บทที่ 1 (3)
“เราสองคนไม่ได้พบ ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งหลายเดือน แทนที่จะตามใจฟ้าให้มากหน่อย นี่อะไร ยังบ่นเก่งเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยนเลย หายใจหายคอบ้างก็ได้ค่ะ ฟ้าไม่อยากพาติณณ์ไปโรงพยาบาล เพราะหายใจไม่ทันนะ” เธออดที่จะค่อนขอดเขาไม่ได้จริงๆ รักอาชีพ เป็นห่วงงาน คือเรื่องที่ดีมากๆ แต่บางครั้งอะไรที่ควรปล่อยวาง เขาไม่ยอมปล่อย ว่าแต่เธอดื้อ ตัวเขาเองก็ดื้อพอกันนั่นแหละ “และถึงปากจะบอกว่าอยู่ต่อไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ นาทีนี้ยังไงก็ต้องอยู่ก่อนค่ะ เพราะติณณ์ดันหลวมตัวขับรถลงมารับฟ้าที่นี่แล้ว ส่วนเรื่องงานในไร่น่ะ ขาดติณณ์ไปสักคน พี่เต็มกับคนงานทั้งหมด ก็สามารถช่วยกันดูแลได้เป็นอย่างดีเหมือนเดิมนั่นแหละ รู้ว่าห่วงแต่ในเมื่อทุกอย่างปกติดี ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องแก้ไขก็ไม่ต้องกังวลจนเกินเหตุ” ร่ายยาวจบอิงฟ้าก็มองค้อนตาคว่ำ ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดแล้วก้าวฉับๆ เดินนำออกไปโดยไม่รอคนขี้บ่น
ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสวยสดขมุบขมิบ พึมพำราวท่องบทสวดอะไรสักอย่างไปเรื่อยขณะเดินจ้ำ ร้อนถึงร่างสูงที่ต้องรีบสาวเท้าก้าวตามแผ่นหลังบอบบางของคุณหนูสาวไปติดๆ ไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหน เรื่องที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหลงทาง หรืองงทิศ เขาไม่คิดกังวลถึงตรงนั้นเลยสักนิด เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าตัวคุ้นชินกับสถานที่เป็นอย่างดี แต่เขาถือคติที่ว่ามาด้วยกันก็ต้องกลับไปด้วยกัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องแยกกันกลับ
“แต่ผมเป็นผู้จัดการไร่นะครับ หายหน้าหายตามาอยู่กรุงเทพนานเท่าที่คุณหนูต้องการไม่ได้หรอกครับ คุณหนูก็ทราบว่างานภายในไร่มันมีเยอะมากมายขนาดไหน ถึงจะมีพ่อเลี้ยงควบคุม และคนงานคอยช่วยดูแลก็เถอะ แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ครับ” เสียงทุ้มห้าวให้เหตุผลคนดื้อดึง และพยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ เพราะเขาไม่อยากมีปัญหากับคุณหนูจอมเอาแต่ใจ ที่พักหลังเจอกันทีไรมีอันต้องพยศใส่ ตอนยังเป็นเพียงคุณหนูตัวน้อยยังไม่ขนาดนี้ พอเวลาเปลี่ยนยิ่งพยศเก่ง และเท่าที่สังเกตจะเป็นเฉพาะเขาคนเดียว
“ติณณ์ควรให้ร่างกายถึกๆ ของตัวเองได้พักผ่อนบ้างนะคะ ไม่ใช่บ้างานจนลืมดูแลตัวเองแบบนี้ อย่าลืมนะว่าตัวเองเป็นมนุษย์มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึก เจ็บได้ ป่วยได้ ไม่ใช่เครื่องจักร อ่อ! ขนาดเครื่องจักรมันยังมีโอกาสได้หยุดพักการใช้งาน ดังนั้นมนุษย์ติณณ์ก็ต้องได้รับสิทธิ์นั้นเหมือนกัน ถือว่านี่คือคำสั่งของฟ้าก็แล้วกันนะคะ ฟ้ายังไม่อยากกลับติณณ์ก็ยังกลับไร่ไม่ได้ โอเคนะคะพ่อมนุษย์ยอดถึกของฟ้า” อิงฟ้ากล่าวจบก็หันมายิ้มมุมปาก ก่อนจะทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม ถึงตัวเธอจะอยู่ที่กรุงเทพ แต่ทุกความเคลื่อนไหวภายในไร่เธอรับรู้มันทั้งหมดนั่นแหละ เพราะว่ามีสายสืบส่วนตัวคอยรายงานสถานการณ์ให้ฟังอยู่ตลอดทุกวัน ลำพังถ้ามัวแต่รอให้พ่อเลี้ยงทั้งสองคนเล่าให้ฟังก็คงรู้ไม่ครอบคลุม
คนโดนกล่าวหาว่าถึกถึงสองครั้งสองคราสบถในลำคอ เถียงไม่ออก จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะแยกเขี้ยวก็ไม่เชิง มันเขี้ยวอยากบีบแก้มคนช่างจำนรรจาที่เข้าใจเปรียบเทียบนัก ถึงจะเป็นผู้จัดการแต่เขาก็ออกแรงไม่ได้นั่งในห้องแอร์เย็นๆ ตลอดเวลา ทำงานใช้กำลัง ลงมือลงแรงกลางแดดกลางแจ้งวันละหลายชั่วโมง บางวันเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้แทบทุกวันจะให้หุ่นอ้อนแอ้นรูปร่างผอมบางได้ยังไงกัน และโดยส่วนตัวเขาเองก็ไม่ปลื้ม ไม่ปรารถนานหุ่นแบบนั้นเลยสักนิด ผู้ชายแมนทั้งแท่งมันควรร่างกายบึกบึน แข็งแรงไปทุกส่วนสิถึงจะถูก
“ฟ้าไม่สนใจหรอกนะว่าคุณผู้จัดการใหญ่ที่คนงานในไร่ต่างเคารพรัก และยำเกรงจะคิดยังไง เอาเป็นว่าถ้าคุณพ่อต่อว่ากลับมาเดี๋ยวฟ้าเคลียร์ของฟ้าเองละกันค่ะ ติณณ์มีหน้าที่แค่ทำตามที่ฟ้าต้องการก็พอ ตกลงตามนี้นะคะคุณผู้จัดการขา” อิงฟ้ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใช้ความเอาแต่ใจเพื่อจะเอาชนะ ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน และทำเมินสายตาดุๆ ที่กำลังมองมา
ติณณ์อายุเท่ากับพี่ชายของเธอนั่นก็เท่ากับว่าทั้งคู่มีอายุมากกว่าเธอถึงแปดปี พี่เต็มกับติณณ์เขาเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กเพราะลุงสินทำงานเป็นผู้จัดการไร่ มีหน้าที่คอยช่วยพ่อเธอดูแลงานและบริหารจัดการเกี่ยวกับกิจการงานแทบทุกอย่างภายในไร่ เป็นมือขวาคนสนิทเพียงคนเดียวของพ่อเลี้ยงทวีศักดิ์ที่สามารถฝากฝังงานทุกอย่างให้ดูแลแทนได้ หากท่านติดภารกิจ ธุระสำคัญที่ไม่สามารถอยู่ดูแลได้ เจ้านายและลูกน้องคู่นี้เขารักใคร่กลมเกลียวกันดีมาก เหมือนเพื่อนเหมือนพี่เหมือนน้องกันเลย แต่ทุกเรื่องราวก็เหลือแค่เพียงความทรงจำ ลุงสินจากพวกเราไปแปดปีแล้ว
“เอาแต่ใจ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบให้เจ้าตัวได้ยิน
“ค่ะ ยอมรับว่าฟ้าเอาแต่ใจมาโดยตลอด ไม่ค่อยมีเหตุผล และในสายตาของติณณ์ที่มองมา ฟ้าไม่ได้น่ารักมากมายอะไรอยู่แล้วนี่ จริงไหมคะ” อิงฟ้าไหวไหล่ ปลายคางเรียวเชิดขึ้นเล็กน้อย และแน่นอนว่ามีความน้อยใจปะปนอยู่ด้วย ซึ่งเธอเชื่อว่าเขาน่าจะมองออกแต่เลือกที่จะไม่สนใจ ความสนิทสนมของเธอกับติณณ์ไม่เหมือนตอนยังเป็นเด็กเลย พอโตขึ้นมาหน่อยเขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน และยิ่งพอมารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการไร่แทนลุงสินแล้วก็น่าหมั่นไส้เพิ่มมากขึ้นด้วย ทำตัวห่างเหินกับเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก หลบหลีกก็เก่ง เธอเดินมาตรงนี้ เขาหลบไปตรงโน้น เหอะ! คิดว่าเธอโง่มากมั้ง ใบหน้านี่ก็เคร่งขรึมจนจะกลายเป็นคนหน้าครึ้มเหมือนก้อนเมฆที่เริ่มก่อตัว ตั้งเค้าเป็นพายุฝนเข้าไปทุกที ยิ่งเห็นเธอก็ยิ่งพาลขัดใจมันทุกทีสิน่า
อากัปกิริยาที่อิงฟ้าแสดงออกผ่านการกระทำมาทั้งหมดนั้นตกอยู่ในสายตาคมกล้าของคนที่ถูกค่อนขอดอยู่ในใจ แต่เจ้าตัวเลือกที่จะยืนมองดูอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ความสงบเข้าครอบงำแทน พลางจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง และถ้าคุณหนูสาวที่ถูกชายหนุ่มกล่าวหาว่าเอาแต่ใจไม่เปลี่ยนลองสังเกตสักนิดจะเห็นประกายความอ่อนโยนที่ซ่อนเร้นเอาไว้ไม่มิดอยู่ในแววตาคู่นี้อยู่เสมอ และยามที่เจ้าตัวเผลอไผลไปนั้นมันจะชัดเจนยิ่งกว่า
“ไม่ทราบว่าจะให้ฟ้าขยับขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ยังคะติณณ์ ฟ้าอยากช็อปปิ้งต่อแล้วค่ะ มีอีกหลายอย่างที่ฟ้าอยากได้ และจะต้องซื้อให้ได้ด้วย ไม่งั้นฟ้าคงนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้พวกมันกลับไปด้วย” อันที่จริงมันไม่ถึงขั้นทำให้นอนไม่หลับถ้าไม่ได้ของที่ต้องการกลับไปก็แค่พูดเวอร์เอาไว้ก่อน อมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองหน้าคนด้านหลังที่ยังคงยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กาไร้ชีวิตอย่างรอคอยคำตอบด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดียวกัน ค่อนข้างแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองห่างเหินจากเขาเลย ทั้งที่ไม่เจอหน้ากันมาเกือบหนึ่งปี โทรหากันหรือ ก็ไม่เคย จะติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์เหรอ อย่าได้หวัง เขามันมนุษย์ยุคหิน ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่บางครั้งเธอก็อยากจะส่องเขาอยู่เหมือนกัน
“พูดมาขนาดนี้แล้ว เอาเป็นว่าคุณหนูเดินนำไปเลยครับ ผมจะเป็นผู้ตามที่ดี โอเคไหมครับ” เขายอมยกธงขาวในที่สุด และเสียงอ่อนลงกว่าเดิมมาก คุณหนูอิงฟ้าอยากจะเดินอีกสักกี่ชั่วโมงเขาก็จะไม่ขัดขวางความสุขของเธอแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่ารำคาญ ในเมื่อมันคือความสุขของเธอ เขายอมก็ได้ คิดอย่างปลงๆ เอาเข้าจริงไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ตนเองจะใจแข็งได้อย่างปากพูด ใจมันมักอ่อนทุกที แค่ได้ยินคำตัดพ้อ แววตาเศร้าสร้อยที่เขารู้ดีว่าบางครั้งเจ้าตัวใช้มันเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการ กลับกันถ้าเป็นลูกน้องที่อยู่ภายใต้การปกครองคงเสียระบบ เสียการปกครองหมด