๔.๒ เพราะเธอคือคำตอบ
ปริมานอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาหลายครั้ง มือบางยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองและลูบไล้มันเบาๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทั้งอบอุ่น สะทกสะท้าน ปั่นป่วนและซ่านเสียวไปทั่วร่างยามถูกประทับด้วยริมฝีปากหยักรูป แค่ถูกเขาจูบยังรู้สึกร้อนวูบวาบได้ขนาดนี้แล้วยามที่อยู่ในอารมณ์รักล่ะ มันจะเร่าร้อนสักแค่ไหน
ชั่ววูบหนึ่งหญิงสาวกลับนึกกระหายใคร่รู้ว่าเมื่ออยู่ในอารมณ์พิศวาสผู้ชายหลากหลายอารมณ์อย่างเขาจะเป็นเช่นไร ปริมายอมรับอย่างอายๆ ว่าตัวเองเกิดความปรารถนาในตัวเขาอย่างไม่เคยรู้สึกกับชายใดมาก่อน ความคิดนี้ช่างอันตรายและน่าหวาดเสียวยิ่งนัก เธอกำลังวุ่นวายสับสนกับอารมณ์ตัวเองแต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองอย่างที่สุด ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะใช้รัชภาคย์เป็นสะพานเพื่อเดินกลับไปหาคนรักเก่าแต่ไฉนไปหลงใหลได้ปลื้มกับรสจุมพิตของเขาและเตลิดไปไกลขนาดนี้ มากไปกว่านั้นคือ เมื่อเขาบอกว่ารัก ความรู้สึกอ่อนโยนที่ได้รับจากคำพูดประโยคนั้นแทบจะทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจที่อยากจะทวงถามความรักครั้งเก่าคืนไปเสียตอนนั้น
ทำไมเธอถึงรู้สึกโมโหตอนที่เขาเรียกเพชรลดาอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันคือแผนที่เธอวางไว้แต่สุดท้ายกลับรู้สึกกับมันจริงๆ
...เธอรักเขาอย่างนั้นเหรอ!..
ปริมาถามตัวเอง และตกใจกับคำตอบที่ได้รับ... ในเมื่อรักเขาแล้วเธอจะหยุดทุกอย่างได้ไหม ละทิ้งความหลัง ความเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่กับเขา นี่คือคำถามที่ปริมาถามตัวเองก่อนจะหลับไป
ร้อยเอกการันต์ แก้วกล้าหรือโจ ตำรวจหนุ่มรูปหล่ออนาคตไกลก้าวลงจากรถอย่างกระตือรือร้นก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปบริเวณบ้านของคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอด
ร่างบางที่คุ้นตากำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นม่วงอย่างสนอกสนใจจนไม่รู้ถึงการมาของเขา ทำให้ชายหนุ่มได้มีเวลาเพิ่งพิศดวงหน้าสวยหวานนั้นในระยะใกล้ ‘สวยขึ้นมาก’ นี่คือสิ่งที่การันต์สรุปกับตัวเองในใจหลังจากกวาดตามองอย่างสำรวจเพียงแค่ชั่วอึดใจ
“สวัสดีครับ ปริมคนสวย” เสียงทุ้มลึกกล่าวทักทายขึ้นก่อน ทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ของตัวเองและเงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกชื่อเธออย่างสนิทสนม
“โจ...มาได้ยังไง” ปริมาอุทานอย่างดีใจเมื่อเจอหน้าเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีนับแต่เธอไปเรียนต่อและทำงานในกรุงเทพ ส่วนเขาไปเรียนนายร้อยและประจำการอยู่ที่จังหวัดอื่นทั้งสองคนจึงไม่ได้มีโอกาสพบกันเลย
“โจได้ย้ายกลับมาประจำที่จังหวัดเราแล้วนะ” เขาบอกกับปริมาหลังจากที่นั่งลงยังม้าหินอ่อนเรียบร้อยแล้ว
“ดีใจด้วยนะ”
“แต่ที่โจดีใจมากกว่านั้นคือปริมกลับมาแล้ว”
“ปริมก็ดีใจที่ได้เจอโจ” เธอยิ้มให้เขา “ไม่ได้เจอกันหลายปีเลย” คำพูดนั้นทำเอาการันต์ถอนหายใจ
“นั่นสิ ปริมใจร้ายจังเลยนะ ไม่เคยคิดจะส่งข่าวคราวหาโจเลย” ชายหนุ่มตัดพ้อ
“ก็ปริมไม่รู้นี่จ้ะว่าโจอยู่ไหน”
“แล้วปริมมาคนเดียวหรือว่ามากับใคร” เขาถามต่อแล้วก็กลั้นใจฟังคำตอบ
“มาคนเดียวสิจ๊ะ จะให้ปริมเอาใครมาด้วยล่ะ”
“เฮ้อ...โล่งอก” ร้อยตำรวจเอกหนุ่มแกล้งระบายลมหายใจออกมาแรงๆ
“ก็นึกว่าปริมจะหนีบเอาหนุ่มๆ มาด้วย ไม่งั้นโจอาจจะได้เป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายแทนการเป็นตำรวจน่ะสิ”
“อย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลย อย่านึกว่าปริมไม่รู้นะว่าโจเนื้อหอมแค่ไหน”
“แต่ปริมก็ไม่เคยคิดจะมาตอมหรอกใช่ไหม”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิโจ” หญิงสาวรู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงเศร้าๆ แบบนั้น แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อเธอรักเขาได้แค่เพื่อนเท่านั้นจริงๆ
“อย่ามาทำเสียงสงสารโจแบบนั้นน่าปริม” เขาเป็นฝ่ายหัวเราะก่อน เพราะไม่อยากให้บรรยากาศที่กำลังชื่นมื่นเกิดความตึงเครียดขึ้นมา
“ก็โจน่ะชอบทำให้ปริมรู้สึกผิด”
“ผู้กองหนุ่มรูปหล่ออย่างโจมีสาวๆ เพียบน่า โจไม่สนใจยัยเชยอย่างปริมหรอก” ชายหนุ่มพูดสัพยอก
“จ้า... คุณผู้กองรูปหล่อ อกหักมาอย่ามาร้องคร่ำครวญหายัยเชยก็แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยตอบพร้อมกับย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้
“โจรู้น่าว่าโจเป็นได้แค่เพื่อน” แล้วเขาก็เอื้อมมือมาขยี้หัวเธอเล่นอย่างที่เขาเคยทำเป็นประจำเมื่อครั้งที่ทั้งสองยังเด็กอยู่
ปริมาหัวเราะอย่างสบายใจและโล่งอกที่เห็นเพื่อนรักยิ้มได้ การมาของการันต์ทำให้หญิงสาวดีใจจนลืมไปว่า วันนี้เป็นวันที่รัชภาคย์นัดไว้ว่าจะมาฟังคำตอบจากเธอ
รัชภาคย์ขับรถออกจากบ้านมาแต่เช้าและเมื่อมาถึงก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มมองรถดูรถคันนั้นอย่างแปลกใจเพราะตัวเองมาที่นี่บ่อยครั้งก็ไม่เคยเห็นรถคันนี้เลย เขาไม่เสียเวลาคิดนานเพราะวัตถุประสงค์ที่มาวันนี้ก็เพื่อมาฟังคำตอบจากปริมา
ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ เดินตรงไปหลังบ้านอย่างคุ้นเคยเพราะรู้ว่าปริมาจะชอบนั่งเล่นอยู่แถวๆ นั้น แต่สิ่งที่เห็นวันนี้กลับไม่เหมือนทุกวันเพราะมีชายหนุ่มอีกคนอยู่กับปริมาด้วย ชายหนุ่มยืนมองภาพนั้นอยู่นานและความอดทนของเขาหมดลงเมื่อเห็นการันต์ยกมือขึ้นขยี้ผมของปริมาอย่างสนิทสนม ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบว่ารถคันนั้นคงเป็นรถของผู้ชายคนนี้ และถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นคนที่ปริมาเคยพูดถึงว่าเป็น ‘แฟน’ ของเธอ
ชายหนุ่มเตรียมตัวหันหลังกลับเพราะคิดว่าตัวเองได้คำตอบแล้ว คงไม่จำเป็นต้องให้หญิงสาวตอบคำถามใดๆ อีกในเมื่อภาพมันฟ้องชัดอยู่แบบนั้น
“คุณคะ” ปริมาเรียกเขาไว้เมื่อเห็นด้านหลังเขาไวๆ
หญิงสาวลุกขึ้นและรีบวิ่งตามมา รัชภาคย์ยอมหยุดแต่ไม่ยอมหันมามองหน้าเธอ
“จะกลับแล้วเหรอคะ” หญิงสาวถามเขาเบาๆ
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม” น้ำเสียงนั้นเย็นชาเหินห่าง
“วันนี้คุณไม่ได้มาฟังคำตอบของปริมเหรอคะ”
“ผมว่า... ผมคงรู้คำตอบแล้วล่ะ”
“โดยที่ไม่ต้องถามปริมเลยอย่างนั้นเหรอคะ”
“คงไม่ต้องถามอะไรแล้วล่ะมั้ง” เขาประชด
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณเถอะค่ะ เพราะถ้าคุณไม่อยากฟัง ปริมอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์” ปริมาโกรธขึ้นมาบ้าง ร่างบางทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าบ้าน
“เดี๋ยวสิครับปริม” รัชภาคย์เรียกเธอเอาไว้เมื่อปริมามีท่าทีที่แข็งกร้าวและทำท่าจะไม่ง้อขึ้นมาจริงๆ
“มีอะไรอีกคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเง้างอนระคนน้อยใจ
“ผมขอโทษที่ใช้อารมณ์มากไปหน่อย ผมขอฟังคำตอบของปริมได้ไหม”
“ไม่กลับแล้วเหรอคะ” เธอประชดให้บ้าง
“โธ่ ปริมจ๋า ผมขอโทษจริงๆ ครับ” น้ำเสียงทุ้มพูดอย่างง้องอนและรู้สึกผิด “ก็คนมันหึงจนตาลายนี่ครับ คุณจะให้ผมทำยังไง”
“คนเอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล ” หญิงสาวค่อนขอดและค้อนวงใหญ่
“ต่อไปไม่ทำแล้วครับ ผมจะพยายามใจเย็นแล้วฟังปริมก่อน” เขาออดอ้อนอย่างน่ารักทั้งปากทั้งตา รัชภาคย์คนเดิมกลับมาแล้วและนั่นทำให้ทำให้ปริมายิ้มออก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีอิทธิพลกับความรู้สึกของเธอมากขนาดนี้
“หึ…” หากแต่น้ำเสียงยังงอนเขาอยู่แต่ก็ไม่ได้มากเหมือนตอนแรก
“ปริมจ๋า ตกลงเป็นแฟนกันนะ” เขาเดินมาจับมือเธอไว้พร้อมกับขอคบเป็นแฟนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลึกซึ้งจนคนฟังรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจ
ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของการันต์มาตั้งแต่ต้น ดูเหมือนปริมาจะลืมไปเลยว่ามีเขานั่งอยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าปากจะบอกปริมาว่าคิดกับเธอแค่เพื่อนแล้ว แต่ลึกๆ เขาก็ยังรักปริมาเรื่อยมา ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงไม่รู้สึกเจ็บปวดกับภาพที่เห็น การันต์รู้ตัวทันทีว่าเขาคงจะสูญเสียปริมาให้กับผู้ชายคนนั้นเป็นแน่
“ยังอยากคบกับปริมอยู่เหรอคะ” ปริมาย้อนถาม แล้วรีบหลบสายตาเป็นประกายวาววามที่จ้องมองมาตาแทบไม่กะพริบ
“ปริมกำลังแกล้งผม”
“เปล่าแกล้งค่ะ”
“ตกลงนะครับ”
“แล้วถ้าไม่ตกลง” หญิงสาวแกล้งถามลองเชิง หากแต่มีผลทำให้สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงไปในทันตา และค่อยๆ ปล่อยมือของเธอลง พร้อมกับทอดถอนหายใจอย่างเจ็บปวดเมื่อมองข้ามไหล่ปริมาไปและยังเห็นการันต์นั่งอยู่ที่เดิม ผู้ชายคนนั้นคงเป็นคนที่ปริมารัก เขาคงจะมาช้าไปหรือไม่เขาก็ไม่เคยมีความหมายอะไรเลยในสายตาของเธอ
“ผมขอให้ปริมมีความสุขกับคนที่ปริมรัก” เขาบอกเบาๆ ก่อนเดินไปที่รถและเปิดประตูรถเตรียมจะก้าวขึ้นไปนั่ง หญิงสาวเดินตามมาอีกครั้งและเอ่ยบางประโยคขึ้น
“แต่ถ้าคำตอบของปริมคือตกลงล่ะคะ”
รัชภาคย์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในรถก่อนจะหันกลับมาหาเธอช้าๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับไหล่กลมกลึงทั้งสองข้างเอาไว้และถามอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง
“ว่าไงนะปริม!”
“ตกลงค่ะ” ปริมายืนยันอย่างหนักแน่นทุกถ้อยคำ ร่างหนาจึงรั้งตัวเธอเข้ามากอดไว้อย่างดีใจ
“จริงๆ ใช่ไหม” เขาถามย้ำอีกครั้งเมื่อรวบเธอไว้ในอ้อมแขนแล้ว
“ค่ะ” เธอย้ำพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุขที่เห็นท่าทางดีใจจนลิงโลดของชายหนุ่ม “ปล่อยได้แล้วค่ะอายคนอื่นเขา” หญิงสาวบอกเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกวงแขนแข็งแรงกอดนานเกินไปแล้ว
“ต่อไปห้ามเรียกผมว่าคุณแล้วนะ” เขาสั่ง “ให้เรียกว่าพี่กันต์นะครับคนสวย”
“พี่กันต์เหรอคะ”
“ครับ ถ้าเรียกคุณเมื่อไหร่จะปรับโดยการจูบ” เขาบอกเสร็จสรรพพร้อมกับมองหน้าคนรักอย่างหวานซึ้งจนปริมาแทบจะละลายกับสายตาวาววามคู่นั้น
“ก็ได้ค่ะ...พี่กันต์” หญิงสาวยอมเรียกตามที่เขาขอทำให้ชายหนุ่มยิ้มอย่างถูกใจและมีความสุขในรอบหลายปี
ดาวคืนนี้ดูสดใสสวยงามมากเป็นพิเศษในความรู้สึกของปริมา หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ไกลแสนไกล ดาวเป็นล้านดวงแข่งขันกะพริบแสงประดับท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ให้มืดมิด มีดาวอยู่ดวงหนึ่งที่ทอแสงเด่นกว่าดาวดวงอื่นๆ ถ้าเปรียบดาวดวงนั้นเป็นรัชภาคย์ก็คงไม่ผิดนัก เขาก็เปรียบเสมือนดวงดาวที่เข้ามาประดับหัวใจที่มืดมิดของเธอให้สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยตอนนี้กำลังเรืองรองรุ่งโรจน์ด้วยความสุขที่โอบล้อมเอาไว้ทุกอณูเนื้อ
‘ที่คิดถึง เพราะรักเธอใช่ไหม ที่อ่อนไหว ง่ายดาย หรือเพราะรักเธอจริงๆ ก็ไม่เคยรู้ตัวก็มันยังไม่ชินสับสนวุ่นวายในใจจนหลับไม่ได้จริงๆ’
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ปริมาเลือกเพลงนี้ให้เป็นทั้งเพลงรอสายและเสียงเรียกเข้า โดยครั้งแรกที่เธอเปลี่ยนก็เพื่อจงใจทำให้รัชภาคย์เข้าใจว่าเธอคิดถึงเขา แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าเธออยากจะสื่อสารให้บุรุษผู้นั้นรู้จริงๆ ว่าเธอคิดถึง...
ปริมายิ้มกับตัวเองก่อนที่นิ้วเรียวจะกดบนปุ่มรับสายและยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูตัวเอง
“คิดถึงครับ…” น้ำเสียงทุ้มทอดผ่านมาตามสายเป็นประโยคแรก
“พี่กันต์หวานอีกแล้วนะคะ” เธอพูดยิ้มๆ แต่ก็รู้สึกพอใจเมื่อได้ยินคำนั้น
“ก็คนมันคิดถึงจริงๆ นี่ครับ”
“บ้าไปแล้ว” ปริมาย่นจมูกใส่โทรศัพท์
“ถ้าจะบ้าก็บ้าแต่รักปริมคนเดียว” เขาบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลงจะแย่อยู่แล้วรู้มั้ย”
“เมาหรือเปล่าคะ”
“เมาครับ” แล้วเขาก็คล้ายจะเงียบไป “แต่ว่าเมารักนะ”
“แหวะ!...เลี่ยน!!” หญิงสาวแหวะใส่ ทั้งๆ ที่ยิ้มจนแก้มปริ
“คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆ ของเขาถามมาตามสายอย่างออดอ้อน
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ อย่างเขินอายและพยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่น
“ค่ะนี่คืออะไรครับคนดี”
“ก็คิดถึงไงคะ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
“ปริมครับ เมื่อไหร่จะถึงวันแต่งงานของเรา”
“จะรีบร้อนไปไหนคะ”
“ก็รีบอยากอยู่กับปริมนี่ครับ อยากกอด อยากจูบ อยากรักปริม”
“คนบ้า” หญิงสาวแหวใส่กับสิ่งที่เขาพูดออกมาตรงๆ ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนนี้คงเห็นว่าแก้มนวลของเธอกลายเป็นสีแดงราวกับลูกตำลึงสุกเพราะขวยเขิน ความวาบหวามแล่นผ่านลงไปยังช่องท้อง รู้สึกเหมือนถูกเขาจูบผ่านโทรศัพท์
“บ้าตรงไหน คนรักกันเขาก็ต้องอยากอยู่ด้วยกัน หรือว่าปริมไม่อยาก…”
“ไม่อยากอะไรคะพูดให้ดีๆ นะ” เธอชิงถามก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคนั้นจบ
“คิดเอาเอง” รัชภาคย์แสร้งพูดให้กำกวม
“นี่!!”
“ฮะๆๆ” เขาหัวเราะร่วนเสียงดังอย่างถูกใจที่ทำให้ปริมาแหวออกมาได้หลายครั้ง
“คนบ้า คนหื่น” ปริมาต่อว่าเขายกใหญ่
“นี่พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ปริมคิดไปถึงไหนเนี่ย”
“ปริมไม่พูดด้วยแล้ว” ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว หญิงสาวเลยพานวางสายไปก่อน
รัชภาคย์ยิ้มอย่างมีความสุข เขาอยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันแต่งงานไวๆ เพราะกลัวตัวเองจะตบะแตกปล้ำเธอเสียก่อนจะถึงวันแต่งงาน มีหวังปริมาได้โกรธเขานานเป็นเดือนๆ แน่
ในขณะที่ปริมาเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างไตร่ตรอง ก่อนจะตัดสินใจปล่อยวางทุกอย่างและทำตามที่หัวใจของตัวเองปรารถนา หญิงสาวแน่ใจแล้วว่าตัวเองรักเขา เธอจะทำร้ายคนที่เธอรักได้อย่างไร ในเมื่อเขาแสนดีและน่ารักขนาดนั้น หญิงสาวจะทิ้งความแค้นไว้ในอดีตและเริ่มต้นใหม่กับรัชภาคย์เสียที เธอจะรักเขาอย่างบริสุทธิ์ใจไม่คิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือใดๆ อีกต่อไป…