๒ หมากับแมว (๑)
๒
หมากับแมว
คุณครูนิ้งตื่นตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสางมานึ่งข้าว ทำอาหารเช้าให้ยายและมารดาเป็นกิจวัตรประจำวัน ที่ทำจนชินเสียแล้ว ผักที่เหลือจากเมื่อวานว่าจะทำอ่อมปูนาซึ่งซื้อจากตลาดเช้าของไร่ มีคนงานเอามาขายในราคาถูก ส่วนอีกเมนูคือป่นปลาช่อน ปิดท้ายด้วยอบเนื้อแห้งต้องนำมาทุบจนแหลกเพื่อยายจะได้เคี้ยวง่าย
หญิงสาวสวมเสื้อยืดทับด้วยผ้าซิ่นราคาถูก ผมเกล้าเป็นมวยบนศีรษะจะได้ไม่ตกลงไปในอาหาร ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดจึงหันไปมอง พบมารดาเดินเช็ดเหงื่อเข้ามาภายในบ้าน ก่อนจะนั่งหน้าพัดลมแล้วกดเบอร์แรงสุด
“ซื้อของเสร็จแล้วเหรอแม่” แม่นุ่มนิ่มตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเย็นนี้ ตอนแรกนึกว่าจะจัดเล็กๆ ที่ไหนได้ใช้สถานที่ทุ่งหญ้ากว้าง มีทั้งเวทีขนาดกลาง แสดงว่าคงให้คนงานเข้าร่วมยินดีด้วย หรืออาจหาเรื่องสังสรรค์ในหมู่ชายหนุ่ม
“ใช่ เดี๋ยวบ่ายค่อยไปทำกับข้าว” ร่างบางรินน้ำเย็นใส่แก้วค่อยเดินมาวางตรงหน้ามารดา กลับไปทำอาหารเช้าต่อ ขณะที่คนเป็นยายเพิ่งตื่นออกจากมุ้ง ลุกมาล้างหน้าแปรงฟัน หยิบกระติบข้าวขนาดเล็กเดินไปรอใส่บาตรที่หน้าบ้านคนงาน
อยู่ในชนบทเช่นนี้ไม่ได้มีอาหารมากมายให้ซื้อใส่บาตร หลายคนจึงใส่เพียงข้าวเหนียวปั้นสองปั้นเท่านั้น เสียงไก่ขันบอกเวลาเช้าพอดีกับพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า น้ำค้างที่เกาะตามใบไม้เริ่มระเหยขึ้นไปบนชั้นอากาศ
มธุรดานำอาหารที่ทำไว้ใส่ปิ่นโตขนาดสี่ชั้น โดยชั้นล่างคือข้าวเหนียว ต่อมาเป็นป่นปลา อบเนื้อและปิดท้ายด้วยอ่อมปูนา ยกไว้วางบนโต๊ะให้ยายยุภาพรที่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่มารดาอย่างนุ่มนิ่มก็เข้าห้องไปพักผ่อนอีกครั้ง
“ปิ่นโตข้าเสร็จแล้วเหรอ” สวมเสื้อลายดอกแล้วใส่ผ้าถุงทับ ทาแป้งน้ำจนหอมค่อยเดินออกมาหาหลานสาวที่เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
“จ้ะยาย” น่ารักอย่างนี้จะไม่ให้รักได้อย่างไร นางแสนจะภาคภูมิใจในตัวหลานสาว นอกจากงานบ้านงานเรือนที่เก่งไม่มีที่ติแล้ว การศึกษาก็ดี มารยาทแสนงาม จนยายยุภาพรเอาไปอวดคนอื่นบ่อยครั้ง
“พวกเอ็งกินข้าวเลยนะ ข้าจะกินที่วัด” เสาร์อาทิตย์คนรุ่นตายายมักไปรวมตัวกันอยู่วัดในหมู่บ้าน บ้างช่วยทำความสะอาด หรือปรับปรุงทัศนียภาพ แต่ส่วนมากมักเป็นที่พูดคุยของเหล่าผู้หญิงทั้งหลาย ถือเป็นหอกระจายข่าวชั้นดี
คล้อยหลังคนเป็นยายหล่อนก็ตักอาหารมารับประทานเพียงลำพัง มารดาพักผ่อนในห้องบอกจะกินทีหลัง บ้านหลังเล็กจึงมีเพียงความเงียบ ต่างจากบ้านอีกหลังที่เสียงดังแต่เช้าเพราะน้องเล็กลุกขึ้นมาโวยวายหลังได้รับคำสั่งจากประธานบริษัทให้เข้าทำงานวันจันทร์ที่ใกล้จะถึง
“ก็ดีแล้วนิ กลับมาต้องทำงาน จะมัวเอ้อระเหยลอยชายได้ยังไง” บนโต๊ะอาหารที่มีคนในครอบครัวนั่งพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรก หลังจากบุตรชายคนเล็กไปเรียนต่อต่างประเทศด้านวิศวกรรมศาสตร์ตรงตามสาขาที่เรียนช่วงปริญญาตรี
คุณพณณกรหนุ่มหล่อซึ่งเคยเป็นที่กล่าวขานทั่วทั้งไร่ ใบหน้าก็มีริ้วรอยไปตามกาลเวลา ทว่ายังคงความหล่อเอาไว้เช่นเดิม ทั้งถ่ายทอดมาให้ลูกชายทั้งสองที่หน้าตาดีไม่ผิดจากบิดามารดาสักเท่าไหร่ แต่ก็มีคนใช้ความได้เปรียบนี้ด้วยการหว่านเสน่ห์ไปทั่ว
อย่างคีรินทร์...
“โธ่พ่อ ไม่ใช่ว่าหนูจะไม่ทำงานสักหน่อย ขอพักสักเดือนสองเดือนก่อนไม่ได้เหรอ เรียนจบก็ทำงานแล้วปีหนึ่ง พอกลับไทยยังเริ่มงานเร็วอีก หนูต้องการเวลา” ร่างสูงใหญ่แทนตัวเองเสียน่ารักทำเอาพี่สาวแอบหลุดยิ้ม
ศศินามากินข้าวเช้าที่บ้านตามคำเรียกร้องของคนเป็นพ่อ โดยปล่อยให้สามีดูแลลูกน้อยอยู่ที่บ้านซึ่งเปรียบเสมือนเรือนหอของตนเอง หลังแต่งงานได้สองปีก็ท้องลูกสาวที่เป็นดังดวงใจของคนทั้งไร่ เด็กหญิงอรรัมภาหรือน้องอิง คนเป็นตาหลงหลานหนักมากถึงขนาดอุ้มมาเลี้ยงเอง จากที่เคยไม่ชอบหน้าโอบเอื้อก็เปลี่ยนเป็นหลังมือ เรียกได้ว่าเป็นลูกเขยสุดที่รักก็ไม่ผิดนัก
ต้องขอบคุณเด็กน้อยจริงๆ ที่มาสร้างความสดใสให้แก่ครอบครัว
“ลาออกเลยไหมล่ะ” ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็หน้ามุ่ย และก่อนที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจะอึดอัดไปมากกว่านี้บุลลาจึงหันไปถามลูกชายคนโต
“แล้วหนูต่ายจะมาถึงกี่โมงล่ะลูก” ถามถึงว่าที่ลูกสะใภ้คนโตอย่างเกวลิน เดชดำรงกุล ดาราสาวดาวรุ่งในขณะนี้ที่คบหากับภูตะวัน แต่กว่าจะผ่านด่านครอบครัวของฝ่ายหญิงมาได้ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ โหดจนหล่อนอยากให้ลูกเลิกคบไปหลายครั้งหากมันจะมีอุปสรรคขนาดนี้
“น่าจะถึงค่ำๆ เห็นบอกว่ามีถ่ายละครช่วงเช้าด้วยครับ”
“เพื่อนผมชอบคุณต่ายทั้งนั้นเลย ละครเรื่องล่าสุดที่เล่นดังเป็นพลุแตก พี่ต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าปล่อยให้ลงพุงแบบพ่อนะ เดี๋ยวสาวเมิน” ไม่วายหันมาจิกกัดบิดาที่ตอนนี้เริ่มลงพุง เล่นเอาคนโดนกล่าวถึงค้อนใส่บุตรชาย หากไม่ติดที่นั่งห่างกันคงได้มีมะเหงกลงศีรษะสักครั้ง
“แกก็อย่าเจ้าชู้มาก เห็นว่าเมื่อวานพาสาวมาไร่ แต่ไม่ยักพาเข้ามาทำความรู้จัก ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ” ประมุขของบ้านเอ่ยขึ้นบ้าง เล่นเอาหนุ่มน้อยข้าวเกือบติดคอ ไม่คิดว่าข่าวจะแพร่ไปเร็วทั้งที่เมื่อวานเขาไม่ได้เจอใครเลย
นอกจากผู้หญิงคนนั้น!
หรือว่ามธุรดาเอาเรื่องมาบอกพ่อ ขี้ฟ้องเสียเหลือเกิน คิดพลางเค้นเขี้ยวในใจไม่ค่อยชอบหล่อนสักเท่าไหร่ ต่อหน้าทำเป็นอ่อนแอ พูดน้อยให้คนสงสาร แต่ลับหลังเป็นอสรพิษชัดๆ
“ตอนพามาหนูก็ไม่ได้ถามด้วยสิว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร มีพี่น้องกี่คน สงสัยต้องไปค้นในทะเบียนราษฎรซะแล้ว” ถ้าไม่เกรงใจภรรยาต้องไปหยิบช้อนให้ใหม่เขาคงเขวี้ยงใส่ลูกชายที่ลอยหน้าลอยตาตอบแบบกวนประสาทแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะบอกไอ้ทัพให้ใช้งานแกหนักๆ” คาดโทษเอาไว้แต่ลูกชายก็ดูจะไม่กลัวสักนิด เพราะตอนทำงานอยู่อเมริกาก็หนักจนมีเวลานอนแค่วันละสี่ถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น เขาผ่านความยากลำบากมาแล้วคิดว่าคงไม่เจออะไรหนักกว่านั้น
“สองพ่อลูกนี่ยังไง คุยกันอยู่ได้ รีบกินข้าวแล้วแยกย้ายไปทำงาน” คนห้ามทัพคือบุลลาที่ขัดขึ้นกลัวว่าคีรินทร์จะตอบโต้พ่ออีก ทั้งสองเลยรับคำแล้วรับประทานอาหาร บ่งบอกเลยว่าบ้านหลังนี้ใครใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็น...
แม่บัว!
ช่วงเที่ยงคนงานเริ่มมายังบ้านของนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณ ผู้ชายตั้งเวทีและปูเสื่อจัดโต๊ะสำหรับงานช่วงเย็น คราวแรกจะทำเป็นโต๊ะจีนแต่เพราะไม่อยากให้เป็นงานใหญ่ จึงเลือกจะใช้โต๊ะตั้งพื้นขนาดเล็ก และนั่งเสื่อแทนใช้เก้าอี้ ให้บรรยากาศเป็นกันเองมากกว่า
มธุรดาเปลี่ยนจากผ้าซิ่นเป็นกางเกงผ้าขาสามส่วน มาพร้อมมารดาเพื่อช่วยทำอาหารเย็นคืนนี้ เมนูหลากหลายตามความต้องการของบุลลาซึ่งลงมาดูแลเอง เธอเข้าไปไหว้เพื่อนแม่นุ่มนิ่มแล้วเลี่ยงไปล้างผักกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
“เป็นไงบ้างคุณครู นึกว่าจะไม่กลับมาไร่ซะอีก” ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถาม
“พอดีไม่มีเวรเลยได้กลับบ้าน แล้วสร้อยเป็นไงบ้าง สบายดีนะ” ไม่เจอกันนานอีกฝ่ายเหมือนจะอวบขึ้นกว่าเดิม
“สบายดี ยุ่งเหมือนเดิม ยิ่งมีลูกยิ่งยุ่ง ผัวฉันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักอย่าง” จากนั้นก็กลายเป็นนินทาเรื่องสามีให้ฟัง จนเธอไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย ทำเพียงพยักหน้าและยิ้มตอบรับเท่านั้น เพื่อนอายุเท่ากันต่างมีครอบครัวไปหมดแล้ว
แม่กับยายก็ถามบ่อยครั้งเรื่องแฟน แต่เพราะไม่มีถึงได้ตอบตามความจริง ท่านก็พยายามแนะนำคนอื่นให้ทว่าหล่อนบอกปัด ไม่อยากมีคนรักตอนนี้ ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัวเสียก่อน แฟนจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ทำเอาคนอายุเยอะคร้านจะเถียง
“นิ้ง ไปเก็บดอกไม้ที่หลังบ้านให้ป้าหน่อยสิ ว่าจะเอาไปจัดแจกัน” บุลลาเดินเข้ามาหาหลานสาวสุดที่รักก่อนจะไหว้วาน ซึ่งประจวบเหมาะเหลือเกิน หล่อนอยากหาข้ออ้างออกจากกลุ่มสนทนานี้ รีบรับคำแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปรับตะกร้าและกรรไกรจากคุณป้าที่เคารพ
“ค่ะ” ไปยังหลังบ้านที่เปรียบเสมือนสวนดอกไม้ มีทั้งกุหลาบ มะลิ พุดซ้อน ดอกคัทเตอร์ และที่ชอบหล่อนชอบมากที่สุดคือดอกเดซี่ มันเป็นเพียงดอกหญ้าเล็กๆ ที่ขึ้นตามธรรมชาติ มักจะเจออยู่ในแถบยุโรปหรือเมริกา
มันจะมีสีที่แตกต่างกันไป และแต่ละสีจะมีความหมายของตนเอง อย่างสีขาวคือความบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ส่วนสีแดงที่ป้าบัวปลูกนั้นคือ ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว...
“มาได้ยังไง ไหนบอกจะมาตอนค่ำ” เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้หล่อนต้องหันไปมอง แล้วรีบหลบหลังกำแพงทันทีเมื่อพบภูตะวันยืนคุยกับคนรักของเขา
อย่างคุณเกวลิน
มือเล็กกำตะกร้าเอาไว้แน่น ขณะที่ดวงตาจ้องคนทั้งสองไม่คลาดเคลื่อน หัวใจปวดหนึบที่เห็นความรักจากแววตาของพี่ชายแสนดี ซึ่งหล่อนมอบหัวใจให้เขามานาน ก่อนจะเลื่อนไปมองผู้หญิงเพียบพร้อมเป็นถึงดาราดัง ทั้งฐานะทางบ้านเข้าขั้นมหาเศรษฐีอีก
เหมาะสมกันเหลือเกิน
“เซอร์ไพรส์ค่ะ ไม่คิดว่าพี่ตะวันจะเชื่อด้วยว่าต่ายมีถ่ายละคร หลอกง่ายจังเลย แฟนใครเนี่ย” ร่างบางขยับเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะหันซ้ายแลขวาเมื่อไม่มีคนจึงเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตที่คางสากของชายหนุ่ม เล่นเอาคนแอบมองรีบเสหน้าหลบอย่างรวดเร็ว
เธอเดินหนีจากตรงนั้นทันที ไม่ต้องการเห็นภาพบาดตาบาดใจ แค่มองรุ่นพี่อยู่กับคนรักก็เจ็บจนจุกไปหมด ขาเรียวก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มองทางด้วยซ้ำ ทำให้ไม่รู้ว่ามันคือเส้นทางไปยังบ้านเล็กของหนุ่มวิศวกร และช่างประจวบเหมาะกับตอนที่เขาเดินออกมาจากบ้านของตนเอง ชายหนุ่มถือเหล้าราคาแพงที่ซื้อมาจากนิวยอร์ก ยิ้มกรุ่มกริ่มอยากให้บิดาได้ชิมว่ามันอร่อยมากแค่ไหน
“เฮ้ย/ว้าย” สองเสียงอุทานพร้อมกันก่อนที่ตัวจะกระเด็นไปคนละทาง ชายหนุ่มที่ไม่คาดคิดว่าจะโดนชน เช่นเดียวกับหญิงสาวซึ่งไม่มองทางข้างหน้า เดินด้วยความเร็วและใจเหม่อลอย สุดท้ายขวดเหล้าตกลงบนพื้นกระทบหินจนแตก
ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้น รีบคว้าขวดราคาแพงขึ้นมาพบว่ามันแตกแค่ส่วนคอขวดเท่านั้น ยังเหลือปริมาณกว่าครึ่ง ถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็รีบหันไปมองคนต้นเรื่อง ด้วยแววตาวาวโรจน์ ยิ่งเห็นหญิงสาวที่ชนตนเองก็โมโหเข้าไปใหญ่
“ตามีไว้กั้นหูหรือไงถึงเดินไม่มองทาง คราวหน้าก็หัดเงยหน้าขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ก้มเก็บเศษเหรียญตลอดเวลา มันลำบากคนอื่น” ใส่ไม่ยั้งขณะที่ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นยืน ใบหน้าเหยเกมองมือตนเองที่ถูกกรรไกรเฉือนจนเลือดออก รีบกำไว้ทันทีกลัวร่างสูงเห็น ก่อนเงยหน้ามองคนที่ก้มดูขวดเหล้าเพื่อประเมินความเสียหาย
หกเพียงนิดเดียวค่อยยังชั่วหน่อย อุตส่าห์หอบข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาหวังเลี้ยงฉลองตนเอง ขวดนี้ราคาเฉียดแสนด้วยกรรมวิธีพิถีพิถัน และหาค่อนข้างยาก ต้องให้เพื่อนช่วยถึงได้มาครอบครอง แต่เขาเกือบเสียเงินเปล่าเพราะชนกับผู้หญิงคนนี้
นอกจากจะขี้ฟ้องแล้วยังซุ่มซ่ามอีก ใครได้เป็นเมียซวยตายเลย
“ขอโทษค่ะ” ก้มหน้าพลางผงกศีรษะหลายรอบ ดวงตาแดงก่ำข่มความน้อยใจเอาไว้ เมื่อกี้ก็เจอเรื่องเจ็บปวดจากการเห็นภูตะวันอยู่กับคนรัก พอมาตอนนี้ยังเจอวาจาร้ายกาจของคีรินทร์อีก ชีวิตเธอจะซวยอะไรขนาดนี้
“ขอโทษแล้วน้ำที่หกมันกลับเข้าขวดได้ไหมล่ะ ทีหลังก็หัดดูทางบ้าง เดินเงอะงะน่ารำคาญจริงๆ อ้อ แล้วก็เรื่องเมื่อวานที่เธอไปฟ้องพ่อฉัน อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นให้มาก เอาเรื่องของตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ทั้งที่ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใส จิตใจอ่อนแอจากเหตุการณ์ที่เจอติดกัน ไม่อยากร้องไห้แต่มันก็อดไม่ได้
“ฉันไม่ได้บอกใครเรื่องของคุณคี ส่วนเรื่องวันนี้ขอโทษด้วยที่เดินไม่ดูคุณก่อน ให้ฉันชดใช้ก็ได้นะคะ” เห็นหล่อนตาแดงก็เริ่มไปไม่เป็น แต่ยังปากดีเถียงกลับ