๒ หมากับแมว (๒)
“ขวดนี้ราคาเป็นแสน เธอมีปัญญาซื้อคืนไหมล่ะ” พูดจบก็อยากตบปากตัวเองที่พูดเหมือนดูถูกอีกฝ่าย อยากขอโทษแต่ปากก็แข็งเหลือเกิน
“ฉันคงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นหรอกค่ะ” ตอบกลับเสียงแผ่ว ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา ทำให้เขาเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากมือเล็ก
“ถ้าคุณไม่ให้รับผิดชอบอะไร ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เจ็บแผลทั้งยังเจ็บที่ใจจนเลี่ยงเดินหนีไปอีกทาง ทว่าร่างสูงกลับคว้าแขนเรียวเอาไว้ทันที ใบหน้าคมเคร่งขรึมค่อยจูงกึ่งลากหล่อนเข้าไปภายในบ้านหลังเล็กที่อยู่ท้ายสุดของตนเอง
หล่อนตกใจไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ ทั้งไม่เข้าใจว่าคีรินทร์ให้เข้ามาในนี้ทำไม เพิ่งเคยเหยียบย่างเข้าห้องชายหนุ่มเป็นครั้งแรก
“นั่งลง รออยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน” กำชับให้หญิงสาวนั่งรอที่โซฟานั่งเล่นหน้าห้องนอน ก่อนเจ้าของบ้านจะเข้าไปยังประตูฝั่งตรงข้ามที่เธอเองก็ไม่ทราบว่ามันคือห้องอะไร วางตะกร้าไว้บนพื้นก่อนสำรวจรอบบ้านหลังเล็ก
คุณพณณกรสร้างบ้านให้ลูกคนละหลัง มีทั้งของศศินาที่อยู่ถัดจากบ้านใหญ่ ภูตะวันและปิดท้ายด้วยคีรินทร์ หากดูแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะหลังเล็ก เข้ามาภายในบ้านก็เป็นที่นั่งสำหรับแขกหรือเพื่อนของชายหนุ่ม ค่อนข้างกว้างพอสมควร มีจอทีวีใหญ่และเครื่องเล่นเกมวางเอาไว้เป็นระเบียบ ไหนจะตู้เย็นและตู้โชว์ตัวการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชายหนุ่มชอบ
มีประตูสองห้องคาดว่าบานที่อยู่ตรงกับทางเข้าบ้านคงเป็นห้องนอน ส่วนที่เยื้องกันอาจเป็นห้องทำงานหรือเก็บของ และร่างสูงก็ออกมาจากห้องนั้นพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
“มือเป็นแผลไม่รู้หรือไง” มองมือของตนเองที่ถูกกรรไกรเฉี่ยวจนเลือดออก เธอรีบกำมันไว้ราวต้องการซุกซ่อนให้พ้นจากสายตาเขา หนุ่มวิศวกรส่ายหน้าระอากับความดื้อรั้นของหล่อน นอกจากจะซุ่มซ่ามแล้วยังเป็นเด็กดื้ออีก
“เอามือมา” ลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งตรงข้ามหล่อน เพื่อจะได้ทำแผลสะดวก ทว่าหญิงสาวก็ไม่ทำตามคำสั่ง จนได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา
“อย่าดื้อ เดี๋ยวดุนะ” บอกเสียงเข้มขณะที่ใบหน้าหวานเริ่มงอง้ำ เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งยามอยู่กับเขา หากเปรียบภูตะวันเป็นพี่ชายใจดีตามใจทุกอย่าง คีรินทร์ก็คงเป็นพี่ชายขี้แกล้งที่ชอบตบหัวแล้วลูบหลัง
“ไม่ได้ดื้อสักหน่อย” เถียงกลับทันที แต่เมื่อเจอตาคมดุก็เงียบลง จำต้องยื่นมือให้เขา ชายหนุ่มจึงหยิบขวดน้ำแล้วเอาขันรองด้านล่าง ล้างแผลให้สะอาดค่อยเช็ดจนแห้ง นำน้ำเกลือมาทาแล้วเอาแอลฮอล์ชุบสำลีมาล้างรอบแผล “แสบ” ตอนแรกก็คิดว่าคงไม่แสบ เพราะอย่างไรก็ทารอบแผล แต่เอาเข้าจริงมันก็แสบอยู่ดีจึงบอกเขาเสียงแผ่ว จากที่เคยร้องไห้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ลืมเรื่องของภูตะวันเสียด้วยซ้ำ
“ทนไว้ หาผ้ากัดไปก่อนละกัน” ตอบกลับแล้วควานหาเบตาดีน ที่มีอุปกรณ์ทำแผลติดบ้านก็เพราะเมื่อก่อนมีเรื่องชกต่อยเป็นกิจวัตร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหน้าตนเองไปเรียกเท้าคนพวกนั้นได้อย่างไร กลับบ้านมาแต่ละทีมีแผลจนหมดหล่อ
“คุณคีก็เบามือหน่อยสิคะ” เถียงเขากลับทั้งที่หากเป็นยามปกติคงไม่กล้า
“โทษที แต่ฉันมือหนัก” ยกยิ้มมุมปากแล้วทาเบตาดีนให้หล่อน ดีที่แผลไม่ได้ลึกมาก สงสัยกรรไกรไม่คมทำให้โล่งอกว่าตนเองไม่ใช่สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้
“คราวหน้าเดินก็ระวัง ดูทางบ้างไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาหาเศษเหรียญอย่างเดียว” ได้ทีก็สอนหญิงสาวเสียเลย ที่จริงเขาก็รีบด้วยแหละไม่ได้ดูว่ามีคนเดินมาเพราะอยากเอาเหล้าไปอวดพ่อ สุดท้ายเลยเกือบเสียเหล้าราคาแพงทั้งที่ยังไม่ได้ชิมสักหยด
“ค่ะ” ความเงียบเข้าโอบล้อม ก่อนที่ร่างสูงจะลอบมองใบหน้าที่ตนเองคิดว่าธรรมดาจนแทบกลืนไปกับคนโดยรอบ
“เรื่องที่ฉันทำเธอร้องไห้ ขอโทษนะ” พูดทั้งที่ไม่ได้มองตาหล่อน ก้มทำแผลอย่างขะมักเขม้นทำเอาร่างบางยกยิ้มรู้ว่าเขาเขิน ใบหูสีเนื้อแดงก่ำทำเอาหล่อนเอ็นดูคนอายุมากกว่า
แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดที่ว่าเป็นต้นเหตุให้เธอร้องไห้ มันอาจจะถูกแค่ครึ่งหนึ่งที่คีรินทร์กระตุ้นน้ำตาให้ออกมาเร็วกว่าเดิม ทว่าคนที่ทำให้เธอเสียน้ำตาไม่ใช่เขาหรอก เป็นผู้ชายอีกคนที่เห็นตนเป็นแค่น้องสาวต่างหาก
“ไม่เป็นไรค่ะ” ตอบกลับเสียงเบาพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาคนที่เงยหน้ามามองชะงักไปชั่วครู่ หญิงสาวก้มดูแผลของตนเองที่กำลังถูกปฐมพยาบาล
มธุรดาไม่ใช่คนสวยเตะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แต่หากพิศไปเรื่อยๆ กลับพบเสน่ห์อย่างน่าประหลาด อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาไม่อาจละสายตาจากหล่อนได้เลยทั้งที่ดวงตากลมโตเอาแต่จ้องที่แผลของตนเอง ก่อนจะเงยมาสบตาเขาทำเอาคนแอบมองต้องกระแอมแล้วรีบหลบ
“พลาสเตอร์อยู่ไหนเนี่ย ทำไมหาไม่เจอ หายไปไหนวะ” ควานหาพลาสเตอร์ติดแผลในกล่องแต่กลับไม่เจอจึงโวยวาย ที่จริงก็แค่ทำเป็นเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนอาการมวนท้องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
“อยู่นี่ไงคะ” ชี้ให้เขาเห็นว่ามันอยู่ขอบกล่อง เจ้าของบ้านถึงได้หยิบออกมาแปะที่แผล
“เสร็จแล้ว คราวหน้าก็ระวังหน่อย” รีบลุกขึ้นแล้วเดินเอาอุปกรณ์ไปเก็บปล่อยหญิงสาวไว้คนเดียว ภายในห้องทำงานของคีรินทร์เต็มไปด้วยหนังสือทางการวิศวกรรมศาสตร์โยธา และหนังสือเรียนวางเป็นชั้น ทั้งคอมพิวเตอร์และตัวต่อเลโก้ งานอดิเรกของเขาตอนเป็นเด็กคือเล่นเลโก้สร้างตึก
อยากเห็นสถาปัตยกรรมที่ตนเองสร้าง ถึงตัวจะตายไปแต่งานที่ทำไว้ยังคงอยู่ให้ลูกหลานได้นึกถึง ชายหนุ่มจึงตั้งเป้าจะเป็นวิศวกรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวอย่างดี ไหนจะคุณกองทัพออกค่าเรียนให้หลานชายตั้งแต่ปริญญาตรีจนจบปริญญาเอก แต่เขากลับเรียนถึงปริญญาโท หากไปไกลกว่านี้ได้เป็นบ้าก่อนทำงานแน่
เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอก เห็นหล่อนนั่งอยู่ที่เดิมก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ขอบคุณที่ทำแผลให้นะคะ” ค้อมศีรษะแล้วหยิบตะกร้าจะเดินออกจากบ้านหลังเล็ก
“จะไปไหนน่ะ” ไม่รู้ทำไมถึงเรียกไว้ แต่เขาก็ถามออกไปแล้วจึงได้ยืนรอฟังคำตอบ
“จะไปเก็บดอกไม้ให้ป้าบัวค่ะ” เธอตอบตามซื่อ ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มถามทำไม คีรินทร์พยักหน้าก่อนโบกมือไล่หล่อน
“อือ” ค้อมศีรษะอีกครั้งค่อยเดินออกจากบ้านหลังน้อย ถือตะกร้าสำหรับเก็บดอกไม้ขณะที่ร่างสูงหันไปหยิบขวดเหล้าเดินไปหาบิดา พยายามปัดใบหน้าหวานออกจากความคิด
เขาเนี่ยนะจะหลงชอบผู้หญิงแสนธรรมดาที่ทั้งเฉิ่มและเชยขนาดนั้น ส่ายหน้าทันทียามจ้องแผ่นหลังบางที่เดินห่างออกไป ตัวก็เล็ก หน้าอกหน้าใจก็ไม่ค่อยจะมี ห่างไกลจากไทป์ของนายคีรินทร์เป็นโยชน์
ไม่มีทางชอบแน่นอนถึงจะแอบใจเต้นกับรอยยิ้มของเธอก็ตาม
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในเย็นวันนั้น อาหารทยอยมาเสิร์ฟไม่ขาดโดยผีมือแม่ครัวใหญ่อย่างนุ่มนิ่มและมธุรดา คราแรกบุลลาจะอยู่ช่วยแต่สองแม่ลูกอยากให้นายหญิงของไร่ออกไปนั่งสังสรรค์มากกว่าจึงเสนอตัวเป็นคนจัดการ
ตอนนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาด คุณครูที่เคยจับแต่ปากกาไวท์บอร์ดสอนเด็กน้อยต้องมาทำอาหารให้คนร่วมร้อยกิน ทั้งยังแข่งกับเวลาอีกกระทั่งหม้อสุดท้ายถูกยกไปเสิร์ฟ และคนงานบางส่วนก็เริ่มอิ่มแล้วหล่อนถึงได้ลุกขึ้นนั่งเก้าอี้ พลางทุบหลังตนเองไล่ความเมื่อยล้า
“หิวไหม” มารดาเดินมาถามก่อนจะยื่นไก่ทอดให้ หล่อนรับมาวางไว้บนโต๊ะพลางหยิบข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนกลม หยิบไก่มากินอย่างหิวโหยโดยไม่ตอบคำถามของแม่นุ่มนิ่ม แต่ทำให้เห็นว่าท้องร้องประท้วงมากแค่ไหน
“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวสำลักหรอก” บอกด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นลูกกินเร็วกว่าปกติ คงเพราะหิวมากไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง คิดว่าทำอาหารไม่นานคงเสร็จแต่จำนวนคนที่มากกว่าคาดการทำเอาใช้เวลาเกือบสองทุ่มแม่ครัวถึงได้พัก
“จะออกไปสนุกกับเขาหน่อยไหม” เสียงเพลงดังก้องทำให้นุ่มนิ่มถามลูกสาว คุณครูส่ายหน้าทันที หล่อนไม่ค่อยมีเพื่อนในไร่ ถึงไปก็นั่งเงียบเหงา พี่จันทร์ที่พอจะคุยได้ก็ต้องดูแลลูกสาวคงไม่ค่อยได้สนทนากันเท่าไหร่
“ไม่หรอกแม่ ขออยู่ในครัวดีกว่า แม่ไปกินข้าวกับป้าๆ น้าๆ เถอะ” หล่อนชอบเก็บตัวอยู่บ้านมากกว่าไปสังสรรค์ เสาร์อาทิตย์ถ้าไม่มีงานทำก็กลับมาอยู่บ้าน เป็นตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว จึงทำให้มีเพียงเพื่อนที่คุยเรื่องงานไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย
แม่นุ่มนิ่มออกจากห้องครัวเหลือเพียงลูกสาวคนเดียว เธอนั่งกินข้าวสักพักจึงเก็บของในครัว เก็บกวาดจนสะอาดถึงได้ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พลางถอนหายใจเมื่อเหลือบมองเวลาพบว่าสามทุ่มครึ่งแล้ว ไม่น่าเชื่อจะมาอยู่ตั้งแต่เที่ยงถึงดึก
คงต้องรอแม่กลับบ้านพร้อมกันเนื่องจากมามอเตอร์ไซค์คันเดียวกัน ระหว่างนี้หล่อนจึงเดินไปหลังบ้านหวังเก็บดอกไม้กลับบ้านตามคำอนุญาตของป้าบัว เธอชอบดอกเดซี่ถึงกลิ่นจะไม่หอมชวนดอมดมเช่นกุหลาบแต่ก็แข็งแรงหยัดยืนอยู่ได้แม้น้ำแล้งหรือคนเหยียบย่ำ
แสงไฟส่องทำให้ข้างหลังบ้านสว่าง กำลังจะเดินไปเก็บดอกไม้แต่ก็พบภูตะวันนั่งกับแฟนสาว มองสายธารขนาดเล็กไหลเอื่อยไปตามทาง
“ต่ายรักพี่ตะวันนะคะ” แม้เสียงเพลงหน้าบ้านจะดังแต่ด้านหลังค่อนข้างเป็นส่วนตัวจนหล่อนได้ยินบทสนทนาที่สร้างความปวดร้าวไปถึงขั้วหัวใจ
“จะทำให้พี่หลงไปถึงไหน แค่นี้ก็รักหมดใจแล้ว” ชายหนุ่มกอดแฟนของตนเองแน่น แล้วจุมพิตที่ศีรษะมนอย่างรักใคร่ ใบหน้ามีความสุขจนคนแอบมองกล้ำกลืนก้อนสะอื้น ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นคนทั้งสองจูบกันต่อหน้าต่อตา
หล่อนรีบหันหลังให้ภาพตรงหน้า เบิกตากว้างกว่าเดิมพลันเสียงโดยรอบเงียบสนิท หูหล่อนอื้ออึงไปด้วยเสียงของแมลงตัวเล็ก ตกใจจนแทบยืนไม่อยู่ทั้งเสียใจกับภาพบาดตาตรงหน้า น้ำตาไหลออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว
บ้านของพณณกรห่างจากบ้านพักคนงานเกือบสองกิโลเมตร ทั้งทางเปลี่ยวมีเพียงแสงไฟไม่กี่ดวงติดตามทาง ตัดสินใจกลับบ้านก่อนแม่นุ่มนิ่มโดยไม่ได้บอกท่าน คิดว่าค่อยโทรศัพท์บอกตอนถึงบ้านตนเองแล้ว
“นี่! เธอจะไปไหน” สะดุ้งตัวโยนก่อนจะหันไปมองตามเสียงทุ้มที่ตะโกนถามกลางหอบตัวโยนเพราะวิ่งมาไกล หล่อนเดินห่างจากสถานที่จัดงานมากี่ร้อยเมตรแล้วก็ไม่รู้ แต่โดยรอบมืดสนิทจนเริ่มกลัว เช็ดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว
“คุณคี..” มองร่างสูงที่ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าตนเอง ไม่เข้าใจว่าเขาจะตามมาทำไม
“น้านิ่มให้ฉันมาดู เห็นเธอเดินมาคนเดียว” หยุดยืนตรงหน้าหล่อนแล้วจ้องใบหน้าซึ่งมีคราบน้ำตาเปื้อน บรรยากาศเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของอีกฝ่าย
“เป็นอะไร” ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ตนเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ปกติมักพูดเสียงห้าวติดเย็นชาใส่มธุรดาตลอด ทว่ายามเห็นน้ำตาของหล่อนปฏิกิริยาเขาก็เปลี่ยนไป
“เปล่าค่ะ” เช็ดน้ำตาตนเองออกอย่างรวดเร็ว พลางสูดลมหายใจก่อนยิ้มให้คนตรงหน้า
“ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ ยินดีที่เรียนจบปริญญาโทค่ะ ไม่มีของขวัญจะให้เลย เอ่อ ให้เป็นดอกไม้แทนได้ไหมคะ” ล้วงเข้าไปในกางเกงแล้วหยิบดอกเดซี่ที่แอบเด็ดมาตั้งแต่บ่ายให้ชายหนุ่ม เขาก้มมองของขวัญที่แทบไม่มีราคาค่างวด
ค่อยเอื้อมไปหยิบมาถือไว้ ทั้งที่ใบหน้าเรียบเฉยติดเย็นชาจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ว่าพอใจกับของขวัญหรือไม่ แต่ก็ถือว่าหล่อนให้แล้ว
“ขอบใจ เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง” เธอรีบส่ายศีรษะจะปฏิเสธ อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เขาคว้าแขนเรียวไว้แน่นก่อนพาเดินไปตามทางที่เงียบสงัด ยิ่งเป็นยามค่ำคืนก็น่ากลัวจนแอบขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงอย่างไม่รู้ตัว
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทำเพียงเดินเคียงข้างกันไปโดยที่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยมือจากหญิงสาวแม้แต่วินาทีเดียว