บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 10 ใช้อำนาจบาตรใหญ่

ย้อนกลับไปเมื่อวาน ก่อนสกุลลู่จะส่งหีบเงินให้สกุลหลิน

โรงเตี๋ยมยู๋อี้วันนี้เปิดกิจการเพียงชั้นแรกเท่านั้น  ส่วนชั้นสามประกาศว่ากำลังปิดเพื่อปรับปรุงจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดขึ้นไปได้ทั้งสิ้น นอกเสียจากบุคคลที่ถูกเชิญตัว

คนผู้นั้นคือลู่อี้ เสนาบดีกรมคลัง

ใต้เท้าลู่ถูกผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแสดงหยกประจำราชวงศ์พร้อมคำเชิญให้ขึ้นมายังชั้นสาม

ขุนนางใหญ่เช่นเขาจึงต้องเดินขึ้นมาอย่างเลี่ยงมิได้

ขณะเดินไปตามทางระเบียงจากคำเชื้อเชิญนั้น เขาลอบมองทุกห้องที่เดินผ่านอย่างพิจารณา พบว่าไม่มีการซ่อมบำรุงอะไร แล้วปิดโรงเตี๊ยมคืออันใด ครั้นเห็นบุรุษที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้เหนือโถงห้อง หัวคิ้วพลันขมวด

“องค์ชายสี่ เหตุใดถึง...”

เจิ้งจื่อหมิงไม่ตอบคำขุนนางใหญ่ กิริยายังคงสงบ ทั้งสุขุมเยือกเย็น ครู่หนึ่งเพียงโบกมือเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจพลางสั่งเสียงเนิบช้า “พาตัวคนมา”

ทั้งเสี่ยวเอ้อร์และผู้ดูแลโรงเตี๊ยมรีบค้อมกายหันไปจัดการตามคำสั่งทันที

ลู่อี้มององค์ชายสี่อย่างฉงน

คนที่สั่งการพวกนี้ได้มิใช่เจ้าของโรงเตี๊ยมจะเป็นใคร องค์ชายสี่เป็นเจ้าของหรือ? เชื้อพระวงศ์สามารถเปิดกิจการค้าขายได้อย่างไร? กฎหมายต้าเจิ้งบัญญัติไว้ ห้ามขุนนางและราชนิกุลแย่งอาชีพทำกินของประชาชน ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาเปี่ยมอำนาจมากบารมี ทรัพย์สินเงินทองล้นคลัง ไหนเลยควรบังอาจเบียดเบียนชาวประชาด้านค้าขายได้

เจิ้งจื่อหมิงย่อมมองออกถึงความคิดปรามาสของลู่อี้ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาปรากฏรอยยิ้มจางๆ

“โรงเตี๊ยมนี้อดีตทหารปลดประจำการเป็นเจ้าของ อีกฝ่ายช่วยข้าออกรบจนขาขาด กลายเป็นชายพิการ ข้าจึงมอบเงินทุนให้ซื้อกิจการที่นี่ เพื่อเขาจะได้มีอาชีพสุจริต หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ทำไมหรือ? ใต้เท้าลู่คงกำลังคิดว่าข้าใช้อำนาจอยู่เหนือกฎหมายอยู่กระมัง?”

สีหน้าเรียบเฉยแฝงความดุดันเพียงรางๆ แต่กลับเปล่งรัศมีน่าเกรงขามออกมาอย่างเข้มข้นเช่นนี้ทำลู่อี้สะอึก เขารู้สึกคล้ายมองเห็นบารมีที่แผ่ออกมาจากกายอีกฝ่าย ชวนให้คนยอมศิโรราบโดยไม่รู้ตัว กระนั้นเขายังรีบปฏิเสธอย่างไว้ท่าที

“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” อย่างไรเขาก็เป็นถึงขุนนางอาวุโสแห่งราชสำนัก เป็นที่วางพระทัยของฝ่าบาท “ขุนนางเฒ่าเช่นกระหม่อมหูตาพร่าเลือนไม่กระจ่างชัด เห็นองค์ชายสี่ปิดโรงเตี๊ยมนัดแนะกะทันหันจึงเข้าใจผิดไป”

เจิ้งจื่อหมิงยังคงยิ้มเหยียด เอ่ยเสียงเยาะ “ไม่เป็นไร หากใต้เท้าลู่จะคิดว่าข้าชอบใช้อำนาจในทางไม่ชอบก็ย่อมได้ เพราะข้ากำลังทำอยู่ ท่านคิดตำหนิข้าย่อมไม่ผิดนัก”

ลู่อี้ชะงักอีกครา ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ  ครั้นหันไปมองทางประตู จึงเห็นใครบางคนถูกเสี่ยวเอ้อร์กับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมลากเข้ามา

สภาพคนผู้นี้คล้ายได้รับความทรมานแสนสาหัส หน้าตาบวมปูด มีเลือดกบปาก อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างยิ่ง อีกฝ่ายทิ้งตัวปล่อยให้ผู้อื่นลากถูเหมือนสุกรเตรียมถูกเชือด และเมื่อลู่อี้เห็นใบหน้าคนผู้นี้ได้ชัดเจนพลันเบิกตาค้าง

“ลู่อวิ้น!”

“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ข้าจะตายแล้ว” ฟ้องร้องพลางโวยวายด่าทอ “คนพวกนี้รังแกข้า ไร้เหตุผลสิ้นดี! กดขี่ข่มเหง ท่านพ่อสั่งฆ่าพวกมันเลยขอรับ”

“บังอาจ!” ฉู่หวนถีบลู่อวิ้นดังพลั่ก

“อั่ก!” ลู่อวิ่นล้มกระแทกพื้นดังตุบ ตามด้วยฝ่าเท้าเหยียบแผ่นหลังจนใบหน้าของลู่อวิ้นแนบพื้น ปากและจมูกบิดเบี้ยวเหยเก หมดความหล่อเหลาจนสิ้น ลิ้นยังจุกปากจนด่าไม่ออกอีกแม้ครึ่งคำ ชายหนุ่มได้แต่เบิกตามองบิดาอย่างอึ้งงัน เห็นอีกฝ่ายก็ได้แต่มองมาอย่างอึ้งๆ เช่นกัน

ไฉนท่านพ่อไม่ช่วยข้า!

ลู่อี้จะช่วยอะไรได้ เขาเองได้แต่ตกใจทำตัวไม่ถูก นี่มิใช่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของสกุลลู่หรือไร?

ลู่อี้หันกลับมามองเจิ้งจื่อหมิง “ทูลถามองค์ชายสี่ นี่มันเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ บุตรชายกระหม่อม เหตุใด?”

คนถูกถามหัวเราะเหี้ยม “แบบนี้ พอจะเรียกได้ว่าข้ากำลังใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่นได้หรือไม่?”

“ย่อมใช่พ่ะย่ะค่ะ ทรงรังแกบุตรชายของกระหม่อมแบบนี้มิได้” ลู่อี้ยิ่งไม่เข้าใจอะไร

เขารู้ดีว่าองค์ชายผู้นี้บ้าบิ่นชนิดฟ้าไม่เกรงดินไม่กลัว ทั้งยโสเย่อหยิ่งไม่เคยเห็นหัวใคร ทั้งยังชอบตั้งตนเป็นปรปักษ์กับขุนนางเก่าแก่แห่งราชสำนัก

แต่เหตุใดต้องลักพาตัวบุตรชายของเขาที่เป็นถึงทายาทจวนเสนาบดีคลังมาทุบตีตามแต่ใจ

นี่ไยมิใช่จงใจเปิดศึกระหว่างขุนนางหรอกหรือไร?

เจิ้งจื่อหมิงไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายคาใจนาน เขาปรายตาให้ฉู่หวนเปิดม่านมุก อีกฝ่ายรีบหันไปเปิดทันที

ไม่นานสตรีผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินออกมา

ลู่อวิ้นที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงค่อยๆ เงยหน้ามอง ทันใดนั้นเขาพลันเบิกตาโพลงอย่างตกใจด้วยคาดไม่ถึง

“จ่ะ เจ้า...น้องเหมย เจ้ารู้จักกับองค์ชายสี่หรือ?”

กู้เหมยช้อนดวงตาหวานฉ่ำมองชายคนรัก “ใช่”

ลู่อวิ้นกัดฟันกรอด มิน่าเล่า?

นางอยู่เบื้องหลังการรังแกครั้งนี้สินะ!

“อวิ้นเอ๋อร์ นี่มันเรื่องใดกัน?”

ลู่อี้ถามพลางมองสตรีผู้มาใหม่ เขาแน่ใจว่าไม่รู้จัก

นางผู้นี้ร่างบางแลดูน่ารัก ทั้งนุ่มนวลและบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ใบหน้าแต่งแต้มอย่างบรรจงทว่าก็ยังธรรมดาเยี่ยงสามัญชนคนทั่วไป อีกฝ่ายสวมเพียงกระโปรงยาวเรียบๆ กระนั้นกลับงดงามโดดเด่นอย่างมาก

ลู่อี้รู้สึกสังหรณ์ใจลึกๆ “อวิ้นเอ๋อร์ นางเป็นใคร? บอกพ่อมา”

ทว่าลู่อวิ้นได้แต่ละล่ำละลั่กเอ่ยปากพัลวัน

“ข้าขอโทษ ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่รู้มาก่อนว่านางรู้จักกับองค์ชายสี่”

ลู่อี้อยากจะบ้าตาย “ขอโทษอะไร? นางเป็นใคร?”

ฉู่หวนเป็นคนเอ่ยปากแนะนำ “ผู้นี้ แม่นางกู้เหมย สตรีที่คุณชายลู่ลอบคบหาไปมาหาสู่หลายครั้งหลายครา ล่าสุดยังล่วงเกินในโรงเตี๊ยมวันก่อน แต่กลับไม่เคยได้รับความเป็นธรรมขอรับ หวังว่าใต้เท่าลู่จะเห็นแก่องค์ชายสี่”

จังหวะนั้น ลู่อวิ้นพลันถูกปล่อย “โอ้ย! ท่ะ ท่านพ่อ” พลางเดินเข่าเข้าหาบิดา “ข่ะ ข้าผิดไปแล้ว”

ครานี้ลู่อี้พอเข้าใจได้ลางๆ

นางเป็นสตรีขององค์ชายสี่หรือ? ศึกหญิงงามกระมัง แต่เท่านี้ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วยหรือไร? แค่สตรีไร้ค่า!

“องค์ชายสี่ โปรดอย่าถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เขาว่าอย่างผู้อาวุโสสอนเด็กด้วยถือบุรุษเป็นใหญ่ หนุ่มวัยกำดัดเปิดศึกแย่งชิงสาวงามเป็นแค่เรื่องไร้สาระ สามารถรอมชอม

เจิ้งจื่อหมิงเลิกคิ้ว ปรายตามองขุนนางเฒ่าคร่ำครึอย่างดูแคลน เสนาบดีกรมคลังผู้ตงฉินเที่ยงธรรมที่ชอบอ้างแบบแผนไร้สาระยามจัดสรรงบประมาณทางการทหาร  กระทั่งเขาต้องออกเงินในหีบตัวเองตลอดทหารถึงอยู่รอด!

ม่านตาองค์ชายหนุ่มหรี่แคบ เขาแค่นเสียงเย็น“บุตรชายของท่านล่วงเกินน้องสาวบุญธรรมของข้าถึงขั้นเชยชมหลายครั้งแต่ไม่เคยคิดรับผิดชอบมอบฐานะให้ สมควรถือสาหรือไม่?”

คำกล่าวดุดันข่มขวัญ ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยขุมพลังจ้องมองอย่างเยือกเย็นลึกล้ำ ทำเอาคนฟังขนลุกเกรียว

“น่ะ น้องสาวบุญธรรม” เหมือนฟ้าถล่มลงตรงหน้า ความคิดเรื่องแย่งชิงสตรีไร้ค่าถูกปัดทิ้งทันที ลู่อี้เบิกตาโพลงแทบเป็นลม รีบเปลี่ยนท่าทีเฉกคนถือตนเป็นขุนนางอาวุโสเป็นที่ไว้วางพระทัยฮ่องเต้ต่อหน้าองค์ชายตัวน้อย กลายเป็นผู้ต่ำต้อย เขารีบค้อมกายก้มศีรษะให้เจิ้งจื่อหมิงทันที  

“องค์ชายสี่ โปรดระงับโทสะ ขอพระองค์ทรงเมตตาละเว้นโทษลู่อวิ้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ลู่อวิ้นเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ เขารีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่า “องค์ชายสี่ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยรู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

สาวงามกับน้องสาวบุญธรรมของราชนิกุลสูงศักดิ์ ฐานะย่อมต่างกันดั่งฟ้ากับเหว

คนย่อมมิอาจเชยชมแบบทิ้งขว้างได้อีกต่อไป

รอยยิ้มเจิ้งจื่อหมิงราบเรียบทว่าแฝงความร้ายกาจ

“ก็ได้ๆ ในเมื่อพวกเจ้าพ่อลูกไม่รู้มาก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้รู้แล้วคงได้เวลาสมควรทำให้ถูกต้องเสียทีกระมัง หรือว่าข้าควรไปเป็นพยานให้สกุลหลินในจวนว่าการก่อนค่อยไปทูลต่อเสด็จพ่อเพื่อให้พระองค์ทรงพิจารณาถึงชื่อเสียงที่สั่งสมหลายสิบปีของใต้เท้าลู่ดูใหม่ว่าจริงเท็จประการใด”

ลู่อี้ไร้หนทางเลือกแล้ว “มิทราบว่าองค์ชายสี่ต้องการให้กระหม่อมจัดการเรื่องนี้อย่างไร”

น้ำเสียงเจิ้งจื่อหมิงเย็นชาทุ้มเข้มแฝงความเฉียบขาด  “ไม่ต้องทำสิ่งใดมาก แค่ยกเลิกสัญญาหมั้นกับหญิงอื่นแล้วยกเกี้ยวมารับตัวน้องสาวบุญธรรมของข้าเข้าจวนสกุลลู่ซะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel