๓ ที่คิดถึงเพราะรักเธอใช่ไหม
๓
ที่คิดถึงเพราะรักเธอใช่ไหม
หลังจากที่ปริมาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ห้าวัน หมอเจ้าของไข้ก็อนุญาตให้เธอกลับไปพักที่บ้านได้ โดยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลครั้งนี้รัชภาคย์อาสาเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
หญิงสาวขอให้พ่อและแม่มารับในวันที่หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลโดยที่ไม่ได้บอกรัชภาคย์ให้รู้ก่อน
ชายหนุ่มใจหายไม่น้อยเมื่อมาแล้วไม่เจอเธอเหมือนทุกวัน เขารู้ในทันทีว่าปริมาจงใจหลบหน้า
รัชภาคย์กลับไปทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธินักเพราะจิตใจถูกรบกวนด้วยใบหน้าหวานๆ ของปริมาอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดเขาก็ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นและกดหาชื่อของปริมาที่เขาแอบบันทึกไว้ในเครื่องเมื่อหลายวัน
‘ที่คิดถึง เพราะรักเธอใช่ไหม ที่อ่อนไหว ง่ายดาย หรือเพราะรักเธอจริงๆ ก็ไม่เคยรู้ตัวก็มันยังไม่ชินสับสนวุ่นวายในใจจนหลับไม่ได้จริงๆ’
เสียงเพลงรอสายของปริมาที่ดังขึ้นเมื่อรัชภาคย์กดโทรออกทำให้เขาคลี่ยิ้มออกมาอย่างชอบใจ
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานๆ ของเธอแว่วมาตามสาย
“สวัสดีครับ”
“ใครคะ” ปริมาแกล้งถามทั้งๆ ที่เธอเองจำเสียงเขาได้
“คนที่กำลังคิดถึงคุณอยู่”
“คุณนั่นเอง” หญิงสาวเอ่ยอย่างทำท่าจำได้ “รู้เบอร์ปริมได้ยังไงคะ”
“จะรู้ได้อย่างไรไม่สำคัญ สำคัญแค่อยากให้ปริมรู้ว่าที่โทรมาหาเพราะคิดถึง” เสียงซึ้งๆ นุ่มๆ ของเขาตอบกลับมาตามสาย ทำเอาปริมาเผลอยิ้มได้เหมือนกัน
“บอกกับสาวทุกคนที่คุณโทรหาหรือเปล่าคะ”
“ไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร” เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างจริงจัง
“ค่ะ”
“ค่ะของปริมนี้คืออะไร เชื่อหรือไม่เชื่อครับ” เขาถามย้ำเหมือนทุกครั้ง
“ไม่รู้สิคะ แต่ก็จะพยายามเชื่อค่ะ”
“โธ่...ปริมจ๋า”
น้ำเสียงที่ออดอ้อนนั้นแทรกลึกเข้าไปในหัวใจดวงน้อยอย่างบอกไม่ถูก และเธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลยที่รู้สึกว่าตัวเองอดวาบหวามกับเสียงแบบนั้นของเขาไม่ได้
“เมื่อเช้าไปหา แต่หมอบอกว่าคุณออกจากโรงพยาบาลแล้ว อยากจะตามไปหาที่บ้านแต่ก็รู้ว่าคนบางคนกำลังหลบหน้าผมอยู่” รัชภาคย์พูดเหมือนรู้ทันแต่แฝงไว้ด้วยอาการตัดพ้อ
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” หญิงสาวแกล้งยั่ว
“ปริมไม่คิดถึงผมสักนิดเลยหรือครับ”
“เอ่อ…”
“ว่าไงครับคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า” เสียงทุ้มนั้นช่างขยันออดอ้อนเสียจริง
“ไม่รู้สิคะ” ปริมาทำเป็นเฉไฉ
“ทำไมไม่รู้ล่ะครับ งั้นให้ผมเข้าไปดูในหัวใจของปริมได้หรือเปล่า” เขาถามอย่างอบอุ่น หญิงสาวกลับเอาแต่เงียบเพราะรู้สึกว่ายิ่งคุยหัวใจเธอก็ยิ่งหวั่นไหวกับลูกล่อลูกชนของเขา
...ไหวไหมนะปริมา?...
“ว่าไงครับคนเก่ง ทำไมเงียบไป”
“ทำงานของคุณไปเถอะค่ะ ปริมจะพักผ่อนแล้ว” ปริมาเป็นฝ่ายตัดบท
“รำคาญผมเหรอครับ”
อยากจะตอบเขาไปว่า ‘ใช่’ แต่หัวใจกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
อาการเงียบของหญิงสาวทำให้รัชภาคย์เข้าใจไปอีกอย่าง เขาจึงวางสายไป
ตอนเย็นวันนั้น...
ปริมาแต่งตัวด้วยชุดลำลอง เสื้อยืดสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีขาว รวบผมยาวสลวยให้เป็นหางม้า กำลังยืนใช้สายยางฉีดรดน้ำต้นไม้อยู่
ในขณะนั้นเองก็มีรถเบนซ์สปอร์ตสีขาวคันหรูแล่นมาจอดเทียบที่บริเวณหน้าบ้านไม้สองชั้นของเธออย่างนุ่มนวล แล้วเจ้าของรถก็เปิดประตูก้าวลงมาจากรถ
เขาเดินตรงมาหาช้าๆ
“มาได้ยังไง” หญิงสาวรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“กำลังบ่นอะไรอยู่ครับ”
“คุณรู้จักบ้านปริมได้ยังไงคะ” หญิงสาวถามอย่างอดที่จะสงสัยไม่ได้ แต่การมาของเขาก็ทำให้ปริมามั่นใจว่าแผนการของเธอก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว
“ต่อให้หายากกว่านี้ ผมก็ต้องหาจนเจอ”
“แล้วมานี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“แกล้งถามหรือแกล้งไม่เข้าใจกันครับ” เขาดักคออย่างรู้ทันกับการถามแบบตีรวนของเธอ “แล้วทำไมต้องหลบหน้าผม หรือว่ารังเกียจ”
“ใครหลบคะ ปริมหายแล้วก็ต้องกลับบ้านสิ”
“อย่ามาทำเฉไฉ ถ้าไม่คิดจะหลบหน้าจริงๆ ทำไมต้องหนีกลับมาโดยไม่บอกผมสักคำ” รัชภาคย์ถามเสียงดุเข้มจนปริมาจึงต้องเมินหลบแล้วเดินไปปิดน้ำ
ในขณะนั้นพ่อทองและแม่พิมที่ออกไปดูสวนกลับมาถึงบ้านพอดี รัชภาคย์จึงยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ผมมาเยี่ยมปริมครับ”
“อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิคุณ” แม่พิมเอ่ยชวน
“ขอบคุณครับ...อย่าเรียกผมว่าคุณเลยครับ เรียกกันต์เฉยๆ ก็พอ”
ปริมามองเขาอย่างสังเกต อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาดูเรียบร้อย สุขุม แต่พออยู่กับเธอมันไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา ผู้ชายคนนี้มีหลายบุคลิกจังเลย ปริมาบอกตัวเองอยู่ในใจ
ในขณะที่ผู้เป็นพ่อและแม่พอจะมองออกว่าพ่อหนุ่มคนนี้คงไม่ได้มาเยี่ยมลูกสาวของตนตามปกติ แต่คงคิดอะไรมากกว่านั้น และเมื่อพิจารณาถึงบุคลคิก การวางตัวและนิสัยใจคอของรัชภาคย์ตามที่ได้รู้จักมาในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผู้เป็นบิดามารดาของปริมาก็ไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าใดนัก อีกอย่างปริมาก็เป็นผู้ใหญ่แล้วคงจะดูคนออกว่าใครมาดีมาร้าย
เย็นนั้นปริมาเข้าครัวทำกับข้าวเองโดยมีรัชภาคย์อาสาเป็นลูกมือ บ้านของปริมาเป็นบ้านไม้สองชั้น ห้องครัวอยู่ชั้นล่างที่ถูกต่อเติมให้ยื่นออกไปข้างหลังของตัวบ้านอีกที
“เคยทำเหรอคะ” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเขาเข้าไปช่วยล้างผักและเตรียมอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว
“เคยสิครับ” เพราะตอนที่รัชภาคย์ไปเรียนต่อที่เมืองนอกเขาก็ต้องทำกับข้าวกินเองเกือบตลอด แต่เขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ปริมาฟัง
“คุณหนูอย่างคุณไม่น่าจะเคยทำ”
“โห! พูดแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ ผมทำกับข้าวอร่อยนะ ถ้าว่างๆ ผมจะทำไห้คุณชิมรับรองว่าต้องอยากกินอีก” เขาทำท่าภูมิใจในตัวเองนิดๆ ในขณะที่ปริมายืนกอดอกมองท่าทางนั้นแล้วยิ้มน้อยๆ พี่น้องคู่นี้ช่างมะอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกันเหลือเกิน เพียงแต่รัชภาคย์ดูอ่อนโยนอบอุ่นและจริงจังมากกว่ารัชภูมิ
“ผมชอบเวลาปริมยิ้มจัง”
“แล้วเวลาไม่ยิ้มไม่ชอบเหรอคะ”
“ชอบครับ ชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ แต่ไม่รู้ทำไมในดวงตาคู่สวยของปริมเหมือนมีความเศร้าแฝงอยู่” รัชภาคย์พูดเหมือนคนช่างสังเกตซึ่งทำให้ปริมารู้สึกตัวว่าเธออาจจะแสดงพิรุธออกมาทางสายตาให้เขาจับได้
“ถ้าคุณชอบปริมจะยิ้มบ่อยๆ นะคะ” ปริมาพูดเหมือนเอาใจซึ่งก็เป็นคำตอบที่รัชภาคย์อยากได้ยินอยู่เช่นกัน
“แล้วนี่ปริมจะทำอะไรครับ”
“น้ำพริกมะขามผัดค่ะ”
“หืม?” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ น้ำพริกชนิดนี้เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนด้วยซ้ำ
“ไม่เคยได้ยินเหรอคะ”
“ครับ”
“ทำไม่ยากหรอกค่ะ แค่เอามะขามอ่อนใส่ครก เติมเกลือลงไปนิดหนึ่ง ตำให้ละเอียดนะคะ แล้วก็ตักออกใส่ถ้วยเอาไว้ก่อน นำพริกขี้หนูสวนกับพริกขี้หนูเม็ดใหญ่สีแดงใส่ครก ตำหยาบๆ แล้วก็ปอกกระเทียม หอมแดงใส่ตามลงไป ตำให้ละเอียด ใส่กุ้งแห้ง กะปิลงไป เติมน้ำตาลปี๊บ ตำเบาๆ ให้เข้ากัน แล้วก็ใส่มะขามอ่อนที่ตำไว้ตอนแรก โขลกให้เข้ากันดีอีกครั้ง แค่นี้ก็ได้ส่วนผสมน้ำพริกมะขามสำหรับเตรียมเอาลงกระทะไปผัดแล้วค่ะ” หญิงสาวหันไปยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ
“จากนั้นก็มาตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไปหน่อย พอน้ำมันร้อน ใส่หมูชั้นสับลงไป ผัดจนหมูสุกก็ตักส่วนผสมใส่ลงไปผัดต่อค่ะ ค่อยๆ ผัดไปเรื่อยๆ ใช้ไฟกลางค่อนมาทางอ่อน จนกระทั่งเรารู้สึกว่าน้ำพริกมันไม่ค่อยแฉะแล้วก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ”
เธออธิบายไปพลางโขลกน้ำพริกไปพลางอย่างคล่องแคล่ว จนเขาอดมองอย่างทึ่งๆ ไม่ได้
“น้ำพริกมะขามเนี่ยถ้าจะให้อร่อยต้องทานกับไข่ต้มยางมะตูมแล้วก็ผักสดค่ะ เดี๋ยวพอปริมทำเสร็จแล้วคุณช่วยต้มไข่หน่อยนะคะ” ปริมาหันมาสั่งเขาอย่างเป็นการเป็นงานก่อนจะหันไปตำน้ำพริกต่อ
“ต้มยังไงให้เป็นยางมะตูมเหรอครับปริม” รัชภาคย์ถามไปอย่างนั้น ความจริงเขารู้ดีทีเดียวว่าต้องทำอย่างไร
“ก็ต้มแค่ห้านาทีพอดีๆ ค่ะ” หญิงสาวบอก
รัชภาคย์พยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้วก็อมยิ้มเพราะนานๆ ทีจะมีคนกล้ามาสั่งเจ้าของธุรกิจผู้มีแต่คนเกรงขามอย่างเขาให้ทำนั่นทำนี่
อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของรัชภาคย์เพราะเขาได้จ้องหน้าหวานๆ ของปริมาไปด้วยกินข้าวไปด้วย ในขณะที่หญิงสาวแทบจะไม่ได้กินอะไรเพราะสายตาคมกริบคู่นั้นจ้องจนเธอมือไม้สั่น เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเกิดอาการเช่นนั้น
ปริมาเดินมาส่งเขาที่หน้าบ้านเมื่อทานอาหารค่ำเสร็จ ในขณะนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้วซึ่งบรรยากาศในชนบทแบบนี้จะมืดเร็วมากกว่าปกติ แสงไฟที่เปิดเพียงบ้านละดวงสองดวงเพียงเพื่อให้ความสว่างภายในบ้านของตนเองเท่านั้นทำให้บรรยากาศนอกบ้านมืดกว่าบรรยากาศในเมืองที่รัชภาคย์เคยเห็นจนชินตา
แสงสว่างของดวงดาวระยิบระยับประดับประดาทั่วท้องฟ้าในคืนเดือนมืดทำให้ท้องฟ้าสีนิลดูงดงามยิ่งนัก ชายหนุ่มรู้สึกชอบความงามของธรรมชาติแบบนี้จนอดที่จะแหงนหน้าขึ้นมองไม่ได้
“มองอะไรอยู่เหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มองดาวบนท้องฟ้าครับ”
“ในเมืองไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นหรอกค่ะ เพราะแสงดาวจะถูกกลบด้วยแสงไฟ”
“แต่ถึงยังไงแสงดาวก็สวยกว่าแสงไฟเสมอในสายตาของผม” เสียงทุ้มพูดอย่างมีความหมาย
“คุณชอบดาวเหรอคะ”
“ชอบครับ ดาวบ้านคุณสวยมาก สวยจนน่าอิจฉาปริมที่มีโอกาสได้ดูดาวสวยๆ แบบนี้ทุกวัน”
“ปริมก็ชอบค่ะ ดาวส่องสว่างสดในประดับท้องฟ้าในยามค่ำคืนสวยดี”
“แต่ดวงตาของปริมสวยกว่าครับ” รัชภาคย์พูดด้วยเสียงอันทุ้มลึกพร้อมกับใช้ดวงตาสีดำสนิทจดจ้องใบหน้าสวยหวาน ปริมาช่างน่ารักจนเขาอดไม่ได้ที่เอื้อมมือหนาไปจับต้นแขนกลมกลึงทั้งสองข้างแล้วดึงร่างบางเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าฝากมนนั้นเบาๆ ปริมาตกใจไม่น้อยกับการจู่โจมอย่างรวดเร็วแต่ก็อดที่จะวาบหวามกับสัมผัสนั้นไม่ได้
“ฝันดีครับคนสวย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวขึ้นรถ
“ขับรถดีๆ นะคะ” ร่างเพรียวระหงก้มบอกเขาทั้งที่ใบหน้าสวยหวานยังคงแดงซ่าน
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำพร้อมกับยิ้มให้อย่างมีเสน่ห์ก่อนจะปิดประตูรถ
ปริมายืนมองตามหลังรถเขาไปจนลับตาแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน
…ทำไมเธอต้องมีรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาดที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ…
หญิงสาวถามตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้
วันรุ่งขึ้น...
ปริมาขับรถเข้าเมืองด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง รถของเธอแล่นเข้าไปจอดยังหน้าอาคารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทอาร์พีวัสดุก่อสร้าง โดยหาไม่ยากนักเพราะเป็นบริษัทที่ใหญ่โตที่สุดในจังหวัดนี้
ร่างอรชรอ้อนแอ้นก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ปริมาเข้าไปสอบถามประชาสัมพันธ์ซึ่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเธอตามแบบฉบับของพนักงานต้อนรับที่ดี
“มีอะไรให้รับใช้คะ” ประชาสัมพันธ์สาวถามอย่างสุภาพ
“ไม่ทราบว่าคุณรัชภาคย์อยู่หรือเปล่าคะ” เธอถามอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง
“อยู่ค่ะ คุณนัดไว้หรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ พอดีคุณรัชภาคย์กำลังมีแขกแต่เดี๋ยวพอท่านเสร็จธุระดิฉันจะไปเรียนให้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“จะให้เรียนคุณรัชภาคย์ว่าใครมาขอพบคะ”
“ปริมาค่ะ”
ปริมาตอบก่อนจะเดินไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะรับแขกซึ่งด้านหน้า หลังจากนั้นประชาสัมพันธ์ก็ยกน้ำมาให้ หญิงสาวนั่งรอจนเวลาผ่านไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงจึงเห็นรัชภาคย์เดินออกมา เขาไม่ได้ออกมาคนเดียวแต่กลับมีสาวสวยคนหนึ่งเดินเกาะแขนออกมาอย่างสนิทสนม ปริมาจึงลุกขึ้นยืนและหมุนตัวออกไปจากที่นั่นทันที
“ปริม” รัชภาคย์เรียกเอาไว้อย่างดีใจ หญิงสาวจำเป็นต้องหยุดเพราะไม่อยากแสดงพิรุธให้ผู้หญิงของเขาได้เห็น
“คุณมาหาผมเหรอ”
“เปล่าค่ะ ปริมแค่แวะมาทำธุระ”
“อยู่คุยกับผมก่อนสิ”
“ปริมกำลังจะกลับแล้วล่ะค่ะ” น้ำเสียงเธอแปร่งๆ
“แต่ว่า...”
“ปริมไม่รบกวนแล้วนะคะ” ปริมาบอกก่อนจะรีบก้าวฉับๆ ออกไปทันที
รัชภาคย์ได้แต่มองตามอย่างร้อนใจ อยากจะตามเธอไปแต่ติดตรง เพชรลดาที่เกาะติดเขาแจไม่ยอมปล่อย ทำให้เขาไม่สามารถตามปริมาไปได้ในตอนนั้น
ในขณะเดียวกันเพชรลดาก็มองตามปริมาอย่างสงสัยเพราะรัชภาคย์ดูให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่เพิ่งจะเดินออกไปมากเป็นพิเศษ เพชรลดาเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
ปริมารีบเดินกลับมาที่รถของตัวเอง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะฝั่งคนขับ สตาร์ทเครื่องแล้วหมุนพวงมาลัยออกไปจากบริเวณนั้นมุ่งหน้าสู่ถนนที่เป็นทางกลับบ้าน อารมณ์ตอนมากับตอนกลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวขับรถด้วยอาการเหม่อลอย ภาพที่รัชภาคย์เดินเคียงข้างออกมากับเพชรลดายังคงติดตาอยู่ ทำไมหัวใจดวงน้อยถึงมีอาการเจ็บแปลบๆ อย่างประหลาดเมื่อเห็นเขากับผู้หญิงคนอื่น จะว่าไปแล้วทั้งสองคนนั้นก็ดูเหมาะสมกันดี ผู้หญิงคนนั้นดูสวยสง่าและเพียบพร้อมทุกกระเบียดนิ้วเทียบไม่ได้กับเธอซึ่งเป็นลูกสาวชาวบ้านธรรมดา ผู้ชายอย่างเขาหรือจะมาสนใจจริงจัง จากการที่เธอคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นแต่กลับกลายเป็นเหมือนเอาหัวใจตัวเองออกมากรีดเล่นอีกเป็นครั้งที่สอง…