บทที่ 1
บทที่ 1
ร่างบางในชุดทำงานกลางเก่ากลางใหม่ ก้าวลงจากรถเมล์ แล้วเดินอย่างเร่งรีบเข้าไปในบริเวณของโรงพยาบาลท่ามกลางอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวในยามเที่ยงวัน
ทว่า...แสงแดดที่แผดเผา อากาศร้อนระอุที่แทบทำให้ผู้คนเป็นลมเป็นแล้งได้ ไม่ได้ทำให้ ‘ไอริณ’ ลดฝีเท้าในการก้าวเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งนี้
ในใจของไอริณร้อนรุ่มซะยิ่งกว่าไอแดด ใบหน้างามอมทุกข์ ดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยความหมองเศร้า ขณะนึกถึงคำพูดของพยาบาลที่ได้โทรศัพท์ไปหาเธอเป็นการเร่งด่วน
‘คุณไอริณคะ คุณแม่ของคุณอาการทรุดหนัก คุณหมอให้ตามตัวคุณเป็นการด่วนค่ะ’
“แม่...รอไอริณก่อนนะคะ ไอริณมาแล้วค่ะ...”
ไอริณเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กลืนก้อนสะอื้นจนปวดร้าวไปทั่วลำคอ หยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้า รีบเร่งก้าวเท้ายาวๆ เกือบเป็นวิ่งเข้าไปในบริเวณโรงพยาบาล แล้วตรงดิ่งไปยังลิฟต์ มือเล็กสั่นเทาอย่างระงับไว้ไม่อยู่ ขณะค่อยๆ เอื้อมไปกดหมายเลขชั้นที่มารดานอนรักษาตัวอยู่
จากชั้นล่างไปสู่ชั้นหกของอาคารแห่งนี้ เข็มนาทีเดินทางไม่ถึงสองนาที แต่ไอริณกลับรู้สึกว่าเนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์จนแทบทนรอไม่ไหว และทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกกว้าง ร่างบางก็พุ่งออกจากลิฟต์อย่างรีบเร่งจนแทบชนกับผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านหน้าลิฟต์
เจ้าของใบหน้าอมทุกข์ถลาเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนัก ตรงไปยังเตียงของมารดา มือเล็กที่สั่นเทาเอื้อมไปจับมือเล็กขาวซีดของมารดามากุมไว้ ขณะเอ่ยเรียกท่านด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณแม่คะ...ไอริณมาแล้วค่ะ...”
บุษกร ผู้เป็นมารดาเปิดเปลือกตาได้อย่างยากเย็น ค่อยๆ หันมามองใบหน้าของลูกสาว ริมฝีปากที่ซีดเซียว เผยอขึ้นเอ่ยเรียกลูกสาวเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน
“ระ...ริณ...ริณ...มา...แล้วหรือ...ลูก...”
“ค่ะ...ค่ะคุณแม่...”
ไอริณรับคำเสียงสั่นเครือ พยายามไม่ให้หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าหลั่งรินออกมา พร้อมกันนั้นก็พยายามฝืนยิ้มให้กับมารดาด้วย
“วันนี้ไอริณลาวันครึ่งวัน หนูจะมาอยู่กับคุณแม่นะคะ”
“ริณ...แม่มีเรื่อง...จะขอร้องริณ...”
ไอริณต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอให้ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นมารดาหายใจหอบ มีอาการเหน็ดเหนื่อยกว่าจะเอ่ยพูดจบ
“คุณแม่นอนพักก่อนนะคะ...อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ”
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ ค่อยๆ ยกมือเล็กแห้งเหี่ยวเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มาจับยึดต้นแขนของลูกสาวไว้ “ริณ...ให้แม่พูด...”
“ค่ะ..ค่ะ...”
ไอริณกลืนก้อนสะอื้นลงคอ รับคำตามคำขอร้องของมารดา ก่อนจะเอ่ยถามมารดาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด
“คุณแม่จะให้ไอริณทำอะไรคะ...”
“ไป...ไปตามหาพ่อ...”
ไอริณถึงกับนิ่งงันไปหลายนาทีกับคำขอร้องของมารดา พอตั้งสติได้ ก็เอ่ยถามในประโยคเดียวกันที่มารดาได้พูดออกมาในก่อนหน้านี้
“ไปตามหาคุณพ่อยังงั้นหรือคะ”
“ใช่...แม่อยากให้...ริณ...ไปตามหาพ่อ...”
“ทำไมไอริณต้องไปตามหาคนที่ทิ้งพวกเราไปด้วยคะ”
เมื่อพูดถึงบิดา น้ำเสียงก็เริ่มแข็งห้วน ริมฝีปากกัดเม้มเข้าหากัน เพื่อระงับความโกรธที่มีต่อบิดา ซึ่งตนเองไม่เคยเห็นหน้าตั้งแต่เกิด
“ริณ...ฟังแม่นะลูก...แม่...”
“ริณไม่อยากฟังเรื่องของเขาอีก คุณแม่พักผ่อนนะคะ”
ไอริณเอ่ยห้ามก่อนมารดาจะทันพูดจบ ขณะเดียวกันก็ประคองให้มารดานอนลงบนเตียงเหมือนเดิม ทว่า...มารดาหาได้ยอมไม่!
“แม่...แม่โกหกริณเรื่องพ่อ...”
แม้มารดาจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเท่าที่มีแรงอยู่ แต่กระนั้นไอริณก็ได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้หญิงสาวนิ่งงันไปหลายนาที
“โกหกเรื่องคุณพ่อ?”
ไอริณถามซ้ำ ใจหนึ่งก็อยากให้มารดาได้พักผ่อน เพราะเห็นได้ว่าท่านอ่อนแรงลงไปมาก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้เรื่องของบิดาเช่นเดียวกัน
“ใช่แล้วลูก...แม่โกหกเรื่องพ่อทั้งหมด...”
บุษกรพยายามเอ่ยพูด แม้รู้สึกได้ว่ากำลังหมดแรงไปทุกขณะ แต่กระนั้นก็บอกกับตัวเองว่าต้องบอกความจริงกับลูกให้ได้ และที่สำคัญนางต้องการขอร้องให้ลูกสาวทำบางสิ่งบางอย่างให้ เพื่อให้ตนเองนอนตายตาหลับ ไม่ต้องมีกังวลอีกต่อไป
“คุณแม่กำลังจะบอกไอริณว่า คุณพ่อไม่ได้ทิ้งพวกเราไปหรือคะ” เอ่ยถามไปแล้ว ไอริณก็กลั้นหายใจรอคอยคำตอบจากมารดา
บุษกรพยักหน้าช้าๆ รับคำ ก่อนจะเอ่ยย้ำว่า “ใช่แล้วริณ...พ่อไม่ได้ทิ้งพวกเราไป...แต่...แต่...แม่ต่างหาก...ที่เป็นฝ่ายหนีพ่อมา...”