๕ ขอร้อง (๑)
๕
ขอร้อง
“แม่มาได้ยังไง” บุลลาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหามารดาของตนเอง ประคองท่านมานั่งยังโซฟาโดยที่ลูกเขยลุกให้คนสูงวัยนั่ง ขณะที่ดวงตาคมก็จับจ้องหญิงสาวรุ่นลูกพลางครุ่นคิด อมยิ้มมุมปากเมื่อแผนหลั่งไหลเข้ามาโดยไม่ปรึกษาภรรยาก่อนเลย
มธุรดาจำต้องมากับคุณยายทั้งที่ใจจริงไม่อยากมาเยี่ยมคีรินทร์สักนิด ดีที่วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์และเธอไม่ได้เข้าเวรจึงว่างพาท่านมาตรวจร่างกายตามที่หมอกำหนด คุณยายเป็นโรคความดันและเบาหวาน ช่วงนี้บ่นหน้ามืดบ่อยครั้งแต่ก็ไม่กล้าบอกลูกสาว กลัวจะไม่ได้ทำอาหารให้คนอื่นกินแล้วต้องกลับไปนั่งๆ นอนๆ ที่ไร่
“มาตรวจร่างกายเหมือนเดิมนั่นแหละ พอดีเห็นสกลเลยถามไถ่พอรู้ว่าพ่อคีได้รับบาดเจ็บแม่ก็รีบมาเยี่ยม ดูสิยายังไม่ได้ไปเอาเลย” ลืมเสียสนิทเพราะมัวแต่ห่วงหลานชายคนเล็ก
“เดี๋ยวหนูไปเอาให้นะคะ” คุณครูคนเก่งเอ่ยขึ้น และรีบผละจากห้องพักฟื้นทันที โดยมีพณณกรมองตามแล้วขอตัวบ้าง
“เดี๋ยวผมไปคุยกับหมอก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็เดินไปเปิดประตูไม่รอคำอนุญาต คนเป็นภรรยามองตามรู้ทันทีว่าสามีวางแผนอะไรเอาไว้ แต่ตอนนี้ห่วงมารดาของตนเอง ไหนจะพ่อลูกชายตัวดีที่ไปมีเรื่องมีราวไม่เว้นแต่ละวัน
นี่ขนาดกลับมาอยู่บ้านยังสร้างปัญหาได้ เธอล่ะเชื่อเลยจริงๆ สงสัยเลือดพ่อคงจะแรงน่าดูถึงได้นอนแน่นิ่งแบบนี้
“ว่าแต่พ่อคีดีขึ้นแล้วใช่ไหม ได้ยินครั้งแรกแม่ก็ตกใจเกือบเป็นลมเป็นแล้ง” ลุกขึ้นไปหาหลานชายที่นอนหลับไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาของหมอ สายตาฝ้าฟางค่อยลูบกลุ่มผมหนาอย่างเป็นห่วง
“โธ่พ่อคุณ คงโดนพวกนักเลงมันหาเรื่องสินะ” คนเป็นแม่ไม่กล้าพูดอะไรจึงได้แต่เงียบ เพราะลูกชายตัวเองเป็นคนแกว่งเท้าหาเสี้ยนก่อนน่ะสิมันถึงได้มาตำเท้าซะชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้จะบอกหรือสอนอย่างไรแล้ว ดูเหมือนคีรินทร์จะไม่ฟังเลย
ยิ่งโตยิ่งดื้อ แล้วพอหล่อนสอนไปลูกก็ใช้ไม้อ้อนใส่แม่ถึงได้ใจอ่อนเสมอ จะดุก็ไม่จริงจังเพราะใบหน้าคมยามแย้มยิ้มทั้งเข้ามาโอบกอดอย่างรักใคร่อีก สุดท้ายก็ทำเพียงตักเตือนแล้วปล่อยให้เรียนรู้ชีวิตเอง แล้วเป็นอย่างไร
...ก็มาจบที่โรงพยาบาลแบบนี้ไง
ไม่อยากจะนึกหากลูกไม่ได้เรียนการต่อสู้สภาพจะหนักแค่ไหน คนเป็นแม่ปวดหัวจนคิดอะไรไม่ออก ถ้าตื่นขึ้นมาหล่อนจะตีซ้ำเลยเชียว
“เป็นไงบ้าง มาอยู่ที่นี่ดีไหม” เจ้าของไร่รุ่งอรุณเดินเคียงข้างหลานสาวพลางถามอย่างเป็นมิตร แต่เพราะหน้าที่ดุทำให้มธุรดาเกร็งเล็กน้อย ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็กลัวลุงเอิร์ธ อาจเพราะเขาไม่ค่อยยิ้มแย้มเหมือนลุงธีจึงทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้
ยิ่งตอนนี้อยู่กันสองคน เธอก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้จะคุยอะไรกับท่านดีจึงทำเพียงตอบเท่าที่อีกฝ่ายถาม
“ดีค่ะ ใกล้โรงเรียนแล้วก็ประหยัดค่าที่พักด้วย” เดินไปยังจุดรับยาของโรงพยาบาลเอกชนที่ลูกเขยทำประกันสุขภาพไว้ให้เมื่อสิบปีก่อน อีกทั้งยังอยู่ใกล้บ้านขึ้นรถมาไม่เกินสามสิบนาทีก็ถึงแล้ว จึงพากันมารถแท็กซี่เพราะขับรถยนต์ไม่เป็น หากขับมอเตอร์ไซค์ก็กลัวท่านเป็นลมแดด
“มีแฟนหรือยังล่ะ” ถามขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาหล่อนหันขวับไปมองคนสูงวัย ไม่คิดว่าท่านจะถามคำถามที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเช่นนี้ แต่คุณพณณกรก็จ้องรอฟังคำตอบซึ่งหญิงสาวมีสีหน้าปั้นยาก จะให้ตอบอย่างไรว่าหล่อนแอบชอบลูกชายคนโตของท่านทำให้ไม่มีแฟนมาจนถึงทุกวันนี้
“ไม่มีค่ะ” ตอบเสียงเบา ก่อนที่จะเดินไปหาเภสัชกรเพื่อขอรับยาของนางบานเย็น ไม่เห็นดวงตาคมที่ฉายแววเจ้าเล่ห์
รู้แล้วว่าจะทำอย่างไรให้ลูกชายตัวดีมีพันธะ ถึงมันอาจจะดูเป็นการเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่ถ้าทำให้ลูกชายไม่ต้องอยู่ในเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงก็พร้อมที่จะลอง
ชายหญิงต่างวัยเข้ามาภายในห้องพักของคนเจ็บ ได้ยินเสียงคีรินทร์กำลังอ้อนคนเป็นยายหลังตื่นจากการหลับใหล มธุรดาไม่อยากเข้าไปในห้องเลยแต่ก็จำต้องเดินตามคุณพณณกรเข้าข้างในแล้วปิดประตูลงเสียงเบา พยายามทำตัวให้เป็นเหมือนอากาศไม่ต้องการความสนใจจากชายหนุ่ม
“ไง ซ่าดีนัก” คุณพ่อสุดหล่อเข้าไปทักลูกชายที่ลุกขึ้นนั่งโดยปรับหัวเตียงให้ชันขึ้น ใช้หมอนรองหลังให้นั่งสบาย
“ชิวๆ พ่อ ถ้าไม่หมดแรงก่อนหนูไม่โดนมันตีหรอก บอกเลยว่าห้าคนชิวๆ เข้ามาสิบคนหนูยังชนะ” พูดโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจก่อนจะหันไปเห็นคนที่เดินตามมาทีหลังอย่างคู่กัดของตนเอง
เมื่อกี้แทนตัวเองว่าหนูด้วยสิ ดูหน่อมแน้มขึ้นมาทันทีเลยกู
คิดแล้วก็ต้องเปลี่ยนสรรพนามของตัวเอง แต่ก็ยากเหลือเกินเพราะติดใช้คำว่าหนูกับบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก พยายามเปลี่ยนเป็นผมแล้วก็ใช้ได้ไม่นาน จากนี้คงต้องลองให้ชินปากซะแล้ว เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นลูกแหง่
“ปากดีจริงเชียว ยายรู้แทบจะเป็นลม อย่าไปเที่ยวสำมะเลเทเมาหรือกลับบ้านดึกนักสิลูก ยิ่งดึกมันก็ยิ่งอันตราย” คุณยายบอกหลานชายอย่างเป็นห่วง
“ยายครับ กลับค่ำหรือกลับเร็วมันไม่เกี่ยวเลย ถ้ามันจะมีเรื่องต่อให้กลับสี่โมงเย็นมันก็มีเรื่อง แต่ต่อจากนี้ผมจะพยายามดูแลตัวเองให้ดี ไม่เจ็บไม่ป่วย นี่ใคร นี่คีรินทร์แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผานะครับ ไม่มีเจ็บป่วย” รีบโอ้อวดตนทันทีแต่ก็โดนบิดาขัด
“คิดแบบนี้ตายเร็วหลายคนแล้ว” บุลลาถลึงตาใส่สามี
“พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย” สุดท้ายคนที่เชื่อฟังเมียก็ถอนหายใจแล้วให้คนอื่นพูด ส่วนตัวเองก็มองบุตรชายที่ยิ้มเยาะเย้ย ถ้าไม่ติดว่านอนเจ็บจะโบกเข้าให้สักทีเน้นๆ
“ตายแล้ว ต้องรีบไปส่งขนม นี่กี่โมงแล้ว” มองนาฬิกาที่ข้อมือของตนเอง พลางกระวีกระวาดบอกสามี
“ไปเร็วพี่เอิร์ธ เดี๋ยวส่งขนมลูกค้าช้า แม่กลับพร้อมบัวเลยนะให้คนิ้งอยู่เฝ้าคี” จัดการเองเสร็จสรรพทำเอาคนที่ถูกไหว้วานทำตาโต คิดไม่ถึงว่าจะถูกบังคับให้เฝ้าคนเจ็บ
ไม่ถามความเห็นเธอสักคำเลยเหรอ มธุรดาอยากปฏิเสธพยายามคิดข้ออ้างแต่ก็บอกคุณยายบานเย็นไปแล้วว่าว่าง ถ้าเกิดติดธุระตอนนี้เดี๋ยวคนอื่นก็มองหล่อนเป็นคนไม่มีน้ำใจอีก
“เอ่อ” กำลังจะบอกปัดโดยใช้ข้ออ้างว่าต้องช่วยคุณยายดูแลร้านอาหาร ทว่าคุณพณณกรก็เห็นด้วยกับความคิดภรรยา
“ดีเหมือนกัน ค่อยสบายใจหน่อยที่ลูกชายมีคนดูแล ฝากคีด้วยนะคนิ้ง” จะมาฝากทำไม หล่อนไม่ได้รับฝากสักหน่อย ทำสีหน้าปั้นยากได้แต่มองคนที่เหลือเริ่มบอกลาคนที่นอนบนเตียง แล้วออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็เหลือแค่คุณครูตัวเล็กกับวิศวกรตัวโตอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม บรรยากาศเริ่มอึดอัดเมื่อเขาเอาแต่จ้องใบหน้าของเธอไม่วางตา
“ทำไม อยู่กับฉันมันทำให้เธอจะเป็นจะตายขนาดนั้นเลยเหรอ” เห็นหน้าบอกบุญไม่รับของหล่อนก็เลยถามขึ้น เล่นเอาหญิงสาวรีบปฏิเสธกลัวว่าจะทำให้บรรยากาศยิ่งเครียดกว่าเดิม
“เปล่าค่ะ” บอกปัดก่อนจะเดินมาใกล้ชายหนุ่ม
“อยากกินแอปเปิ้ล” พูดขึ้นพลางจ้องดวงตากลมโต หล่อนหันซ้ายแลขวาไม่เห็นมีผลไม้หรืออาหารสักอย่าง
“แต่ว่ามันไม่มีนิคะ” ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วถามขึ้นราวเอือมระอาคนเฝ้านักหนา
“เธอมีขาหรือเปล่าล่ะ เดินไปซื้อให้หน่อยสิ” ขนาดเจ็บอยู่ยังปากดี
อยากให้โดนชกจนเจ็บปากพูดไม่ได้เหลือเกิน ขณะที่กำลังจะเดินออกไปซื้อตามคำสั่งเพราะขี้เกียจทะเลาะกับเขาก็มีคนเข้ามาเสียก่อน เป็นสกลที่ถือตะกร้าผลไม้และกล่องอาหารเข้ามาวางยังโต๊ะกินข้าวที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้สำหรับญาติผู้ป่วย
“แม่มึงฝากกูซื้อมาให้ แดกเข้าไปซะ อุ้ย สวัสดีครับ” พูดจบก็เพิ่งเห็นหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในห้องด้วย จึงค้อมศีรษะแล้วทักด้วยรอยยิ้มเจื่อน พูดซะหยาบคายเลยเมื่อกี้ น้องจะมองเขาเป็นคนเถื่อนไหมเนี่ย หน้าตาไม่ให้ด้วยสิ...
“นี่คนิ้งเด็กที่ไร่แม่ให้มาเฝ้ากู ขอบใจสำหรับอาหาร” มองดูมีแต่ของโปรดทั้งนั้น
“เออ ถ้ามึงมีคนเฝ้าก็ดีแล้ว กูกลับเลยนะไม่ได้นอนทั้งคืน” ยกมือปิดปากหาว แล้วบอกลาเพื่อนทำเอามธุรดาที่คิดว่าตัวเองจะรอดต้องถอนหายใจเสียงเบาเมื่อประตูปิดลง
และหล่อนต้องอยู่ในถ้ำกับราชสีห์ที่จ้องจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา
“แอปเปิ้ล” สั่งด้วยคำสั้นๆ ซึ่งเธอก็หยิบผลไม้ในตะกร้าที่มีทั้งส้ม แอปเปิ้ล สาลี่ ลำไย องุ่นแดงวางเรียงไว้สวยงามออกมาล้าง
“ส้มด้วย เอาใยมันออกให้หมดนะฉันไม่ชอบ ลำไยคว้านเอาเมล็ดออกด้วยจะได้กินอร่อยหน่อย” เชื่อเถอะว่าคนอย่างคีรินทร์ไม่ได้อยากกินจริงๆ หรอก เขาก็แค่ต้องการแกล้งหล่อนเท่านั้นเอง
“มันเยอะไปนะคะ” พยายามต่อรองแต่เขาก็โวยวายขึ้นมา
“แล้วทำไม จะปล่อยให้ฉันหิวอย่างนั้นเหรอ”
“อาหารก็มี เดี๋ยวฉันจัดใส่จานให้ค่ะ” ทางโรงพยาบาลมีจานช้อนและอุปกรณ์ครัวครบครัน หล่อนจึงอาสาทว่าคนที่นั่งบนเตียงจะไม่อยากรับเท่าไหร่
“ไม่ ฉันอยากกินผลไม้ก่อนอาหาร” มันมีที่ไหนกัน คนส่วนใหญ่เขากินของคาวก่อนของหวานกันทั้งนั้น
“คุณคีต้องกินข้าวก่อนจะได้กินยาค่ะ เดี๋ยวระหว่างนั้นฉันจะปอกผลไม้ไว้รอ” อธิบายให้เขาเข้าใจซึ่งมันเหนื่อยยิ่งกว่าสอนเด็กปอสามซะอีก ในเมื่อคนร่างสูงเอาแต่ใจขนาดนี้
“นิ้ง”
“คะ” อยู่ดีๆ ก็เรียกชื่อหล่อนขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ยซะอย่างนั้น
“เรียกแทนตัวเองว่านิ้งสิ ฉันอย่างนั้นฉันอย่างนี้ ฟังแล้วรำคาญหู” ที่จริงหล่อนเองก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ แต่เพราะไม่สนิทกับคีรินทร์จึงแทนตัวเองว่าฉัน
มันดูห่างเหินดี
“ค่ะ” ในเมื่อเขาต้องการแบบนั้นก็ยอมทำตาม ต่อจากนี้คงต้องแทนตัวเองด้วยชื่อเสียแล้ว พอหญิงสาวรับคำเขาก็ไม่พูดอะไรอีก ทำให้หล่อนต้องหยิบอาหารไปเทใส่จาน วางไว้บนโต๊ะค่อยเลื่อนเอาไปให้ชายหนุ่มรับประทาน
“เห็นแขนฉันไหมว่ามันใส่เฝือกอยู่ ใช้มือข้างเดียวจะถนัดได้ไง” เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างบางกำลังจะผละไปหยิบผลไม้จึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าติดรำคาญ
“แต่ว่าฉัน เอ่อ นิ้งก็ต้องปอกผลไม้ให้คุณนะคะ” เกือบหลุดแทนตัวเองว่าฉันเสียแล้ว เกิดคนฟังอารมณ์เสียแล้วฟาดงวงฟาดงาขึ้นมาเธอแย่แน่
“ก็ป้อนฉันเสร็จค่อยไปปอกไง แค่นี้ต้องให้บอกด้วยเหรอ” อันนั้นเธอคิดเองได้ แต่ไม่อยากป้อนเขาต่างหากเล่า ใบหน้าหวานเริ่มงอง้ำอย่างปิดไม่มิด เล่นเอาคนขี้แกล้งแอบอมยิ้มมีความสุข ยิ่งเห็นหล่อนโกรธหรือโมโหชายหนุ่มก็ยิ่งยิ้มมากกว่าเดิม
ไม่รู้ทำไมชอบแกล้งหญิงสาวนัก อาจเป็นเพราะหมั่นไส้ก็ได้
แม่เขาชมหล่อนไว้เยอะคิดแล้วก็อิจฉา ต้องทำให้มธุรดามีน้ำตาเสมอ ลงท้ายด้วยการที่คีรินทร์ถูกทำโทษ...
หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ แต่คนผิดก็หญิงสาวนั่นแหละ แกล้งนิดหน่อยก็ร้องไห้ อ่อนแอชะมัดเลยเด็กอะไรก็ไม่รู้
“ค่ะ” เดินเข้ามายืนข้างเตียง แล้วตักข้าวต้มให้ชายหนุ่ม เห็นมันยังร้อนจึงเป่าแล้วจ่อไปที่ปากอวบอิ่ม
“อื้ม อร่อย” เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งเห็นว่าเป็นข้าวต้มกุ้งของโปรดยิ่งชอบ
“เอากุ้งเยอะๆ สิ” สั่งคนป้อนซึ่งเธอก็ต้องทำตามความต้องการของเขา ป้อนคนเจ็บที่นั่งอยู่บนเตียงจนอาหารหมดถ้วย แล้วยื่นน้ำพร้อมยาที่พยาบาลนำมาให้คนตัวสูง ดีที่เขากินเองได้ไม่ต้องป้อนยาถึงปากอีกจึงผละเอาชามไปเก็บ แล้วล้างผลไม้ก่อนจะปอกให้เขาได้กิน
วันหยุดที่คิดจะอยู่บ้านหมดไปกับการดูแลคนเจ็บที่ชี้นิ้วสั่งตลอดเวลา ตอนไหนเขาจะหลับสักทีก็ไม่รู้ หล่อนเหนื่อยยิ่งกว่าสอนเด็กติดกันห้าชั่วโมงอีก!
พณณกรและบุลลาส่งนางบานเย็นที่ร้านตามสั่ง เสร็จแล้วจึงตรงกลับบ้านทันที ไม่มีหรอกขนมที่ต้องส่งซึ่งสามีก็รู้ทัน รถแล่นกลับไร่รุ่งอรุณที่อยู่อีกอำเภอ เมื่ออยู่บนรถกันสองคนเขาจึงเกริ่นเรื่องที่คุยกับหล่อนตอนที่อยู่ห้องพักลูกชายด้วยน้ำเสียงเรียบ