บทนำ (2)
“ฉันก็อยากจะเข้าใจเหมือนกันนะสา แต่แกไม่ได้แข็งแรงเหมือนคนอื่นเขา จะให้ออกไปทำงานสมบุกสมยันได้ยังไง”
“แล้วใครบอกว่าฉันจะไปทำงานใช้แรงงานล่ะ ฉันจะไปสมัครเป็นพนักงานบัญชีต่างหาก” เสียงหวานโต้กลับด้วยความด้วยเสียงเบาหวิวอดไม่ได้ที่จะชำเลืองตามองดูเพื่อนสาวว่ามีปฏิกิริยาอะไรบ้าง นอกจากฝ่ายตรงข้ามจะเบ้ปากกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วยแล้วก็ไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ เห็นแบบนั้นเอก็ค่อยเบาใจหน่อย
“พนักงานบัญชี! โธ่ ๆ ๆ ยายสาผู้น่าสงสาร แกจะบ้าหรือไง! พนักงานบัญชีเนี่ยนะ ช่างคิดได้นะ แกไม่เห็นหรือไงว่าคนจบบัญชีมาเป็นร้อยเป็นพัน แกจะไปสู้คนพวกนั้นได้ยังไง ฉันว่าแกล้มเลิกความตั้งใจเถอะ อย่าพาตัวเองไปลำบากเลย”
“แล้วเธอจะให้ฉันทนเห็นพี่ตาลำบากหรืออัน ที่จริงเรื่องมันไม่ควรเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ ถ้าฉันไม่ขี้โรคพี่ตาก็ไม่ต้องเดือดร้อน ถ้าฉันแข็งแรงกว่านี้ พี่ตาก็คงจะ...”
“หยุดเลยแก! สต็อบ! แกอย่ามาดราม่าขั้นเบสิกใส่ฉัน ขอบอกว่ามันไม่ได้ผล” ใบหน้าคมเฉี่ยวที่แต่งหน้ามาแบบจัดเต็มรีบส่ายหน้าไปมาพลางยกมือขึ้นเบรกเพื่อนสาวที่กำลังโยนมาม่าใส่เธอชามใหญ่ มาม่ามันไม่อร่อยหรอกนะ กินจนอืดแล้ว
“ฉัน-แค่-อยาก-ทำ-งาน! ได้ยินไหมยายหนูอัน!”
“โอ๊ย! ฉันได้ยินแล้ว แกจะตะโกนทำไมเนี่ย! ฉันบอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่เห็นด้วย เพราะถ้าเกิดว่าพี่ตารู้เข้า ทั้งฉันและแกได้โดนเล่นงานหนักแน่ เวลาพี่ตาโกรธน่ากลัวจะตาย”
“ก็ได้ ถ้าเธอกลัวจะเดือดร้อน ฉันจะไปสมัครงานเองก็ได้ ฉันกลับก่อนล่ะ ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาของเธอ”
ว่าแล้วร่างเพรียวบางในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีฟ้าอ่อนก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าสวยหวานถูกฉาบไว้ด้วยความเย็นชา รอยยิ้มถูกเก็บมิดชิดจนใครหลายคนที่แอบชำเลืองมองมาแอบรู้สึกใจหายไม่ได้ ก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่ตัวต้นเหตุที่ทำให้นางฟ้าแสนสวยไม่พอใจ แววตากึ่งตำหนิแบบนั้นทำให้อังคณาแอบกลอกตาเซ็ง
นี่อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้ถูกยายตัวร้ายร่ายมนต์ใส่อีกแล้ว เธอผิดตรงไหนกัน คนพวกนี้มันสองมาตรฐานชัด ๆ เลย
“นั่งลงเดี๋ยวนี้เลย ฉันกับแกยังคุยกันไม่จบ” อังคณารีบรั้งตัวอีกคนก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินกลับออกไป
“มันจบตั้งแต่ที่เธอไม่คิดจะช่วยฉันแล้ว” วาริสาบอกเสียงเรียบ สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมช่วยเหลือเธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เธอยอมเสี่ยงที่จะถูกพี่ตาจับได้ ดีกว่ามานั่งนอนไปวัน ๆ มองดูพี่ตาทำงานเหนื่อยแทบไม่ได้หลับได้นอนโดยที่เธอช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เธอรู้ว่าตัวเองเป็นน้องสาวที่แย่มากเพราะฉะนั้นเธอก็ควรทำอะไรที่เป็นการแบ่งเบาภาระให้พี่ตาบ้าง
“โอเค ๆ ฉันยอมแล้ว แกชนะ นั่งลงได้แล้ว เราจะได้พูดกันให้รู้เรื่องสักที”
“ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง แล้วแน่ใจนะว่าจะช่วยฉัน” วาริสายังคงเล่นตัวต่างจากมุมปากที่ผุดยิ้มร้าย เมื่อเพื่อนสาวยอมร่วมมือกับเธอ
“ไม่แน่ใจมั้ง พูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องช่วยนั่นแหละ แกมันร้ายกาจ ยายสาเจ้าเล่ห์”
“ฉันขอน้อมรับคำชมด้วยความเต็มใจเลยล่ะ” รอยยิ้มของเธอขยับกว้างขึ้น หลังจากที่ได้ยินคำต่อว่าไม่จริงจังนักของอีกคน ร่างเพรียวบางทรุดลงนั่งอีกครั้ง ก่อนจะใช้ช้อนตักเค้กองุ่นส่วนที่เหลือเข้าปากอย่างสบายอารมณ์โดยไม่คิดสนใจใบหน้าบูดบึ้งของคนตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เธอยังต้องการอะไรอีก ขอแค่อังคณารับปาก ไม่ว่าอะไรที่เป็นไปไม่ได้ย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น
“จบงานนี้ฉันอาจจะถูกพี่ตาเชือด” กลีบปากสีแดงสดบ่นพึมพำ เริ่มนึกถึงภาพที่ตัวเอวถูกจับได้ หลังจากที่ตารู้ความจริง
“อย่างน้อยก็มีฉันเป็นเพื่อนอีกคนนะ”
“เงียบปากของแกไปเลย ยายตัวก่อเรื่อง”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ชอบสร้างความวุ่นวายเป็นตัวอันตรายเลยล่ะ” เธอสวนกลับพลางหัวเราะเสียงดังจนคนข้าง ๆ หันมามอง คราวนี้เธอไม่ได้เอ่ยปากขอโทษ เพียงแต่ส่งยิ้มกลับไปให้เท่านั้น แล้วก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่พวกเขามักจะเผลอยิ้มตอบกลับมา
“ยายปีศาจ”
“ก็ฟังดูไม่เลว แล้วเรื่องของเธอเป็นยังไงบ้างหนูอัน ฉันเห็นข่าวอื้อฉาวในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ ทำไมคนพวกนั้นถึงได้เล่นข่าวเธอหนักนักล่ะ เดี๋ยวก็เด็กเสี่ย เดี๋ยวก็ใช้เต้าไต่ นับวันข่าวก็ยิ่งแรงนะ ไม่คิดจะตามไปแก้บ้างเหรอ”
“ฉันทำแล้ว แต่มันมีพวกที่ไม่ชอบหน้าฉัน แล้วก็ต้องการดิสเครดิตฉันก็เลยไม่จบไม่สิ้นสักที ยายพวกนั้นคงต้องการถีบฉันให้กระเด็นออกจากวงการนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปข่าวก็ซาลงเอง”
“แล้วถ้าพวกนั้นไม่ยอมเลิกราล่ะ เธอจะทำยังไง”
“ก็ต้องเอาคืนน่ะสิ ถามได้ คนอย่างฉันไม่ยอมปล่อยให้ใครมาเล่นงานได้ง่าย ๆ หรอก แล้วถ้าจะต้องตกต่ำก็จะลากไอ้คนที่มันทำให้ฉันต้องพบกับจุดจบนั้นลงมาด้วย”
“ฉันไม่ชอบเลยที่เธอพูดแบบนี้ แต่ก็แอบเห็นด้วยอยู่นะกับความคิดของเธอ”
“เหอะ มีแต่คนตาถั่วเท่านั้นแหละที่มองว่าแกเป็นคนดี ยายเจ้าเล่ห์ ฉันจะฟ้องพี่ตาว่าแกหนีออกไปทำงาน” อังคณายื่นหน้าเข้ามาขู่เสียงเหี้ยม
“งั้นฉันก็จะลากเธอไปรับโทษด้วยกัน”
“ย่ะ ใช่สิ ฉันกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วนี่! แกจะใช้ หรืออยากจะสั่งอะไรก็ว่ามาเลย ฉันพร้อมรับคำสั่งของแกทุกอย่างแล้ว”
“ทำเป็นพูดเล่นไปได้ ฉันกำลังซีเรียสนะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ตอนนี้ฉันมีบริษัทที่อยากเข้าทำงานแล้วอยู่สามแห่ง พรุ่งนี้เธอไปสมัครงานเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ถ้าได้แห่งใดแห่งหนึ่งในสามบริษัทนี้ก็จะดีไม่น้อยเลย”
“ขออวยพรให้แกโชคดีล่วงหน้า”
“ประชดหรือว่าจริงใจเนี่ย” วาริสาถามเสียงสูงพลางหัวเราะอย่างขำขัน เมื่อเพื่อนสาวปรายตามองพลางทำปากยื่นอวยพรเธอ
“แล้วแต่จะคิดสิ ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะถือว่านั่นเป็นคำอวยพรที่ออกมาจากความจริงใจนะไม่ใช่การประชด นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ฉันจะต้องกลับบ้านก่อนน่ะ เธอจะไปอยู่นั่งเล่นด้วยกันก่อนไหม”
“หือ? อือ ก็ดีเหมือนกัน ฉันกำลังคิดว่าจะไปรื้อห้องแกอยู่พอดีจะดูซิว่าช่วงนี้มีอะไรแปลกปลอมเข้าไปแอบซ่อนอยู่หรือเปล่า สมองแกถึงได้ผิดเพี้ยนไปหมดแบบนี้” อังคณาแกล้งว่าเสียงจริงจังพลางขมวดคิ้วเข้าหากันจนดูน่ากลัว หากแต่ในสายตาของเธอกลับคิดว่ามันดูน่าตลกมากกว่า อังคณาดูไม่เหมาะกับการทำหน้าแบบนี้หรอก
“ไปกันเถอะ”
เมื่อตกลงกันได้ สองสาวก็ลุกออกจากที่นั่งเดินตรงออกจากร้าน แต่ทันทีที่เปิดประตูออกไป ร่างของวาริสาก็ชนเข้าร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยสัดส่วนที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ร่างของเธอกระเด็นเซถอยหลังไปหลายก้าว ดวงตาหวานซึ้งฉายแววตกใจออกมา ขณะที่เสียงใสกังวานหวีดร้องแผ่วเบาในลำคอ ในช่วงจังหวะที่กำลังจะล้มลงกับพื้นกลับมีมือคู่หนึ่งยื่นมาจับแขนเธอไว้ ก่อนจะออกแรงกระชากดึงร่างเพรียวบางให้หลุดพ้นจากการล้มลงกับพื้นมาตกสู่อ้อมกอดของเสือร้ายที่ใคร ๆ ต่างหวาดกลัว
หมับ!
“โอ๊ย!”
แรงปะทะทำให้เสียงหวานหลุดร้องด้วยความเจ็บ วาริสาถึงกับนิ่วหน้ารู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก เมื่อร่างกายท่อนบนอัดกระแทกกับแผงอกกำยำแข็งกร้าว ทำเอาดวงตาวาวหวานมีน้ำตาเอ่อคลอ เธอกัดริมฝีปากพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา