธอ ส่วนคีรินทร์ยิ่งแล้วใหญ่ ชอบแกล้งน้องอยู่เป็นนิจ เอะอะต้องทำให้ร้องไห้มีน้ำหูน้ำตาจนหล่อนคร้านจะทำโทษ โตขึ้นดีหน่อยที่ไม่ค่อยเจอกันจึงไม่มีเรื่องให้ปวดหัว
แต่ถ้าต้องมาแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา ก็คิดหนักเหมือนกัน
“บัวกลัวว่าลูกจะไม่ยอม” ทว่าด้วยความเป็นแม่ที่นึกห่วงลูกชายว่าจะไปยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่น จนเกิดเรื่องราวเหมือนเมื่อคืนอีกแล้วจะรอดมาหรือเปล่า ถ้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาก็พอจะมีคนดูแลไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
เห็นมธุรดาเรียบร้อยพูดน้อยแบบนั้นแต่ก็เอาลูกชายหล่อนอยู่เหมือนกัน เคยเห็นตอนเด็กที่หญิงสาวร้องไห้คีรินทร์ก็จะหยุดทุกการกระทำ ใบหน้าฉายความกังวลและรู้สึกผิด หายซ่าไปได้หลายวัน พอโตขึ้นคุณครูคนเก่งมีชั้นเชิง พูดจาหว่านล้อมจนวิศวกรหนุ่มอ่อนลงให้ในบางครั้ง
แต่ถ้าอยู่ไกลกันน่าจะดีที่สุด
“พี่มีวิธีก็แล้วกัน บัวไปพูดกับนุ่มนิ่มแล้วก็คนิ้งเถอะ เรื่องไอ้ตัวดีเดี๋ยวพี่จัดการเอง” ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย คิดออกแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ลูกชายยอม แต่คงต้องให้เวลาสักหน่อย ไว้เริ่มแผนหลังจากที่คีรินทร์เอาเฝือกออกแล้วกัน
คนเป็นแม่คิดหนัก ไม่รู้จะพูดกับเพื่อนอย่างไร เหมือนเป็นการบังคับจิตใจอีกฝ่าย ทว่าสุดท้ายก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปหานุ่มนิ่มที่บ้านพักคนงานจนได้ เห็นบ้านเงียบราวไม่มีคนจึงลองตะโกนเรียกเสียงดัง ไม่นานเพื่อนสนิทก็ออกมา
“นิ่ม นึกว่าไม่อยู่บ้าน” เดินยิ้มร่าเข้าไปหาเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
“ขึ้นมาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนสิ แม่ฉันไปคุยกับป้าๆ ที่โรงอาหาร วันนี้ฉันเลยอยู่บ้านคนเดียวเงียบเหงาไปสักหน่อย” หยิบเหยือกน้ำในตู้เย็นแล้วก็แก้วสแตนเลสมาวางไว้บนโต๊ะ เดินไปเปิดพัดลมก่อนจะมานั่งตรงข้ามเพื่อน
นุ่มนิ่มเลิกรากับสามีตั้งแต่ลูกน้อยเพิ่งได้สองขวบ เธอรักกับหนุ่มตาน้ำข้าวแต่อยู่กินกันสักพักก็มีเรื่องให้ทะเลาะไม่เว้นวัน ไหนจะภาษาที่ต่างจึงจำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายกลับบ้านเกิดเมืองนอน ส่วนตนก็ดูแลลูกสาวที่ได้ตนเองไปเต็มๆ ทั้งหน้าตาผิวพรรณ จะมีก็แต่ริมฝีปากบางเฉียบที่ได้มาจากพ่อ
“มีอะไรเหรอมาหาฉันถึงบ้าน” ถามพลางจ้องใบหน้าสวยที่แม้จะอายุเยอะก็ยังคงความน่ามอง ไม่แปลกใจที่คุณเอิร์ธจะหวงเมียนักหนา
ตั้งแต่หนุ่มยันแก่...
“ฉันมีเรื่องจะมารบกวน” เทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม รู้สึกเหมือนลำคอแห้งผาก
“เรื่องอะไรล่ะ ว่ามาเลยฉันช่วยเต็มที่” บุลลาช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด ให้ยืมเงินสร้างบ้าน อยู่เป็นเพื่อนตอนถูกทิ้ง ช่วยเลี้ยงลูกสาวในยามที่ไม่ว่าง คอยปลอบปะโลมตลอดจนกลายเป็นหนี้บุญคุณไปแล้ว หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ยอมทำตามทุกอย่าง
“ฉันอยากสู่ขอหนูคนิ้งให้ลูกชายตัวเอง” พูดจบก็เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ นุ่มนิ่มคิดว่าตนเองอาจจะฟังผิดจึงถามย้ำอีกรอบ
“เธอหมายถึง อยากให้ลูกเราแต่งงานกันเหรอ ลูกชายก็คือคุณคีใช่ไหม” เพราะลูกชายคนโตอย่างภูตะวันก็มีคนรักอยู่แล้ว ฉะนั้นคนที่โสดพอจะแต่งงานกับลูกสาวของเธอก็คือคีรินทร์ ลูกชายคนเล็กของเพื่อนสนิทนั่นเอง
“ใช่” ฟังจบแล้วเครียดเหมือนไมเกรนจะขึ้น ลูกสาวของเธอกลัวชายหนุ่มอย่างกับอะไรดี เห็นเป็นต้องหนีแล้วจะจับให้มาอยู่บ้านเดียวกันได้หรือ
ยิ่งกว่านั้นคือแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยา ไม่อยากจะคิดเลยว่ามธุรดาจะเจออะไรบ้าง
บุลลามองเพื่อนแล้วลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เอื้อมไปกุมมือนุ่มนิ่มแล้วอธิบายถึงเหตุผลของการมาขอร้องครั้งนี้ ที่จริงก็ไม่อยากทำสักนิดแต่ไม่เห็นใครเหมาะสมกับคีรินทร์เท่าหลานสาวคนนี้แล้ว อีกอย่างหล่อนก็รักและเอ็นดูคุณครูร่างบางเหมือนลูกสาวอีกคน
ถ้าได้มาเป็นสะใภ้ก็คงจะดี
“แต่ว่าเด็กไม่ได้รักกันนะ มันจะเป็นการบังคับหรือเปล่า ถ้าเขาไปกันไม่รอดล่ะ ลูกฉันก็กลายเป็นแม่หม้ายสิ” กังวลไปก่อนเพราะสองคนนี้ไม่ได้ชอบพอกัน คิดว่าคงไปกันไม่รอดแน่ ทว่าบุลลาไม่คิดอย่างนั้น
“นุ่มนิ่ม เชื่อฉันว่าคีจะไม่ทิ้งคนิ้งแน่นอน ถึงเขาจะเป็นคนเจ้าชู้จีบไปเรื่อยแต่ถ้าได้ลงหลักปักฐานแล้ว เขาจะมั่นคงกับผู้หญิงของตัวเองคนเดียว” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่อนาคตไม่มีใครรู้ ยิ่งนางมีลูกสาวคนเดียวด้วยก็รักและห่วงเป็นพิเศษ
อีกทั้งเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ จะตัดสินใจคนเดียวก็ไม่ได้ คิดหนักจนต้องถอนหายใจออกมา ไม่นึกว่าบุลลาจะขอร้องในเรื่องยากๆ เช่นนี้มาก่อน
“ฉันขอถามลูกก่อนแล้วกัน ไม่รับปากนะว่าจะตกลงหรือเปล่า” ได้ยินแค่นั้นก็ดีใจแล้ว
“ขอบใจมากนะนิ่ม แค่เธอจะพูดกับนิ้งให้ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว หวังว่าเราจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน” คนเป็นเพื่อนทำเพียงพยักหน้าไม่ตอบอะไรอีก
คุณนายของไร่รุ่งอรุณจึงบอกลาแล้วขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านของตน โดยมีคนตัวเล็กมองตามหลังด้วยความหนักอก มันเป็นเรื่องใหญ่มากเสียจนไม่กล้าเอ่ยกับมธุรดา คิดว่าอย่างไรลูกสาวคงไม่ยอมแน่ ฝ่ายนั้นเห็นหัวอ่อนแต่บทจะแข็งก็ไม่สามารถโน้มน้าวได้
ช่างมันแล้วกัน ให้เป็นการตัดสินใจของลูก อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลย มันต้องมีทางออกนั่นแหละ
“ปรับลงอีกหน่อย” หลังกินของหวานจนอิ่มแล้วนั่งเล่นเกมสักพักก็บอกคนที่ดูแลตนเองทันที ร่างบางลุกขึ้นมาปรับเตียงให้เขา จนกระทั่งชายหนุ่มพอใจจึงเดินไปคว้านเมล็ดลำไยออกแล้วใส่ไว้ในตู้เย็น เป็นของโปรดคุณชายเขาล่ะ
“เอิ้ก อิ่ม” เสียงเรอดังขึ้นจนต้องหันมอง เธอย่นจมูกไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ คีรินทร์ที่มองดูก็แอบอมยิ้มมีความสุขที่ได้แกล้งคนตัวเล็ก
แอ๊ด
“ไงไอ้แสบ ได้ข่าวซ่าจนเจ็บตัว” จากที่นั่งปอกผลไม้ก็เงยขึ้นมองคนมาใหม่ทันที ภูตะวันเข้ามาภายในห้องพักคนเจ็บหลังรู้ข่าวจากบิดา
“ใครเจ็บตัว ไม่มีหรอก อันนี้เขาเรียกว่าแผลแห่งการเรียนรู้” อวดอ้างอย่างภูมิใจจนคนฟังต้องส่ายหัวระอา แล้วเลื่อนสายตาไปยังพยาบาลจำเป็น
“อ้าวนิ้ง อยู่เฝ้าคนกากเหรอ” แอบจิกกัดน้องชายตัวเอง ทำเอาหล่อนหลุดยิ้มออกมาทันทีจนคีรินทร์ต้องรีบแก้
“กากอะไร กากจริงไม่ล้มคนตัวใหญ่ได้ตั้งห้าคนหรอก เขาเรียกว่าเทพครับพี่ชาย” ยืดอกภูมิใจนักหนา แล้วมองไปที่หญิงสาวซึ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยรอยยิ้มแสนหวาน เล่นเอาคนบนเตียงหายจากอาการปวดเมื่อยทันที
“คุณต่ายมาเยี่ยมผมเหรอครับ กำลังใจดีขนาดนี้หายวันหายคืนเลย” เอามือข้างที่ไม่เจ็บกุมหัวใจพลางทำสายตาหวานใส่แฟนพี่ชาย เล่นเอาภูตะวันเกือบยั้งมือไม่อยู่ตบหัวน้อง แต่เห็นว่าเจ็บจึงยืนมองเฉยๆ
“ปากดี” พูดใส่น้องชาย
“อย่างอื่นก็ดีครับผม” สองพี่น้องหยอกล้อกันครู่หนึ่งแล้วดาราสาวคนสวยจึงเอ่ยขึ้น
“ต่ายมีของมาเยี่ยมคุณคีด้วยค่ะ เป็นผลไม้จากไร่ ไม่รู้เบื่อหรือยัง” เธอวางกระเช้าไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะค้อมศีรษะให้มธุรดาที่นั่งปอกผลไม้อยู่ที่เดิม ใบหน้าหวานหมองลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภูตะวันไม่ได้มาคนเดียว
แต่ควงแฟนสาวคนสวยมาด้วย มองทีไรก็เจ็บจี๊ดในใจทุกที พยายามฝืนยิ้มแต่มันก็ไม่ได้ออกมาจากใจ รู้สึกผิดกับพี่ชายที่แสนดีเพราะหล่อนคิดไม่ซื่อกับเขา ทั้งที่ร่างสูงดีกับเธอเอ็นดูเหมือนน้องสาวมาโดยตลอด
“ถ้าเป็นของฝากจากคุณต่ายผมไม่เบื่อหรอกครับ” ส่งยิ้มหวานจนคนเป็นพี่ต้องโอบไหล่เล็กดึงมายืนข้างกาย
“ฉันมาเยี่ยมไม่ได้ให้แกมาเต๊าะแฟนฉัน” วิศวกรหนุ่มทำหน้ากระเง้ากระงอด
“นิดหน่อยก็ไม่ได้ รู้ครับว่าอีกไม่นานก็จะแต่งงานกันแล้ว เดี๋ยวก็เลื่อนขั้นมาเป็นพี่สะใภ้ผม แต่ตอนนี้ยังเป็นแฟนก็ขอหยอดให้ชื่นใจล่ะกัน” ร่างบางที่นั่งฟังมาโดยตลอดถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินว่าภูตะวันกำลังจะแต่งงาน
กลายเป็นว่าเหม่อลอยไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสามคุยกันต่อจากนั้นอีก เธอกล้ำกลืนก้อนสะอื้นแล้วนั่งคว้านเมล็ดลำไยออกจนหมดพวง หยิบองุ่นมาแกะเมล็ดออกให้เขา จนกระทั่งภูตะวันและเกวลินกลับถึงได้ผ่อนลมหายใจออกเสียงเบา
“ปอกไว้ขนาดนั้นกะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านเลยเหรอ” สะดุ้งก่อนจะหันไปมองเขา เธอเก็บผลไม้ที่ปอกเสร็จใส่กล่องไว้ในตู้เย็น
“คุณคีจะได้กินตลอดช่วงที่อยู่โรง’บาลไงคะ” เข้าห้องน้ำล้างมือแล้วกลับมานั่งยังโซฟายาวติดผนัง ซึ่งอยู่ใกล้เตียงของคนเจ็บ เขามองเธอแล้วค่อยล้มตัวลงนอนเมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ หนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเขาสู่ห้วงนิทรา
ขณะที่มธุรดาก็กดโทรศัพท์เล่นแก้เบื่อ จนตาเริ่มลืมไม่ขึ้นถึงได้หยิบผ้าห่มมาคลุมตนเอง แล้วเอนกายลงนอนเช่นเดียวกัน ไม่นานก็หลับสนิทแล้วเหมือนพาตัวเองกลับไปในเหตุการณ์เดิมที่ช่วงนี้กลับมาฝันซ้ำๆ จนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
น้ำตกหลังไร่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก ไม่มีคนอยู่รอบบริเวณนอกจากเด็กหญิงที่กำลังแหวกว่ายกลางกระแสน้ำ ตัวเธอเหมือนถูกดูดเข้าไปเป็นเด็กคนนั้นที่กำลังเริ่มเหนื่อย ขาไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถถีบตัวพ้นน้ำได้
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจม ก็รีบขอความช่วยเหลือทันที มือพยายามยกขึ้นเหนือหัวแต่กลับถูกดึงลงไปใต้บาดาล
“ใครก็ได้ ช่วยด้วย” ตะเกียกตะกายขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ว่ามันทำได้ยากเหลือเกิน จนสุดท้ายเธอก็ถอดใจพร้อมจะจมลงน้ำกระทั่งมีมือยืนมาฉุดให้โผล่จากธาราอันแสนหนาวเหน็บ
ดวงตากลมโตลืมขึ้นเห็นดวงหน้าคมของคีรินทร์อยู่ในครรลองสายตา สะดุ้งแล้วรีบลุกขึ้นนั่งบนโซฟาพลางหอบหายใจเหนื่อยเหมือนมันเกิดขึ้นจริง เหงื่อผุดซึมตามไรผมจึงรีบเช็ด ขณะที่ร่างสูงเดินกลับไปนั่งยังเตียงของตน
“ฝันร้ายเหรอ” ถามเสียงอ่อนไร้การยียวนอย่างที่เคยเป็น
“ค่ะ” เริ่มหายใจเป็นปกติถึงได้ตอบเขา เดี๋ยวนี้เหมือนฝันเรื่องตอนเป็นเด็กบ่อยจนกลัวว่าจะเป็นลางร้าย ยิ่งเข้าเบญจเพสด้วย คงต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์เสียแล้ว
“ฝันว่าจมน้ำเหรอ ฉันเห็นเธอทำท่าว่ายน้ำน่ะ” ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองคนที่จ้องตนเองอยู่ก่อนแล้ว ค่อยพยักหน้าให้เขา
“ใช่ค่ะ เหมือนย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กที่นิ้งจมน้ำ มันน่ากลัวมากเลย” ปรับทุกข์กับเขาเมื่อเห็นว่าคีรินทร์มีท่าทีเป็นห่วง ไม่ได้พูดจาใส่เหมือนทุกครั้ง
“ดีที่พี่ตะวันมาช่วยไว้” ผ่อนลมหายใจแล้วพูดเสียงเบา แต่วิศวกรหนุ่มที่มองเธอตลอดก็ได้ยิน เขารีบลุกจากเตียงมายืนตรงหน้าหล่อนทันทีด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ภายในใจมันร้อนรุ่มอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนจับแขนให้คนตัวเล็กลุกขึ้น
“พี่ตะวันไม่ได้เป็นคนช่วยเธอสักหน่อย คนที่ช่วยเธอน่ะ..” พูดด้วยแรงอารมณ์ แต่ยั้งประโยคสุดท้ายไว้ได้ทัน ขณะที่หญิงสาวก็มองเขาไม่วางตาราวลุ้นคำพูดต่อไป
แท้จริงหล่อนก็รู้สึกเหมือนกันว่าภูตะวันไม่ใช่คนที่มาดึงตนเองขึ้นจากน้ำ แต่เพราะคนแรกที่เห็นหลังลืมตาตื่นเป็นพี่ชายคนนั้น จึงปักใจเชื่อเรื่อยมาก กระทั่งเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่ความฝันมันเหมือนจริงมาก
และคนที่เข้ามาช่วยคือคีรินทร์...
แต่จะเป็นอย่างนั้นได้ไง ในเมื่อเขาเกลียดเธอจะตาย
“ช่างมันเถอะ” ว่าแล้วก็ปล่อยร่างบางเป็นอิสระ ค่อยเดินกลับเตียงล้มตัวลงนอน ดึงผ้ามาคลุมร่างกายแล้วหลับตาลง ปัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไปจากสมอง
คนที่ช่วยเธอคือฉันต่างหาก ไม่ใช่พี่ตะวันสักหน่อย ยัยบื้อเอ๊ย!