๓ เจ้าชู้จนได้เรื่อง (๒)
จะเอาอะไรไปสู้กับชายที่มีเขี้ยวเล็บขนาดนั้น คงโดนเหยียบตายที่ไปยุ่งกับเมียชาวบ้าน แล้วคุณเธอก็เหลือเกิน มีสามีแล้วจะมาชอบพอชายอื่นอีกทำไม อยากยกมือขึ้นเกาศีรษะแต่ยั้งเอาไว้ได้
“เอ่อ เชิญที่ห้องรับแขกของทางคอนโดเลยครับ” ผายมือไปยังห้องรับรองที่คอนโดจัดให้ลูกบ้านสำหรับการพูดคุยงาน ทว่ามือบางกลับคว้าแขนเขาไว้
“มันค่อนข้างเป็นความลับ ขอคุยที่ห้องคุณได้ไหมคะ” รีบส่ายศีรษะทันที
“ห้องผมรกครับ คุยข้างล่างดีกว่า” โน้มน้าวหญิงสาวแล้วค่อยปลดมือหล่อนออก แต่อีกฝ่ายก็มือปลาหมึกเสียเหลือเกินจนเกือบถอนหายใจใส่
“มัน ฮึก ฉันกลัวคนอื่นรู้ คือฉัน” ค่อยเปิดแขนเสื้อขึ้นจนเห็นรอยช้ำ น้ำตาไหลออกมาเป็นทางจนเธอต้องรีบเช็ดออก เห็นดังนั้นเขาเลยคิดหนักกว่าเดิม
จะพาขึ้นไปดีไหม กลัวเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก กระทั่งถอนหายใจแล้วพยักหน้าจำยอม ต้องพยายามระวังตัวเองทุกทาง ลัดดาวัลย์ไม่ใช่เล่นหากพลาดขึ้นมาซวยแน่!
“เชิญครับ” สุดท้ายก็พาเธอมายังห้องของตนเอง ไม่เห็นใบหน้าหวานที่เคยร้องไห้บัดนี้แย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วแสร้งเช็ดน้ำตาออก หล่อนเล่นละครได้เก่งยิ่งกว่าดาราบางคนเสียอีก น่าจะไปเอาดีทางด้านการแสดงมากกว่าจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ออกจากลิฟต์ก็ตรงไปยังห้องพักของคีรินทร์ เขาใช้นิ้วแสกนพร้อมกดรหัสเพื่อป้องกันอีกชั้น เปิดประตูให้หญิงสาวเข้าไปแล้วค่อยปิดลงโดยประตูล็อคอัตโนมัติ ถอนหายใจพลางมองแผ่นหลังของร่างบางที่เดินไปนั่งโซฟารับแขก
ร่างสูงเลี่ยงไปยังห้องครับ รินน้ำใส่แก้วมาวางไว้ตรงหน้าหล่อน ค่อยนั่งลงตรงข้ามพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้กระหาย จ้องใบหน้าหวานที่ก้มมองตักตนเอง หล่อนค่อยเอื้อมมือมาหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ แล้วถือไว้ที่หน้าตัก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” อยากพักผ่อนเต็มทีจึงเปิดประเด็น คุณลัดดาวัลย์เริ่มร้องไห้อีกครั้งจนตัวสั่น ทำเอาเจ้าของห้องทำตัวไม่ถูก ลุกขึ้นไปหวังจะหยิบกระดาษทิชชู่ให้เธอเช็ดน้ำตาก็ตกใจเพราะเสียงร้อง
“ว้าย” หันมองพบว่าน้ำส้มหกเต็มกระโปรงราคาแพง เขาเบิกตากว้างเล็กน้อยรีบยื่นกระดาษทิชชู่ให้หล่อน
“เช็ดก่อนครับ”
“ขอโทษนะคะ ฉันซุ่มซ่ามเอง” บอกเสียงสั่นขณะที่คีรินทร์อยากทึ้งศีรษะตัวเองเหลือเกิน ทำไมความซวยมันเกิดขึ้นพร้อมกันได้ขนาดนี้
“เข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำก่อนเถอะครับ” บอกด้วยความหวังดี หล่อนถึงได้เข้าไปในห้องน้ำแล้วล้างคราบน้ำส้มออก ส่วนชายหนุ่มจัดการเช็ดรอยที่เปื้อน ทว่ามีเสียงกริ่งดังหน้าห้องเสียก่อนถึงได้วางมือจากสิ่งที่ทำ
ก้าวไปยังประตูแล้วมองจอภาพที่เชื่อมกับกริ่งทำให้เห็นว่าใครมาหา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันไม่ค่อยคุ้นกับคนมาใหม่เท่าไหร่ แต่เมื่อมีชายมากด้วยวัยก้าวเข้าแทนที่ริมฝีปากก็เผยอกว้างขึ้น หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
นั่นมันสามีของคุณลัดดาวัลย์!
ฉิบหายแล้วไอ้คี!
เหมือนแข้งขาจะอ่อนแรง สมองตื้อไปชั่วขณะ เขาคิดอะไรไม่ออกเลยกระทั่งเสียงกริ่งดังขึ้นรัวจนต้องรีบเปิดไม่อย่างนั้นข้างห้องออกมาด่าแน่
วินาทีที่เผชิญหน้ากับนักธุรกิจใหญ่มาดมาเฟียลำคอก็แห้งผาก ยิ่งดวงตาคมกริบยามจ้องมองเหมือนจะฆ่ากันทั้งเป็น อยากจะร้องไห้เหลือเกินแต่ที่ทำได้คือฉีกยิ้ม อย่าทำตื่นตระหนกเด็ดขาด
“คนของผมรายงานว่าลดาอยู่ที่นี่กับคุณ” ไม่มีการล่วงล้ำเข้ามาภายในห้อง แต่คำถามก็กดดันเสียยิ่งกว่าไปสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนปริญญาโทอีก มือชื้นเหงื่อจนต้องเช็ดกับกางเกงแล้วเอามากุมไว้ด้านหน้า
เขาก็มีคุณปู่ คุณลุงเป็นระดับผู้บริหารทว่าไม่ทำให้รู้สึกกลัวเหมือนคนที่ยืนตรงหน้าสักนิด แล้วจะตอบคำถามอย่างไรดี คิดหนักจนไม่รับรู้ว่าหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำ และชุดที่เธอใส่ก็ชวนเข้าใจผิดเสียเหลือเกิน
“ชุดฉันเปื้อนเลยขอยืมชุดคลุมคุณหน่อย..ท่าน!” นึกว่าเขาคุยกับพนักงานถึงได้เดินมาหา แต่เมื่อมองแขกคนสำคัญเต็มตาทำเอาอ้าปากค้าง พูดไม่ออกขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ มือไม้เย็นเฉียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คีรินทร์ก็มีอาการไม่ต่างกันนัก เหมือนว่าเขาถูกจับได้ที่ลักลอบเล่นชู้ ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงสักนิด! พอจะอธิบายชายสูงวัยก็สั่งเสียงเข้ม
“พาคุณผู้หญิงไปรอที่รถ” สั่งผู้ติดตามเสียงเข้มแล้วจ้องหนุ่มรุ่นลูกไม่วางตา หล่อนเดินเข้าไปเอากระเป๋าแล้วตามชายร่างบึกบึนทั้งสองไปทันที ไม่วายหันมามองวิศวกรหนุ่มเป็นการส่งท้าย สร้างความโกรธให้แก่สามีจนขบกรามแน่น
“มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะครับ เราแค่มาคุยงานกันเท่านั้น แล้วพอดีน้ำส้มหกใส่ชุดเธอ..” จะอธิบายอย่างไรต่อดี เรื่องมันคงง่ายกว่านี้ถ้าลัดดาวัลย์ไม่สวมชุดคลุมที่ชวนเข้าใจผิดแบบนั้น แทบจะทึ้งศีรษะตนเองเสียเดี๋ยวนี้
“ผมเข้าใจ ผมเข้าใจดี อย่าคิดมากเลย” เดินเข้ามาตบบ่าหนาเบาๆ แล้วยกยิ้มมุมปากทั้งที่แววตาเย็นชาจนเขาแทบแข็งเป็นหิน พยายามยิ้มให้คนตรงหน้าแต่มันคงดูตลก จึงได้ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
“เอาไว้เจอกันใหม่นะ” แล้วนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ก็เดินออกไปพร้อมผู้ติดตาม เล่นเอาวิศวกรมากฝีมือทรุดนั่งลงบนพื้น ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์อึดอัดขนาดนี้มาก่อน รีบโกยอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็ว คิดว่าต่อจากนี้ต้องคิดให้ดีเสียแล้ว
ห้ามอยู่กับผู้หญิงของคนอื่นในห้องตามลำพัง ไม่อย่างนั้นภัยอาจถึงตัว!
“พ่อ! มาได้ไง” คีรินทร์ถูกเรียกขึ้นมายังห้องทำงานของประธานบริษัทอย่างคุณกองทัพ ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ทำให้โล่งใจว่าตนเองรอดแล้ว
ทว่าเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่คิด..
เข้ามาภายในห้องทำงานขนาดกว้างก็เห็นบิดาของตนเองกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โซฟายาว ใส่เสื้อยืดธรรมดาทับด้วยยีนส์ตัวเก่งและกางเกงขากระบอก มองเผินๆ ไม่เหมือนเจ้าของไร่ระดับร้อยล้านด้วยซ้ำไป
วิศวกรหนุ่มเข้ามานั่งข้างคุณพณณกรที่วางถ้วยกาแฟลง แล้วหันไปคุยกับเพื่อนสนิทซึ่งพ่วงตำแหน่งญาติฝ่ายพ่อ ไม่ได้สนใจคนเข้ามาใหม่สักนิด ที่ถ่อจากบ้านมาถึงเมืองหลวงก็เพราะลูกตัวดีไปสร้างวีรกรรมเอาไว้
“ตามที่ตกลงกันนั่นแหละ มึงก็เซ็นย้ายได้เลย ไม่ต้องถามความเห็นอะไรมันหรอก” ลูกชายจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น หันไปมองคุณลุงที่เรียกตามศักดิ์ของเครือญาติ
“เดี๋ยวก่อนนะพ่อ ลุงทัพ ย้ายอะไร หมายถึงพ่อจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เหรอ” พอถามจบก็ถูกตบเข้าที่ศีรษะแต่ไม่ค่อยแรงเท่าไหร่
“ย้ายมากรุงเทพฯ เหรอ แกคิดก่อนถามหรือเปล่า ฉันไปอยู่ไร่ตั้งนานจะย้ายกลับมาทำไม” ลูกชายถึงกับไปไม่เป็น นั่นสินะ พ่อไม่ค่อยชอบมาเมืองหลวงด้วยซ้ำบอกว่าวุ่นวาย ส่วนมากก็อยู่ที่ไร่ไม่ออกไปไหน
ถ้าอย่างนั้นท่านหมายถึงอะไร ย้ายอะไรกัน
“คุณโกศลทำเรื่องมาถึงลุง อยากเปลี่ยนวิศวกรที่รับผิดชอบโครงการคอนโดมิเนียม” นึกว่าจะรอดแล้วเชียว
วิศวกรหนุ่มนิ่งค้างไม่พูดอะไรเพราะอยู่ในอาการช็อค เหตุผลที่ถูกถอดออกนั้นชายหนุ่มทราบดีแล้วจึงไม่ได้ถาม เขาคิดว่าท่านเป็นคนมีเมตตา เห็นไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรงอย่างที่กลัว ลืมเสียสนิทว่าเสืออย่างไรก็ยังเป็นเสือวันยังค่ำ ไม่มีทางเปลี่ยนได้
คุณพณณกรมองลูกชายที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์พลางยกยิ้มมุมปาก มีลูกกับเขาสามคนหากมองจากคนนอกคงคิดว่าคีรินทร์บังคับยากสุด ทว่าความจริงลูกคนเล็กต่างหากที่อยู่ในโอวาทมากที่สุด บอกอะไรก็ยอมทำตามเสมอ
“นอกจากนั้น เขายังต้องการให้ลงโทษคีด้วยการไล่ออก” มือหนากำหมัดแน่นหลังได้ยินประโยคนั้น
“ผมไม่ได้ทำผิดอะไรนะลุง แล้วทำไมเขาต้องหาเรื่องกันด้วย เมียเขาให้ท่าผมถึงห้องผมยังไม่ได้ทำอะไรเธอด้วยซ้ำ หึ่ย” คิดแล้วก็เจ็บใจ ถึงจะอยากด่าลัดดาวัลย์แต่ก็ยังเห็นว่าหล่อนเป็นเพศแม่จึงยั้งปากเอาไว้ ความอึดอัดมันแน่นจุกอก
คนเป็นพ่อตบบ่าบุตรชาย เชื่อว่าลูกไม่ได้ทำเพราะสอนเสมอห้ามยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้ว และคีรินทร์ก็ทำตามตลอด ถึงจะเจ้าชู้แต่ก็ไม่เคยเข้าไปแทรกกลางความรักของใคร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ซวยเป็นมือที่สามของผู้ทรงอิทธิพลได้
“ที่จริงลุงก็ไม่ได้กลัวหรอกนะว่าเขาจะทำอะไรเราหรือเปล่า เพราะเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ถ้าเขาฉีกสัญญาทิ้งก็ต้องจ่ายเงินเรา” อธิบายถึงเรื่องโครงการคอนโดมิเนียมที่ชายหนุ่มรับผิดชอบ คราวแรกคิดว่าท่านโกศลจะยกเลิกงานที่ทำไปได้กว่าสามสิบเปอร์เซ็น แต่เพราะในเอกสารระบุชัดเจนถึงการยกเลิกว่าต้องจ่ายเงินให้บริษัทก่อสร้างถึงสองเท่าของเงินจ้าง
จึงหันมาเล่นงานวิศวกรที่บังอาจเล่นชู้กับเมียตนเอง ไม่รู้ว่าคนคู่นี้คุยกันอีท่าไหนเรื่องถึงออกมาว่าคีรินทร์ผิด ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย โกรธจนดวงตาแดงก่ำอยากเข้าไปชกคนรุ่นราวคราวพ่อ
“แต่พ่อของเราอยากให้กลับไปทำงานที่บ้าน ลุงเลยว่าจะย้ายคีไปเป็นวิศวกรอยู่สาขาประจำจังหวัด” ย้ายอย่างนั้นเหรอ!
นี่เขาหูฝาดไปหรือเปล่า ตนเองทำผิดร้ายแรงอะไรถึงขนาดต้องย้ายงานกัน เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ คิดพลางส่ายหน้าไม่ยอมรับ
“ไม่เอานะลุง ถ้าผมอยู่ที่นู้นหน้าที่การงานก็แทบไม่ขยับ ผมอยากอยู่ที่นี่ สร้างตึก สร้างอาคารที่คนรุ่นหลังจะจดจำ ไม่ใช่สร้างแต่บ้านจัดสรรหรือหอพักสี่ห้าชั้น” ตอบเสียงอ้อมแอ้มเมื่อคิดว่าคำพูดของตนเองเป็นการดูถูกงานที่ทำ
เบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเมื่อรับรู้ว่าฝ่ามือของบิดากำลังจะฟาดลงที่กลางกระหม่อม คนมันเสียใจอารมณ์เลยพรั่งพรูมากไปหน่อย
“อยู่ที่ไหนก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ ใครจะรู้เผื่อแกได้สร้างโรงแรมประหลาดที่สุดในบ้านเราจนชื่อเสียงโด่งดัง เพชรอยู่ที่ไหนก็เป็นเพชร ขืนแกอยู่ที่นี่ไม่รู้วันไหนเขาจะมาอุ้มไปฆ่า พ่อเป็นห่วง แม่ก็เป็นห่วง เข้าใจใช่ไหมไอ้หนู” โยกศีรษะบุตรชายที่สูงกว่าอย่างเอ็นดู
ถึงจะโตมากแค่ไหนทว่าในสายตาของพ่อแม่ลูกก็ยังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กอยู่วันยังค่ำ ส่งยิ้มให้ยามมีความสุข ร้องไห้ยามหกล้มลงพื้น คีรินทร์แสดงออกทางความรู้สึกไม่เก็บงำเอาไว้เสมอ จนกลายเป็นที่รักของครอบครัว
“แต่ว่า” ยังอ้อนอยากอยู่ที่นี่ เขาติดแสงสีไปแล้ว ถ้ากลับไปทำงานที่บ้านมีหวังต้องได้อยู่ในไร่แน่
“ผมขออยู่บ้านในเมืองนะ กลับไร่แค่ช่วงที่ว่าง” มันยังมีหน้ามาต่อรอง พณณกรทำหน้าเข้มอย่างไม่ชอบใจ ขณะที่กองทัพแอบอมยิ้มมองสองพ่อลูกซึ่งอยู่ในระหว่างการตกลง
เจ้าของไร่รุ่งอรุณยกแขนขึ้นมาโอบไหล่บุตรชาย พลางบีบจนคนอายุน้อยร้องเสียงหลง “ได้สิลูกชาย ได้หมดนั่นแหละ”
“เจ็บพ่อเจ็บบบบ” โอดครวญแล้วพยายามขยับตัวออกห่างจากบิดา
แก่แล้วยังชอบใช้กำลังกับลูกอีก
“จะกลับบ้านดีๆ ไหม” ถามย้ำอีกครั้งแล้วค่อยคลายแรงที่มือ ใบหน้าคมของคนอ่อนวัยยับยู่ยี่ ไม่อยากตอบสักนิด หันไปมองคุณลุงท่านก็ทำเพียงส่งยิ้มให้เล็กน้อย ท่าทางแบบนี้คงพึ่งไม่ได้แน่เลย พ่อเขาคงมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ
“หนูตอบว่าไม่กลับได้เหรอ” ว่าเสียงอ่อนแล้วเรียกแทนตัวเองด้วยสรรพนามแสนน่ารักไม่เข้ากับตัวขนาดใหญ่
“ไม่ได้ไง” ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วค่อยบอกอย่างจำยอม มันไม่ได้มาจากความเต็มใจเพราะหากให้เลือกก็จะขออยู่เมืองหลวงต่อไป
“กลับก็ได้” สุดท้ายเขาก็เลือกจะกลับไปทำงานวิศวกรที่บ้านเกิด ตามความต้องการของครอบครัวและเพื่อไม่ให้บริษัทได้รับผลกระทบเพราะตัวเอง
ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้เริ่มเรื่องพวกนี้!