4
“อาตมาขอมาตั้งต้นผ้าป่านะโยม”
พระภิกษุยิ้มอย่างอารีให้กับหญิงสาวหน้าหวาน ที่ยิ้มแล้วพนมมือไหว้ท่าน ข้างกายของพระรูปนั้นมีชายท่าทางหลุกหลิกยืนอยู่ใกล้ๆ ทั้งสองลอบส่งสัญญาณต่อกัน และก่อนที่จะทันทำอะไรต่อ เสียงดังกรุ๊งกริ๊งที่หน้าร้านก็ดังขึ้นเป็นสัญญานว่ามีแขกเข้ามา ก่อนที่ร่างเพรียวได้รูปของหญิงสาวคนหนึ่งจะเดินก้าวพรวดเข้ามา เธอขมวดคิ้วเลยทีเดียวเมื่อเห็นพวกเขาเข้า
“มาทำอะไรกัน”
ทัตพิชชาท้าวเอวฉับ เธอคุ้นหน้าสองคนนี้อย่างประหลาด นัยน์ตาคมหวานติดดุหรี่ลงทันที ก่อนจะมองกวาดพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อาตมามาขอ...”
“ขอดูบัตรประจำตัวหน่อยสิคะ”
ทัตพิชชาเอ่ยสวนขึ้นมาเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เธอมองก็รู้ว่าเป็นพวกมารศาสนา พวกมันสวมรอยมาทำทีเป็นมาขอตั้งถังผ้าป่า แล้วก็เรี่ยไรเก็บเงิน ทำมาสองสามรอบแล้ว อ้างว่าเอาไปสร้างวิหาร ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมป่านนี้วิหารสร้างไม่เสร็จเสียที
“เอ่อ คือว่า”
“พอดีว่ามีญาติๆ กันเป็นตำรวจ อยากจะไปทำบุญที่วัดหลวงพี่น่ะค่ะ เห็นว่ามาขอตั้งถังสร้างวิหารสามสี่รอบแล้ว นายเค้าเห็นเข้าก็เลยอยากจะช่วยให้มันเสร็จไปเลยทีเดียว”
คำพูดของทัตพิชชาเล่นเอาทั้งสองคนถึงกับมองตากันเลิ่กลั่ก แล้วก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง วิ่งหนีกันออกไปจากร้านกันเอาเสียดื้อๆ เลยทีเดียว หญิงสาวที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มแหยๆ พลางมองเพื่อนรักที่ตะโกนตามหลังคนทั้งคู่เสียงดังลั่น
“ไอ้พวกหากินบนศาสนา บาปกรรมจะกินหัวเอา คอยดูเถอะเจอหน้าอีกทีจะให้ตำรวจจับ”
“เบาๆ ก็ได้น่าทัต ป่านนี้คงจะกลัวกันหัวหด ไม่กล้ามาอีกแล้วล่ะ”
เสียงหวานเอ่ยดังขึ้น ทำให้ทัตพิชชาหันขวับ ไปเล่นงานเพื่อนรักเอาบ้าง
“ปิ่นเองก็ยังไงนะ บอกแล้วว่าพวกนี้มันเป็นแก๊งค์ต้มตุ๋น ยังจะยอมให้พวกมันมาเรี่ยไรอยู่ได้”
ปิ่น หรือ ปิ่นปินัทธ์ยิ้มหวานให้กับเพื่อนรัก แล้วตอบเสียงแผ่ว
“แหม...ก็ให้เค้าตั้งไปเถอะ เราก็ไม่ให้เงินแล้วไงรอบนี้”
“แล้วถ้าลูกค้าของร้านเอาหยอดซองให้มันไปล่ะ”
“ก็ช่างเขาเถอะ”
“เฮ้อ...”
ทัตพิชชาถึงกับกุมขมับ แล้วนั่งแปะลงบนเก้าอี้รูปไข่หน้าเคาน์เตอร์อย่างเหนื่อยใจ ปิ่นปินัทธ์มองอาการของเพื่อนรักแล้วก็เอ่ยเสียงหวานอย่างจะเอาใจ
“เอากาแฟไหมทัต”
“อยากจะทำอะไรก็ทำมาเถอะ ปิ่นนะปิ่น หัดบอกปฏิเสธคนเสียมั่งสิ จะทำตัวเป็นคนดีไปถึงไหนกัน ปิ่นรู้ไหมว่าเราน่ะเป็นห่วงปิ่นมาก ปิ่นไม่ทันคนเอาเสียเลย ยิ้มอย่างเดียว ค่ะอย่างเดียว อยู่ในสังคมแบบนี้ มันจะแย่เอานะปิ่น”
“ไม่เป็นไรน่า เราอยู่ได้”
คำตอบจากเพื่อนรักเล่นเอาทัตพิชชากุมขมับอย่างกลุ้มๆ แล้วมองค้อนเพื่อนสาวที่หันหลังชงกาแฟให้อย่างนึกปลง ที่เข็นยังไงก็ไม่ขึ้นเสียที เรื่องการจะทำให้ปิ่นปินัทธ์หัดทำตัวให้ว่องไว และมีเขี้ยวเล็บเสียบ้าง ไม่ใช่สาวแสนซื่ออย่างที่เป็นอยู่
ปิ่นปินัทธ์ไม่เคยโกรธใครเลยสักหน แม้แต่แฟนเก่าที่หลอกเอาบ้านที่เก็บเงินซื้อด้วยกันไปอยู่กับแฟนใหม่ หญิงสาวก็ไม่โกธร แถมบอกว่าดีเสียอีกที่จะได้ไม่ต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เสียแค่นี้ดีกว่าจะเสียเยอะต่อไปในอนาคต
ทัตพิชชาได้แต่ถอนใจอย่างกลุ้มๆ หมู่นี้มีแต่เรื่องยุ่งมาให้เธอไม่หยุดหย่อนสิน่า เธอกวาดตามองไปรอบๆ ร้านกาแฟของเธอและเพื่อนรัก ที่เป็นหุ้นส่วนกัน แม้ว่าปิ่นปินัทธ์จะไม่ค่อยทันคนอื่นเขา แต่เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีและเป็นคนซื่อสัตย์มาก ร้านของเธอและเพื่อนรักก็ถือว่าทำรายได้ดี ทั้งสองหุ้นกันทำร้านตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้ก็เกือบสิบปีกว่าแล้วสินะ
นับดูแล้วเวลาช่างยาวนานนัก ทัตพิชชาคิดแล้วย่นจมูก เธอแอบมองเงาสะท้อนของตัวเธอที่เห็นได้ชัดจากกระจกที่ตกแต่งไว้ในร้าน หญิงสาวหน้าหวานน่ารัก ตัดผมสั้นระต้นคอ รูปร่างสูงเพรียว สวมเสื้อเชิ้ตสีครีมและกางเกงยีนสีซีด รองเท้าส้นสูงสีดำ หน้าตานั้นดูจิ้มลิ้มรับกันทั้งหน้า ยกเว้นแต่นัยน์ตากลมโตที่ดูแฝงแววดุดันเอาจริงไว้ นั่นคือเธอ ทัตพิชชา บุษราภรณ์ ที่ตอนนี้อายุย่างเข้าสามสิบห้าปีแล้ว เป็นสาวโสดสนิท ไร้ภมรมาไต่ตอม หรือว่าพระพรหมท่านจะตกหล่นรายชื่อของเธอกันนะ ป่านนี้จึงยังไม่มีแม้แต่เงาของหนุ่มในฝันสักคนมากล้ำกลายให้ชีวิตสาวของเธอได้มีชีวิตชีวา
เธอส่ายหน้าน้อยๆ กับความคิดวุ่นวายของตนเอง พลางหัวเราะเบาๆ ไปคิดทำไมหว่าเรื่องมีคู่ ดูท่าวันๆ เธอจะปวดหัวไม่พอสินะ ไหนจะเรื่องของบิดา ที่เจ้าชู้ระดับห้าดาว มีแต่เรื่องสาวๆ มาให้เธอกลุ้มใจได้ไม่หยุดหย่อน เธอไม่อยากได้แม่เลี้ยงคนใหม่เป็นสาวนักศึกษา หรือว่านักร้องที่คาเฟ่ แต่บิดาก็ขยันไปยุ่งกับสาวๆ เหล่านี้เสียเหลือเกิน
ไหนจะน้องชายตัวดี หนุ่มน้อยในวัยเรียนที่กำลังศึกษาในวิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่ง พ่อเจ้าประคุณก็เลือกคบแต่เพื่อนซ่าๆ วันๆ คิดหาแต่เรื่องไปต่อยตีกับสถาบันใกล้เคียง ไหนจะเพื่อนรักของเธอที่ดูช่างเป็นคนดีเสียจนน่าเอาเปรียบ และน่าเป็นห่วงว่าจะถูกใครเขาหลอกอย่างปิ่นปินัทธ์อีกคน
“เฮ้อ...”
ทัตพิชชาเผลอหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด ปนไปด้วยความกลัดกลุ้ม แค่เรื่องที่แบกรับ ไหนจะพ่วงด้วยเรื่องงานเธอก็แทบจะปวดหัวตายอยู่แล้ว สงสัยถ้ามีแฟนเข้าไปอีกอย่าง เธอคงจะเส้นเลือดแตกเอาแน่ๆ
ก็เพศชายน่ะ ช่างร้ายกาจ เห็นแก่ตัว และกะล่อน เรื่องอะไรเธอจะต้องพาชีวิตให้มัวหมอง ด้วยการไปข้องแวะกับพวกเขาด้วยเล่า อยู่แบบนี้ รบรากับบรรดาคนใกล้ชิดแบบนี้ เธอก็แทบจะไม่มีเวลาคิดจะสนใจใครแล้วล่ะ
ใครว่าคานทองไม่น่าอยู่เล่า สำหรับทัตพิชชา มันสุดแสนจะน่าอยู่ น่าเกาะไปตลอดชีวิตเสียเลยจริงๆ ความรักจ๋าจงลอยไปไกลๆ อย่ามาวุ่นวายให้ฉันได้ปวดหัวกับผู้ชายคนไหนอีกเลย สาธุ!