บทที่ 2
หยาดน้ำตาอุ่นไหลรินพร้อมกับถ้อยคำที่เอ่ยบอกเสียงขาดห้วงปนหอบ และยิ่งคิดถึงการตัดสินใจในอดีตที่ผ่านมา ก็ยิ่งร้องไห้ จนไอริณต้องซับน้ำตาให้ด้วยทิชชู่พร้อมกับเอ่ยห้ามไปในตัวด้วย
“คุณแม่คะ..อย่าเพิ่งถึงคุณพ่อเลยนะคะ”
ไอริณอยากรู้ความจริงใจจะขาด แต่พอเห็นมารดาร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจ แถวยังหายใจหอบเหนื่อยมากกว่าเดิม ก็ไม่อยากให้ท่านพูดถึงบิดาในยามนี้
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าปฏิเสธ รู้ดีว่าตนเองมีเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว และต้องบอกความจริงกับลูกสาวให้จงได้
“ริณ...แม่เป็นฝ่ายหนีพ่อมา...พ่อไม่ได้ทิ้งพวกเรา...และ...พ่อไม่รู้ด้วยว่าแม่กำลังท้อง ตอนหนีพ่อกลับมาประเทศไทย...”
เจ้าของใบหน้างามที่มีเลือดผสมไทย-รัสเซีย สวยคมเข้มชนิดที่หนุ่มๆ เห็นแล้วต้องเหลียวหลังมองตาม ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ หัวสมองเต็มไปด้วยคำพูดของมารดา ที่เคยพร่ำบอกในยามเธอเอ่ยถามถึงบิดาในตอนเด็กๆ
‘คุณแม่คะ ทำไมไอริณไม่มีพ่อเหมือนคนอื่นๆ’
‘ทำไมไอริณไม่มีพ่อเดินจูงมือส่งไปโรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ’
‘แม่คะ ไอริณอยากให้พ่อมาดูไอริณแสดงละครที่โรงเรียน’
‘ทำไมพ่อไม่รักไอริณ’
นับร้อยๆ คำถามที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างไอริณ เพียรเฝ้าถามถึงบิดา และคำตอบที่ได้รับจากมารดาในทุกครั้งก็คือ...
‘อย่าถามถึงพ่อ...ผู้ชายคนนั้นเขาทิ้งแม่กับไอริณ’
‘พ่อไม่รับผิดชอบแม่ เขาไม่ต้องการพวกเรา เขาไม่ต้องการไอริณ’
‘เลิกถามถึงพ่อ ป่านนี้เขามีลูกเต็มบ้านไปแล้ว ต่อให้เขารู้ว่ามีไอริณเป็นลูก เขาก็ไม่มีทางสนใจหรืออยากรับไอริณไปอยู่ที่รัสเซียด้วย’
แม้จะถูกมารดาสั่งห้ามไม่ให้ถามถึงบิดา แต่ด้วยความอยากเห็นหน้าท่านสักครั้ง ไอริณก็ยังพร่ำถามไม่มีหยุด กระทั่งครั้งสุดท้าย เด็กน้อยถูกมารดาทำโทษด้วยการตีหลายครั้งถึงขั้นนอนซมจากพิษไม้เรียวไปหลายวัน
และนั่นก็ทำให้ไอริณเลิกถามถึงบิดาอีก พร้อมกับมอบความเกลียดชังให้กับท่าน เพราะเชื่อในคำพูดของมารดาที่เอ่ยบอกกับเธอเช่นนั้นตั้งแต่เล็กจนโต
ไอริณถึงกับทรุดตัวลงนั่งบนเก้า เอ่ยถามซ้ำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณพ่อไม่ได้ทิ้งพวกเรา คุณพ่อไม่รู้ว่าคุณแม่มีไอริณ”
“ใช่แล้ว ริณ แม่ต่างหากที่เป็นฝ่ายทิ้งพ่อมา...แม่หนีมาตอนท้องไอริณได้หนึ่งเดือน...”
ด้วยรู้ว่าตนเองทำผิดกับลูก ที่หลอกลูกให้จงเกลียดจงชังผู้เป็นพ่อในตลอดเวลา น้ำตาจึงไหลรินเป็นสาย พร้อมกันนั้นก็พยายามยกมือที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปจับมือเล็กของลูกมากุมไว้
“แม่ขอโทษ...ที่แม่โกหกริณ...ตลอดเวลา...”
ไอริณซับน้ำตาให้มารดา คลี่ยิ้มบางๆ โดยไม่ลืมบีบมือเล็กของมารดา ขณะเอ่ยบอกให้ท่านสบายใจ และไม่รู้สึกผิดกับการโกหกนานนับสิบๆ ปี
“ไม่เป็นไรค่ะ ไอริณไม่โกรธคุณแม่หรอกค่ะ คุณแม่คงมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น แค่รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้ทิ้งแม่กับไอริณไป ไอริณก็ดีใจแล้วค่ะ คุณแม่นอนพักนะคะ จะได้หายเร็วๆ เราจะได้กลับบ้านกันค่ะ”
แม้อยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต แต่พอเห็นมารดาหายใจหอบและแลดูเหนื่อยกว่าเดิม จึงอยากให้ท่านพัก
ผ่อนมากกว่าพูดถึงบิดา ที่เธอไม่เคยเห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว
บุษกรส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธลูกสาว “ไม่...ริณ เวลาของแม่เหลือน้อยเต็มทีแล้ว”
“โธ่...คุณแม่...อย่าพูดแบบนี้เลยนะคะ คุณแม่ต้องอยู่กับไอริณ อย่าทิ้งริณไปไหน”
หยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้า ขอบตาแดงก่ำร้อนผ่าว และไม่ว่าพยายามหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลรินมากเพียงใด หยาดน้ำตาก็ยังคงร่วงเผาะลงมาตามพวงแก้มขาวซีด นั่นก็เป็นเพราะรู้ว่ามารดามีเวลาอยู่กับเธอได้ไม่นาน ดั่งที่ท่านได้เอ่ยออกมา
“ริณ...ฟังแม่นะลูก...ไปตามหาพ่อ...ถ้าแม่ตายไปแล้ว...ริณต้องไปอยู่กับพ่อ...”
ไอริณส่ายหน้าปฏิเสธแทบจะทันที ที่ได้ยินคำสั่งเสียแกมขอร้องจากมารดา แค่เพียงนึกถึงความตายที่รอมารดาอยู่ อีกทั้งถ้อยคำของคุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ ซึ่งได้เอ่ยบอกเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้หยาดน้ำตาร่วงรินอย่างไม่อาจหักห้ามไว้ได้
‘คุณแม่ของคุณอาการทรุดลงมาก หมออยากให้คุณไอริณทำใจ คนไข้คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน...’
“ไม่ค่ะ...ไอริณจะไม่ไปไหนทั้งนั้น คุณแม่จะต้องหายดี คุณหมอบอกว่าอาการของคุณแม่ดีมากขึ้นแล้ว อีกไม่นานคุณแม่ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่ะ”
ไอริณหลอกมารดาและหลอกตัวเอง ทั้งๆ รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่นิดเดียว มารดาของเธอถูกโรคร้ายอย่าง ‘มะเร็ง’ ทำร้ายลามไปทั่วร่างกายแล้ว
“แม่คุยกับคุณหมอแล้วนะริณ...อย่าหลอกแม่เลย...แม่รู้ตัวเองดีว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน...”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยบอกเสียงแผ่วเบา ยกมือห้ามเมื่อไอริณทำท่าจะหลอกท่านอีกรอบ “ริณแม่ขอร้อง...ทำตามที่แม่ต้องการ ทำให้แม่ได้นอนตายตาหลับนะริณ...”
เมื่อไม่อาจโกหกมารดาได้ ไอริณจึงจำต้องพยักหน้ารับ เอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณแม่จะให้ริณไปตาม
หาคุณพ่อจริงๆ หรือคะ”