ตอน “หึงหลาน” 3
กังสดาลขยับตัวดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของชายชาย ใบหน้านวลร้อนผ่าวยามได้เอืองลำคอระหงหันใบหน้าไปมองคนตัวสูงใหญ่ที่ยังยืนอุ้มเธอจากทางด้านหลัง พวงแก้มนวลใสสีแดงอมชมพูยิ่งแดงระเรื่อเหมือนลูกตำลึงสุกยามได้ไปชนเข้ากับปลายจมูกเรียวโด่งได้รูปนั่น
“เอามานี่” เปล่งเสียงเข้มอีกครั้งตรงพวงแก้มนุ่ม เรียวจมูกก็กดสูดดมเอากลิ่นหอมจากผิวแก้มนวลอีกสองสามครั้งตอกย้ำอยู่อย่างนั่น ยามเมื่อคนตัวน้อยตกอยู่ในห่วงตะลึงงุนงงกับสัมผัสอันนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความหวาดหวัน มือเรียวใหญ่ก็รีบยื่นเข้าไปทางด้านข้างคว้าเอาถ้วยน้ำผริกที่เจ้าหล่อนถืออยู่มาไว้ในมือ
“อ้ายยย !!…ไอ้น้าเมฆบ้า…คนชอบฉวยโอกาส” ร่างแน่งน้อยดิ้นหลุดออกจากวงแขนของชายหนุ่มได้ เธอกระโดดเหย่งๆ ชี้มือหวังจะด่าเขาอีกแต่ก็ต้องหยุดสงบคำยามได้เห็นแววตาสีเข้มดุดันบอกเป็นนัย ว่า ห้ามด่า
กังสดาลก็รีบยกมือขึ้นใช้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตเช็ดรอยสัมผัสบนพวงแก้ม เช็ดๆ ถูๆ อยู่อย่างนั่นจนเกิดรอยแดงตามพวงแก้ม แต่ความรู้สึกของรอยจมูกมันก็ยังติดหนึบอยู่บนแก้ม จะเป็นเพราะแรงเช็ดหรืองจะเป็นเพราะความเขินอายเธอไม่อาจรู้ได้ ทำไมผิวหน้านวลพาวร้อนแดงระเรื่อจนไปถึงใบหูหน้าอับอายจริง
“เช็ดเข้าไป…คงออกหรอก…รอยนี่ห้ามให้ใครซ้ำเด็ดขาด ไม่งันโดนหนักยิ่งกว่านี้แน่” คุณน้าหวงของยืนอมยิ้มให้กับเรียวปากเรียวบางอมชมพูที่เอาแต่ขยุบขยิบคงจะด่าให้เขาละสิ มันน่าจริงแววตาดวงเข้มเจ้าเล่ห์จ้องมองกลีบปากนั่นอยากจะลิ้มรองชิมดูเหลือเกินว่ามันจะหอมหวานไหมนะ
“บ้า…คนผีทะเล” กังสดาลเปรยเสียงสะบัดงอนๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย ใบหน้านวลอมชมพูนั่นรีบก้มลงหลบสายดวงสีเข้มทันที
“ใครเป็นผีทะเลหรือลูก” นางนวลฉวีเดินออกมาได้ยินเสียงแวดๆ ของลูก ในมือยังถือถาดที่มีแก้วน้ำขวดเบียร์และแก้วนมสด
“แม่คะ?...” กังสดาลหันไปมองหน้ามารดาแล้วก้าวเดินเข้าไปถือถาดในมือมาถือไว้ แล้วเดินตามหลังของนางนวลฉวีไปยังโต๊ะทาข้าว
“นั่นสิครับพี่นวล ผมไม่เคยเห็นนะ คนผีทะเลตัวเป็นแบบไหนนะ” คนเจ้าเห่ล์หันมองหน้าหลานสาว แววตาของคนทั้งสองประสานกัน เมษาได้ทีแกล้งยั่วสาวน้อยด้วยการยักคิ้วลิ่วตาให้
“นั่นสิ...” นางนวลฉวียังยืนอยู่ที่ขอบโต๊ะหันข้างให้กับลูกสาวอมยิ้มเล็กให้กับเด็กสาวเจ้าขี่น้อยใจที่ยังทำหน้างอง้ำ มือเรียวเหี่ยวก็จับเอาน้ำและขวดเบียร์ยื่นให้น้องชาย
“กั้งไม่พูดด้วยแล้ว...” กังสดาลเดินเข้าไปในครัวตรงไปยังตู้กับข้าว แล้วเดินออกมาเดินผ่านคนทั้งสองที่ยังนั่งคุยกันอยู่ห้องทานข้าว
“จะไปไหนนังหนู?” นางนวลฉวีหันมามองลูกสาวที่เดินหน้าง้ำงอออกไปยังห้องโถง
“กั้งจะเอาน้ำผริกไปให้พี่รุตติ์ค่ะ…”
“มันค่ำแล้วนะลูก ไปพรุ่งนี้ดีกว่าไหม” นางนวลฉวีหันหน้ามองลูกที่เดินออกมาจากในครัว มือก็ถือถ้วยน้ำผริกอีกอันไว้ มันช่างสร้างความขุ่นเคืองใจให้ใครอีกคนเหลือเกิน เขาได้แต่นั่งทำน้าเคร่งขรึมบูดบึ่งจองมองคนตัวน้อย
“เดี๋ยวกั้งมานะคะแม่” กังสดาลวิ่งเร็วจี่ มือก็ถือถ้วยน้ำผริกเผ่าที่มารดาเป็นคนทำ กระโดดลงบันไดลงไปยังลานหน้าบ้าน
“นังหนู !!…จะกลับมาตอนไหนแม่จะได้รอ?” นางนวลฉวีร้องถามลูกสาวที่วิ่งเหมือนม้าออกจากตัวบ้าน
“กั้งจะไปส่องแมงจีนูนกับพี่รุตติ์ กั้งกลับดึกนะคะแม่เข้านอนได้เลยค่ะ…”
“ไอ้ลูกคนนี้นี่ ไม่รู้จักโตสักที เอ้าๆ กระโดดเข้าไป” นางนวลฉวีบ่นงึมงำแล้วลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าต่าง แววตาของนางมองร่างของลูกสาวที่วิ่งกระโดดโลดเต้นอยู่ลานหน้าบ้านออกไปยังประตูรั้ง
เมษารวบช้อนและซ้อมเข้าหากัน จุกแน่นตรงช่วงอกขึ้นมาทันที อิ่มไปเลยยามได้ยินเสียงของหลานแก่นแก้วบอกว่าจะเอาน้ำผริกไปให้นายเด็กบ้านั่น ไหนจะกลับดึกๆ เพื่อไปส่องแมงบ้าบออะไรนั่นอีก
“อิ่มแล้วเหรอเมฆ?” นางนวลฉวีเดินเข้ามาหาน้องชายที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป นางได้แต่สงสัยท่าทีของชายหนุ่มที่มีท่างทางต่อลูกสาวของนาง ไม่อยากคิดเลยว่าน้าหลานจะมีใจให้กัน
“ครับ” หยิบขวดเบียร์ยกขึ้นจรดเรียวปากหนาสีน้ำตาลอ่อนกระดกน้ำเมากลืนลงคอเสียงดังเอือกทีเดียวจนหมดกระป๋อง
“ทำไมกินน้อยจัง อาหารนังหนูทำไม่อร่อยเหรอจ๊ะ” นางนวลฉวีมองหน้าน้องชายแล้วก้มลงมองกับข้าวที่เหลืออยู่เยอะมาก ข้าวในจานก็ยุบไปแค่นิดเดียว
“ผมไม่ค่อยหิวครับ” รีบยกกระป๋องเบียรขึ้นจรดเรียวปากดื่มกลื่นน้ำเมาลงคอทีเดียวจนหมดกระป๋องเป็นครั้งที่สอง ทำเพื่อหลบสายตาของพี่สาวที่ชอบจับผิดเขาอยู่เสมอ
“สงสัยฝีมือนังหนูของพี่ทำไม่ถูกปากเมฆแน่” นางนวลฉวีได้แต่ยิ้มให้กับน้องชายที่แสดงอาการแปลกแบบนี้เวลารับรู้ว่ากังสดาลออกไปไหนมาไหนกับชายอื่น นางก็ได้แอบมองและหวังอย่างยิ่งว่าเรื่องมันคงจะไม่เกิดขึ้นแน่ ถึงคนทั้งสองจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่นางก็ไม่อยากให้ชาวบ้านได้มาพูดนินทาว่าร้ายให้คนที่นางรัก…
“พี่นวลไม่ห่วงยัยกั้งมั่งเหรอครับ ไปกับนายรุตติ์สองคนแบบนั้นนะครับ” เสียงเข้มปนประชดเอ่ยถามพี่สาวแบบไม่พอใจ
“คิดมากนะเมฆ นังหนูไม่ได้ไปกับนิรุตติ์แค่สองคนหรอกยังมีเด็กเพื่อนบ้านอีกหลายคน” นางนวลฉวีเปรยเสียงนุ่มนวนยิ้มน้อยให้กับน้องชายที่เจ้ากี่เจ้าการ เขานั่งทำหน้างอเป็นม้าหมากลุก
“ส่องแมงจีนูน ส่องที่ไหนครับ ค่ำๆ มืดๆ น่ากลัวนะครับงูเงี้ยวเยอะแยะในป่า” บ่นกระปิดกระปอยให้พี่สาวที่ไม่คิดห่วงลูกสาวเอาเสียเลย
“ท้ายไร่หลังบ้านเรานี้แหละ” นางนวลฉวียังสาระวนล้างจาน ชำเลืองมองชายหนุ่มที่เดินไปยังตู้เย็น
“ท้ายไร่มีแต่ป่ารกทั้งนั่นมืดก็มืด” คนตัวโตยังไม่ยอมหยุดพูดตำนิพี่สาวที่ยอมปล่อยให้ลูกสาวออกไปค่ำๆ มืดๆ แบบนี้
“เมฆก็…มืดที่ไหนดูสิพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสวางจ้าออก” นางนวลฉวีเก็บทำความสะอาดโต๊ะอาหาร ไม่อยากต่อล้อต่อเถืองกับน้องชาย เลยพาตัวเองออกจากห้องทานข้าว เดินไปยังห้องรับแขกย่อนก้นลงนั่งบนโซฟา มือเรียวอวบอันเหี่ยวย่นจับรีโมทกดหาช่องเลื่อนดูโทรทัศน์ฆ่าเวลารอลูกสาว
“ผมว่าพี่นวลขึ้นไปนอนเถอะครับ” เมษาเดินตามพี่สาวออกมา ย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาฝังตรงข้ามพี่สาว พร้อมทั้งยกกระป๋องเบียรขึ้นดืมน้ำขมๆ ลงคออีกครั้ง
“พี่จะรอนังหนู เมฆขึ้นไปอาบน้ำเถอะ…”
“งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมานั่งเป็นนะครับ…”
“ไปเถอะ อีกสักพักนังหนูคงกลับ” นางนวลฉวีได้แต่แอบชำเลืองสายตามองหน้าน้องชายที่นั่งจิบเบียร ใบหน้าเครงขรึม
“ครับ…” เมษาเงยมองพี่สาวก็ต้องรีบหลบสายตาของนางนวลฉวี แล้วแอบถอนหายใจลึกๆ เข้าออกอยู่หลายครั้ง ไม่อยากแสดงอาการอะไรให้พี่สาวได้รับรู้ความในใจของตัวเอง ไม่อยากให้พี่สาวได้ตราหน้าตัวเองว่ากินบนเรือนขี่ลดบนหลังคา
เมษาลุกขึ้นแบบเบื่อหน่าย อยากจะออกไปตามส่องมองแม่หลานสาวตัวดีเหลือเกิน ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปเขาก็จะเก็บกระป๋องเบียรเปล่าสามสีกระป๋องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขก
“เอาไว้นี้แหละ เดี๋ยวพี่เก็บเอง” นางนวลฉวีชำเลืองมองน้องชาย ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าชายหนุ่มที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่เขาอายุสิบขวบ ทำไมจะไม่รู้ว่าน้องชายของนางคิดอย่างไรกับหลานสาว
“ครับ…” ชายหนุ่มได้แต่รับคำแล้วก้าวเดินไปยังบันไดขึ้นชั้นบน สองจิตจองใจอยากจะออกไปตามหลานสาวที่ไร่มะขามหรือจะขึ้นห้องดี เขาหันไปจ้องมองบานหน้าต่างหลังบ้านมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของต้นมะขามหลายพันต้น แววตาสีเข้มเปร่งประกายแดงก่ำเพราะน้ำเมาหรือความว้าวุ้นในใจของเขากันแน่ยามนึกถึงร่างแน่งน้อยเดินเคียงคู่กับชายอื่นอะไรนั่นไม่อาจรับรู้ ถ้ามันสามารถเป็นแสงสวางส่องทางให้เขามองเห็นร่างบางที่หนีไปส่องแมงจีนูนท้ายไร่ก็ดีสินะ……
