บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 11 บังคับ

สองพ่อลูกจากสกุลขุนนางใหญ่ถูกไล่กลับไปแล้ว ในห้องเดิมคงเหลือเพียงเจิ้งจื่อหมิง ฉู่หวนและกู้เหมย

ฉู่หวนหันมาคำรามใส่กู้เหมยอย่างดุดันข่มขวัญ “ยังไม่รีบขอบพระทัยองค์ชายสี่อีก!”

กู้เหมยไม่กล้าเงยหน้ามองบุรุษสูงศักดิ์ผู้หล่อเหลาแฝงกลิ่นอายมนต์มาร รีบคุกเข่าดังพลั่ก กล่าวอย่างลนลาน “ขอบพระทัยองค์ชายสี่เพคะ”

ท่าทางเจิ้งจื่อหมิงเย็นชาสายตาไร้อารมณ์ “หากเจ้าอยากเป็นฮูหยินน้อยสกุลลู่ตลอดไป จำไว้ อย่าปากมาก!”

“เพคะองค์ชาย หม่อมฉันจะสงบปากจนวันตาย” นางจะไม่บอกใครเด็ดขาดว่าได้เป็นน้องสาวบุญธรรมขององค์ชายสี่แค่วันนี้วันเดียว

สีหน้าเจิ้งจื่อหมิงขรึมสนิท “ไสหัวไป!”

กู้เหมยมีหรือจะช้า รีบลุกขึ้นจากไปทันที เรียกว่าหนีอย่างหัวซุกหัวซุนก็ย่อมได้

ฉู่หวนมองละครฉากใหญ่ของผู้เป็นนายเงียบงัน เรื่องราวเป็นเช่นไรนั้น เขารู้ดีที่สุด เริ่มจากแอบเข้าไปเยี่ยมแม่นางกู้ที่เรือน เสนอเรื่องเป็นน้องสาวบุญธรรมชั่วคราวให้ได้แต่งกับลู่อวิ้น หลังเสร็จสิ้นงานมงคลของหญิงโฉดชายชั่ว ใครบางคนย่อมได้รับอิสระแล้ว...

หีบเงินมีค่ามากกว่าสินสอดตอนสู่ขอถึงห้าเท่าถูกส่งถึงจวนสกุลหลินทันที

ท่ามกลางคำตัดพ้อของเหล่าผู้อาวุโสสกุลหลินที่มีต่อหลินเล่อเจินและเสียงติฉินนินทารวมถึงคำครหาที่ไม่ว่าอย่างไรก็มักทำให้ฝ่ายหญิงเสียหายมากกว่าฝ่ายชายนั้น สามวันต่อมางานมงคลของจวนลู่พลันเกิดขึ้น

ทั้งรวดเร็วรวบรัดห่างจากวันถอนหมั้นกับอีกคนเพียงสามวัน นั่นจึงนับว่าเป็นการตบปากผู้คนได้ชะงัด

ลู่อวิ้นแต่งงานกับหญิงอื่นไปแล้ว...

แม้คำนินทากล่าวหาฝ่ายสตรีที่ถูกถอนหมั้นยังคงอยู่ ทว่าบุรุษตระบัดสัตย์ย่อมถูกตราหน้าไปชั่วชีวิต

ตำหนักพระสนมเหลียนเฟย

“งานเลี้ยงครั้งนี้ลูกห้ามออกไปที่ใดเด็ดขาด ต้องอยู่และต้องช่วยเลือกคู่ให้แม่ได้วางใจลงเสียที หมิงหมิงของแม่อายุไม่น้อยแล้ว แม่เองก็แก่ลงทุกวัน ความโปรดปรานที่ได้รับยิ่งถูกบั่นทอนจากสนมอ่อนเยาว์ซึ่งเข้ามาใหม่ทุกสามปี ตัวลูกเองก็ไม่ค่อยอยู่เมืองหลวง ต้องตรากตรำทำศึกทั่วทิศ เฮ้อ...แม่รู้ดี ฐานะจอมทัพ ลูกแม่ไม่อาจไม่ออกรบ”

เหลียนเฟยยังคงเอ่ยวาจายาวเหยียดอย่างไม่จบสิ้น “แต่ลูกควรมีหลานให้แม่สักหลายคน แตกกิ่งก้านสาขาให้แม่คลายกังวลในบั้นปลายยามแก่เฒ่า หากได้อยู่ท่ามกลางเสียงสดใสของหลานๆ ย่อมเป็นแรงบันดาลใจในการอดทนใช้ชีวิตยืนยาว”

เจิ้งจื่อหมิงเพียงนิ่งฟังไม่ได้ทัดทานอันใดตามวิสัย  ในฐานะองค์ชายสูงศักดิ์เขาอาจเป็นที่เอือมระอาของขุนนาง เพราะทำตัวสูงส่งเอาแต่ใจ มิยอมให้พวกคร่ำครึเอื้อมถึง ในฐานะจอมทัพเขาอาจบ้าบิ่นเพื่อชัยชนะไร้ขีดจำกัด

แต่ในฐานะบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของพระมารดา เขามักอยู่ในโอวาทเสมอ

เนื่องจากชีวิตนับแต่เด็กจนโตของสตรีผู้นี้ไม่เคยง่าย เมื่อเป็นพระสนมแห่งองค์จักรพรรดิยิ่งไม่เคยง่ายอีกเลย

โดยเฉพาะตอนตั้งครรภ์จนให้กำเนิดเขา เลี้ยงดูปกป้องคุ้มครองให้เขาเติบโตปลอดภัยภายในวังหลังที่เหมือนดงอสรพิษยิ่งลำบากยากเข็ญแสนสาหัส

ชายหนุ่มมองริ้วรอยแห่งวัยของพระมารดาเงียบงัน “เสด็จแม่แลดูเหน็ดเหนื่อยอิดโรย นอนไม่ค่อยหลับกระมัง”

เหลียนเฟยยิ้มอย่างคนอ่อนแรง

เกือบปีพระสวามีไม่เคยมาเสด็จมาหาเลยสักครา ชัดเจนแล้วถึงการเสื่อมถอยเสน่หาไม่มีแล้วความโปรดปราน สตรีผู้หนึ่งให้รู้สึกวังเวงว่างเปล่า

“แม่อยากอุ้มหลานสักที”

เจิ้งจื่อหมิงถอนหายใจ

“แต่ข้ายังไม่อยากมีภรรยา”

แม้รู้ว่าบุตรชายไม่เคยขัดใจแต่เหลียนเฟยก็ไม่เคยบีบบังคับ นางรีบเอ่ย “แค่เลือกสตรีที่ถูกใจสักคนเป็นใช้ได้ ให้แม่ช่วยบ่มเพาะ จากนั้นค่อยหมั้น ส่วนเรื่องแต่งงาน แล้วแต่ว่าหมิงหมิงของแม่จะพร้อมเมื่อใด ดีหรือไม่?”

มีมารดาจวนใดใจกว้างดุจแม่น้ำเช่นนี้บ้าง คำตอบคือหายากมาก เจิ้งจื่อหมิงถึงขั้นหมดคำโต้แย้ง

เหลียนเฟยนั้น ภายนอกเป็นพระสนมที่ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชาเจ้าระเบียบและมากแผนการ ท่วงท่ากิริยาเรียบหรูสง่างามดุจนางพญาตลอดเวลา มีเพียงอยู่กับบุตรชายคนนี้ที่เผยด้านหยอกเย้าขี้เล่น

หลังจากเจิ้งจื่อหมิงไม่เอ่ยปากทัดทานอันใด นางจึงเรียกขันทีเข้ามาแล้วสั่งการเสียงเรียบ “ไปนำรายชื่อสตรีที่ร่วมงานเลี้ยงมาให้องค์ชายสี่ดูชม อย่าลืมภาพวาดด้วย นำมาให้ครบทุกคนห้ามตกหล่น”

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีค้อมกายก่อนนำนางกำนัลเดินไปเพื่อทำตามคำสั่งอย่างขันแข็ง

พระนางหันมาสั่งบุตรชายอีกครั้ง “เจ้าไม่ชอบใครก็คัดทิ้งให้หมด เลือกไว้เฉพาะคนที่เข้าตาก็พอ แต่แม่ขอสตรีที่งดงามมองแล้วสบายตาหน่อยนะ นึกว่าเห็นแก่คนรักสวยรักงามแบบแม่ แล้วแม่จะใช้งานเลี้ยงจับตาดูให้ละเอียดอีกที อ้อ...เจ้าต้องอยู่ร่วมงาน ห้ามลุกออกจากที่นั่งเด็ดขาด”

เจิ้งจื่อหมิงยังคงคลึงถ้วยชาด้วยกิริยาสงบทั้งสุขุมเยือกเย็น เขามองมารดานิ่งใช้สายตาแทนคำตอบ

ไม่นาน ทั้งรายนามและภาพวาดของสตรีหลากสกุล ล้วนถูกนำมาวางเรียงจนเต็มโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาว

เจิ้งจื่อหมิงไม่แม้แต่จะชายตาแล แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของมารดาที่ไม่อาจขัดจึงเอ่ยเสียงเนิบช้าอย่างมิใคร่ใส่ใจว่า “ฉู่หวน เจ้าเลือกออกมาสักสี่ห้าคน เอาที่เจ้าชอบแล้วกัน วันหน้า พวกนางอาจต้องส่งต่อให้เจ้าดูแล”

ฉู่หวนจึงเข้าช่วยเลือกอย่างตั้งใจสีหน้าเคร่งเครียด เขาค่อยๆ จมดิ่งในกองกระดาษรายนามและภาพวาด ในขณะที่ผู้เป็นนายเพียงนั่งจิบชาทอดอารมณ์ชื่นชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างพลางคลึงพู่ห้อยเอวขนนกเล่นอย่างเงียบงัน

ใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วยาม ฉู่หวนก็คัดเลือกรายนามของคุณหนูคนงามและภาพวาดออกมาได้สิบแผ่น แน่ชัดว่าที่เลือกไว้เจ้านายคงไม่ได้ใช้ ฉู่หวนจึงม้วนเก็บไว้เอง เพราะทุกนางล้วนเป็นแบบที่เขาชอบทั้งสิ้น งดงามทุกคน ภาพของหญิงอื่นไม่มีใครเทียบได้เลยสักเสี้ยว ปากยังเผลอพูดอย่างชื่นชมไม่หยุด

“พวกนางล้วนสะสวยสะคราญโฉมอย่างยิ่งยวด คุณหนูผู้นี้จิตใจดีงาม คุณหนูผู้นี้สูงส่งเพียบพร้อม อ้อ...คุณหนูผู้นี้เกิดในตระกูลทหาร องอาจสง่างามเยี่ยงวีรสตรี ได้ยินมาว่าฝีมือต่อสู้และยิงธนูไม่แพ้บุรุษเลยทีเดียว ยังมีคุณหนูผู้นี้ เป็นถึงหลานสาวอัครเสนาบดีผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง”

เจิ้งจื่อหมิงมิได้อยากฟัง “ฉู่หวน...”

คนถูกเรียกรีบโผล่หัวออกมาจากกองกระดาษที่สูงและปลิ่วว่อน “พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าลองดูอีกที มีสตรีสกุลหลินหรือไม่?” เขาว่าด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใด

องครักษ์หนุ่มยิ้มกริ่ม รีบพูดแก้ต่างอย่างรู้ใจเจ้านาย

“สตรีที่กระหม่อมเลือกออกคงไม่ต้องตาองค์ชายสี่ คนนี้ก็ผอมเกินไป คนนี้อ้วนเกินไป คนนี้หน้าเชิดไปหน่อย ส่วนคนนี้ประโคมเครื่องประดับเยอะเชียว กลัวไม่มีใครรู้ว่าเป็นบุตรีขุนนาง” โชคดีเหลือเกินที่เลือกไว้ไม่มีสตรีสกุลหลิน พอแยกเสร็จจึงหันมาจมดิ่งกับกระดาษต่อไป หมกมุ่นขั้นสุด ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “องค์ชายสี่ มีพ่ะย่ะค่ะ”

มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างเชื่องช้า เจิ้งจื่อหมิงมั่นใจว่ามารดาไม่มีทางตกหล่นหรือพลาดคุณหนูสักคนไปแน่

แต่...

นางอาจไม่มา!

ชายหนุ่มจึงล้วงสิ่งหนึ่งออกจากอกเสื้อยื่นให้ฉู่หวน

องครักษ์หนุ่มละสายตาจากกระดาษในมือก้มมอง จึงเห็นเป็นหยกพกเนื้อธรรมดาสลักภาพปักษาชิ้นหนึ่ง

เจิ้งจื่อหมิงสั่ง “นำหยกนี้ไปยื่นที่โรงยาเจี้ยนคัง ฝากบอกว่าข้าต้องการความช่วยเหลือ ในงานเลี้ยง...” สักพักเขากำมือเก็บหยกกลับ ลุกขึ้นกล่าวเสียงเข้มขรึม

“ไม่สิ! ข้าไปเองดีกว่า”

“...”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel