๒ นางมารฝึกหัด
๒
นางมารฝึกหัด
“ก็เคยฝันใฝ่และเคยมั่นใจในวันนี้ ว่าคงต้องดีต้องเป็นได้ดังที่ตั้งใจ แต่คนทั้งคนที่เป็นความฝันของหัวใจ กลับมาทิ้งกันไปต้องสูญสิ้นไปหมดทุกอย่าง ปวดใจเหลือเกินแต่คงต้องทนข่มความทรมาน ฉันจะ ต้องก้าวผ่านตราบฉันยังคงหายใจ
แม้ว่าจะต้องเสียความรักไป แม้ว่าจะไม่เหลือใครสักคน มันจะเจ็บจะช้ำกี่หนแต่คนคนนี้ไม่ท้อใจ แม้ว่าในวันนี้มีน้ำตา จะข่มมันให้ไหลอยู่ข้างใน ความฝันนั้นจบไปแต่ยังเหลือตัวฉัน ก็คงสักวันที่ลมฝนมันจะผ่านพ้น จะยอมสู้ทนเพื่อรอพบวันที่สดใส หากมีสักคนสักคนที่ทำให้กันด้วยหัวใจ ถึงนานสักเท่าไหร่แต่ฉันก็ยังเฝ้ารอ”
เพลง: ไม่ยอมหมดหวัง…โดยศิลปิน เจนิเฟอร์ คิ้ม
เสียงเพลงที่ดังแว่วมาจากหอกระจายเสียงทำให้หวนนึกถึงใครบางคนอีกครั้ง ปริมานั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เพลงจบลงพร้อมๆ กับน้ำตาที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาจากขอบตาด้วยความเศร้าสร้อยซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อหาของเพลงๆ นั้น
ก๊อก ก๊อก...
หากแต่เสียงเคาะประตูจากข้างนอกดังขึ้นทำให้หญิงสาวต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาและกลบเกลื่อนร่องรอยของความเศร้าออกจากดวงหน้าไปอย่างรวดเร็ว
รัชภาคย์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าปริมาพร้อมกับอวดยิ้มที่ทำให้ใจของปริมากระตุกได้เช่นทุกครั้ง หญิงสาวรู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกดเสมอยามเมื่อเผลอจ้องหน้าหล่อเหลาของเขา
“เป็นอะไรไปครับปริม ตกใจมากขนาดนั้นเลยเหรอที่เจอผม” เสียงทุ้มลึกอ่อนโยนนั้นปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์
“ก็นิดหน่อยค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะมาเช้าขนาดนี้”
“คิดถึงนี่ครับเลยต้องรีบมา”
ตาคมกริบที่มองมานั้นราวกับจะล้วงลึกลงไปให้ถึงก้นบึ้งของหัวใจดวงน้อย ปริมาต้องเป็นฝ่ายเมินหลบประกายกล้าของสายตาคู่นั้น
รัชภาคย์รู้สึกพอใจเมื่อเห็นจุดสีแดงแต้มขึ้นบนแก้มนวลใสของเธอ “สาวขี้อาย” เขาแอบตั้งฉายาให้ในใจก่อนจะหลุบสายตาลงไปมองที่ริมฝีปากเย้ายวนบางเบาของเธอ แล้วนึกอยากจะลิ้มลองรสชาติความหวานขึ้นมาในทันทีทันใด
“มองอะไรคะ” ปริมารู้สึกแปลกๆ เมื่อเขาเอาแต่จ้องหน้าเธอแล้วก็เงียบไป
“น่าจูบ” เสียงทุ้มหลุดออกมาราวกับละเมอ
“อะไรนะคะ”
“ผมพูดคิดดังเกินไปหรือครับ” รัชภาคย์ยิ้มเขินๆ
“ท่าจะนอนไม่พอมั้งคะ เลยละเมอ” ปริมาขมวดคิ้วมุ่น
“ครับกำลังละเมอถึงนางฟ้าในฝัน” เขายอมรับพร้อมกับจ้องตาคู่สวยอย่างสื่อความหมาย ว่านางในฝันที่เขาหมายถึงก็คือเธอ
...ผู้ชายอะไรจีบได้ทุกประโยคที่พูดสิน่า... หญิงสาวแอบคิดในใจ ...แต่ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามแผนของเธอไม่ใช่เหรอมันคงจะดีมากกว่านี้หากตัวเองจะไม่รู้สึกหวั่นไหวกับท่าทางอ่อนโยนและอบอุ่นของเขา...
“คุณไม่ต้องทำงานเหรอคะถึงมาหาปริมได้ทุกวัน”
“ทำครับ แต่หัวใจมันเรียกร้องให้มาที่นี่ก่อน” เขาอ้อนทั้งปากทั้งตา
“ปริมดีขึ้นแล้วนะคะ” ปริมาก้มหน้าแล้วพูดเบาๆ อย่างขัดเขินขึ้นมาจริงๆ
“แต่ผมก็ยังเป็นห่วงและคิดถึงปริมเหมือนเดิมนี่ครับ”
“เราเพิ่งรู้จักกันได้กี่วันคะ แล้วคุณพูดแบบนี้กับปริมมากี่ครั้งแล้ว” เธอถามเขาอย่างลองใจ
“กี่วันผมไม่เคยอยากจะนับ รู้แต่ว่าทุกนาทีมีความหมายตั้งแต่ได้พบกับปริม”
“คุณ!” ปริมาอุทานอย่างตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินรัชภาคย์พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ลึกๆ ก็รู้สึกพอใจที่เขาตกหลุมพรางของเธออย่างง่ายดายและเร็วกว่าที่คิดเอาไว้แต่แรก
“ผมไม่เคยจริงจังอะไรเท่านี้นะครับปริม”
“อย่าเลยค่ะ ปริมกลัวสาวๆ ของคุณจะมาแหกอกเอา” เธออดที่จะแขวะคนช่างหยอดคำหวานไม่ได้
“ผมยังไม่มีแฟนครับ และไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน” ชายหนุ่มรีบอธิบายอย่างอ่อนใจเพราะท่าทางของปริมาไม่คิดจะเชื่อเขาเอาเสียเลย
“ปริมไม่อยากจะเชื่อ”
“เชื่อเถอะครับ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอคุณ ผมก็รู้สึกว่าผมเจอคนที่ผมรอคอยแล้ว” รัชภาคย์พูดอย่างจริงจังอีกครั้ง
“ปริมว่าคุณน่าจะไปเป็นนักเขียนนะคะ ชอบพูดอะไรเป็นนิยายอยู่เรื่อย” เธอหัวเราะทุกคำพูดของเขาราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันทำเอารัชภาคย์เงียบไปได้ชั่วขณะ สีหน้าที่เคยแฝงเอาไว้ด้วยความอบอุ่นและอารมณ์ดี ตอนนี้เริ่มบึ้งตึงจนปริมารู้สึกได้ทันทีว่าเธอคงจะพูดอะไรผิดไป
“ปริมขอโทษค่ะ”
“ถ้าเป็นคนอื่น ผมจะไม่ยกโทษให้ที่เห็นความรู้สึกคนอื่นเป็นเรื่องตลกแบบนี้” น้ำเสียงนั้นฟังดูเคร่งเครียดไม่มีแววขี้เล่นแฝงอยู่เหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ปริมาหน้าเจื่อนไปทันทีเพราะไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันแบบนี้
“โธ่...ก็มันเร็วขนาดนี้ ปริมจะไปเชื่อได้ยังไงล่ะคะ”
“ผมยังไม่ได้ขอให้ปริมเชื่อผมในวันนี้นะครับ แต่ผมจะพิสูจน์ให้ปริมเห็นว่าทุกอย่างที่ผมพูดเป็นความจริง”
“โดยที่คุณไม่คิดจะถามปริมอย่างนั้นเหรอคะว่าปริมต้องการหรือเปล่า”
“ไม่ถามครับ เพราะไม่ว่าคำตอบของปริมจะเป็นอย่างไร ผมก็จะไม่ยอมแพ้”
“แล้วถ้าปริมมีใครอยู่แล้วล่ะคะ คุณจะยอมแพ้หรือเปล่า”
คำถามนั้นทำเอารัชภาคย์อึ้งไป ใช่สินะทำไมเขาไม่ทันได้ฉุกคิดเรื่องนี้เลย ผู้หญิงที่สวยและน่ารัก น่าทะนุถนอมอย่างปริมาถ้าจะมีใครเป็นเจ้าของหัวใจอยู่แล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกเลย
“ผมขอโทษ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็จะเลิกตอแยคุณ”
“ปริมบอกว่า ‘ถ้า’ นะคะ” เธอเน้นคำนั้น และประโยคของเธอก็ทำให้รัชภาคย์ยิ้มออกได้อีกครั้ง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...” เขาคาดโทษด้วยน้ำเสียงและแววตา
“ไม่รับฝากค่ะ” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน
รัชภาคย์ชอบรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน ชายหนุ่มรู้สึกหลงรักทุกอิริยาบถของผู้หญิงคนนี้จนแทบคลั่ง อยากจะจับร่างเพรียวบางเข้ามากอดและกระหน่ำจูบริมฝีปากเย้ายวนนั้นให้สาสมกับที่สาวขี้อายจอมยั่วยวนทำอยู่ตอนนี้
“น่ารัก” เขาพูดขึ้นมาลอยๆ อีกครั้ง
“คะ?”
“ปริมน่ารัก” เสียงทุ้มเอ่ยสั้นๆ แต่เน้นทุกคำพูด
“ปริมชักจะไม่อยากหายแล้วสิคะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็อยู่ที่นี่มีคนมาชมให้ฟังแบบนี้บ่อยๆ กลับบ้านแล้วก็อดฟังน่ะสิ”
“ถึงปริมจะหายแล้ว ก็จะชมปริมทุกวันเหมือนเดิมครับ คนสวยของผม”
“จริงเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วพร้อมกับอมยิ้มและรู้สึกชอบคำนั้น ...คนสวยของผม...
“ห้ามยิ้มแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นนะครับ” รัชภาคย์บอกพร้อมกับจ้องตาเธออย่างหวงแหนขึ้นมาเอาดื้อๆ
“ยิ้มแบบไหน”
“ก็แบบที่กำลังยิ้มอยู่นี่แหละครับ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ผมหวง...” น้ำเสียงนั้นทุ้มลึกจริงจัง
เป็นอีกครั้งที่หัวใจของปริมาต้องเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผลกับคำพูดที่เปิดเผยของเขา
“กลับได้แล้วค่ะ ปริมง่วงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยปากไล่เอาดื้อๆ เมื่อยาซึ่งกินเข้าไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วเริ่มออกฤทธิ์
“ใจร้าย” เขาบ่นน้อยๆ ทำตาปรอยๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดใจอะไรเธอ
ปริมาล้มตัวลงนอนโดยมีรัชภาคย์หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ก่อนจะถอยห่างออกมาเล็กน้อยและมองร่างบางไม่วางตา
“ผมไปก่อนนะครับ ฝันถึงผมด้วย” ชายหนุ่มพูดเหมือนสั่งแต่เต็มไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเดินออกจากห้องคนป่วยไป
ปริมามองตามหลังเขาอย่างหนักอึ้งในหัวใจ ...เธอจะทำร้ายคนอย่างเขาได้ลงคอเชียวหรือ มันยุติธรรมแล้วหรือที่จะใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น... หญิงสาวถามตัวเองในใจ …แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวในการที่จะติดตามทวงหัวใจของตัวเองกลับมา... เธอตอบตัวเองในที่สุดพร้อมกับพยามยามขจัดความหวั่นไหวออกไปจากหัวใจดวงนั้น
ฐิติพรเดินสวนกับคนที่เพิ่งจะปิดประตูออกจากห้องพักคนป่วยของปริมา ดวงตาคู่สวยมองตามหลังเขาอย่างสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครและเข้ามาทำอะไรในห้องของเพื่อนเธอ
“ปริม”
ปริมาที่กำลังจะหลับ ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตามเสียงเรียกของฐิติพร
“แก้ม” เธอเรียกเพื่อนสาวอย่างดีใจ
“ไปทำซุ่มซ่ามอีท่าไหนถึงได้โดนรถชนได้” ฐิติพรบ่นทั้งที่เป็นห่วงปริมาไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นเขาจะเรียกอุบัติเหตุเหรอจ๊ะ” ปริมาตอบเพื่อนสาวด้วยประโยคที่บ่งบอกว่ามีเลศนัย
“แล้วผู้ชายคนเมื่อกี้ใคร ” ฐิติพรซักต่ออย่างสงสัย
“ผู้ต้องหา...” ปริมาตอบสั้นๆ
“คนที่ขับรถชนเธอเหรอ”
“ใช่”
“โอ๊ย! คนอะไรหล่อมากเลยปริม” ฐิติพรทำท่าปลื้มๆ แววตาเคลิ้มฝัน
“จีบเลยไหม” ปริมาพูดเหมือนสนับสนุน
“จะบ้าเหรอยัยปริม คนอย่างฉันเนี่ยนะจะจีบผู้ชายก่อน ไม่มีทางหรอกย่ะ แต่ว่าแก้มว่าหน้าคล้ายๆ ก้องนะ แต่ เอ... หรือว่าเป็นพี่ชายของก้องจริงๆ อย่าบอกนะว่านี่คือแผนของเธอ” ฐิติพรตั้งข้อสังเกต ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น สีหน้าของปริมาจึงเครียดขึ้นมาทันที
“ถ้าปริมจะบอกว่าใช่ล่ะ” ปริมายอมรับออกมาตรงๆ
ฐิติพรได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเป็นห่วง หญิงสาวเข้าใจความเจ็บปวดของปริมาดี เพราะเธอเฝ้ามองความรักของเพื่อนสาวมาตั้งแต่แรก รู้ว่าทั้งสองคนรักกันและปริมาต้องเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อรู้ว่าถูกรัชภูมิทรยศต่อความรักของเธอ แต่การที่ปริมาทำแบบนี้มันก็เสี่ยงไม่น้อย หากว่าผู้ชายคนนั้นรู้ว่าเขาคือเหยื่อของการแก้แค้นเขาจะรู้สึกอย่างไรกับปริมา แล้วอีกอย่างที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นก็คือเพียงแค่เธอเห็นรัชภาคย์ไม่กี่วินาทีก็รู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันร้ายกาจของเขา
“ปริมคิดดีแล้วเหรอ” ฐิติพรอยากจะห้ามเพื่อนนักแต่ก็รู้ว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของปริมาได้ในตอนนี้
“ปริมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วแก้ม”
“หล่อขนาดนี้ เป็นแก้มคงใจละลายก่อนได้แก้แค้นแน่ๆ” ฐิติพรพูดไปตามความรู้สึก
“อย่าดูแต่ภายนอกสิแก้ม”
“อืม อันนั้นแก้มรู้ แต่ว่าปริมแน่ใจนะว่าเขาจะไม่รู้ว่าปริมเคยเป็นแฟนน้องชายเขามาก่อน”
“ปริมคงไม่มีความสำคัญพอที่ก้องจะเอาไปเล่าให้ครอบครัวเขาฟังหรอก” หญิงสาวอดที่จะประชดตัวเองไม่ได้
“ถ้าคิดจะแก้แค้นต้องใจแข็งนะปริม แล้วห้ามตกหลุมตัวเองล่ะ” ฐิติพรเตือนอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงเพราะเธอรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนจิตใจอ่อนโยนแค่ไหน
“จ้ะ ปริมจะระวัง” ปริมารับปากหากแต่ลึกๆ กลับรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูกเพราะเมื่อหลับตาลง ใบหน้าคมเข้มของรัชภาคย์ก็เหมือนตามมาในภวังค์ความคิดอยู่ตลอดเวลา