บทย่อ
เรื่องที่ 2 ของเซ็ต ต่อจาก รสรักล่าสวาท ‘เดโรครอป เบรค’ นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อนวัย 35 ปี ‘วาริสา ลัคนานันท์’ สาวหวานท่าทางไร้เดียงสาวัย 22 ปี การปลอมตัวเข้ามาทำงานในบริษัทดูจะไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป เมื่อเจอเจ้านายหนุ่มหัวดื้อ ใจร้อน ขี้บ่น ดุดันราวกับเสือ แถมยังจ้องจะเขมือบเธอลงท้องเกือบทุกเวลาคอยรังควานไม่เลิก ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจมีแต่จะทำให้เขาหงุดหงิดใจอยู่เสมอ แต่เมื่อเธอมีเหตุจำเป็นให้ต้องถอยหนีเขากลับตามมาง้อ ตามมาออดอ้อนอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่น่าจะทำได้ และไม่น่าที่จะต้องเป็นเขา... “หนีไปไหนมา รู้ไหมว่าฉันคิดถึงเธอแค่ไหน คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก คิดถึงจนแทบคลั่ง เธอทำให้ฉันเหมือนเป็นบ้า ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกโหวงเหวงในใจจนไม่เป็นอันทำอะไร เธอใจร้ายมากยายหน้าหวาน ใคร ๆ ก็บอกว่าเธอเป็นนางฟ้า แต่สำหรับฉัน ฉันรู้สึกว่าเธอไม่ต่างจากนางปีศาจ เป็นยายตัวร้ายที่สมควรได้รับการลงโทษ” “ลงโทษงั้นหรือคะ คุณบีจะลงโทษอะไรสา สาทั้งตัวเล็ก ทั้งบอบบางออกอย่างนี้ อย่าลงโทษสาเลยนะคะ สากลัวแล้วค่ะ” “เฮอะ อย่ามาทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอออกมาเดี๋ยวนี้ เธอไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลาที่เธอหายตัวไป ฉันทรมานแค่ไหน ในเมื่อเธอกลับมาแล้วฉันก็จะลงโทษเธอ จะกอดรัดเธอเอาไว้อย่างนี้” “อุ๊ย! จะทำอะไรน่ะคะ” เสียงหวานร้องอุทานอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะยิ้มตาหวานส่งให้พ่อคนเลือดร้อนที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะร้อนไปหมดทั้งตัว เปลือกตาบางหลุบลงเก็บซ่อนดวงตาขบขันเอาไว้ แต่ไม่นานก็ถูกนิ้วร้ายตามมาเชยขึ้นจ้องเขม็งมองดวงตาคู่นั้นอย่างฉุนโกรธ “สาเห็นความทรมานของฉันเป็นเรื่องตลกงั้นเหรอ นับวันยิ่งร้ายใหญ่แล้วนะ แบบนี้ต้องถูกลงโทษ” “อุ๊ย! อะไรคะ เดี๋ยวสิ คุณกับสายังพูดกันไม่จบเลยนะ” เธอเอ็ดเสียงหวานก่อนเบียดกระแซะร่างเข้าหา ความอบอุ่นร้อนระอุของเขาทำให้ร่างกายเธอร้อนรุ่มก็จริงแต่ก็รู้สึกปลอดภัยจนไม่อยากผละออกห่าง อยากจะอยู่ในอ้อมแขนนี้ตลอดไป “อย่าทิ้งฉันอีกนะ ฉันไม่อยากเป็นม่ายตอนแก่” “ค่ะ สาจะทิ้งคุณไปได้ยังไง ในเมื่อหัวใจสาอยู่ตรงนี้ ยอมให้ถูกลงโทษเลยค่ะ...เท่าที่คุณจะต้องการ” ทันทีที่ได้รับคำอนุญาตพ่อเสือตัวโตก็กระโจนเข้าใส่ยายหน้าหวาน เสียงหัวเราะทุ้มห้าวผสานกับเสียงหวานสดใสเป็นท่วงทำนองไพเราะน่าฟัง ดวงตาสองคู่สบประสานกันบอกเล่าเรื่อง ราวและส่งต่อความรู้สึกที่มีต่อกันผ่านแววตา ถึงจุดเริ่มต้นจะไม่ได้สวยหรู ติดจะหมั่นไส้แกมกระแหนะกระแหนอีกฝ่าย แต่มาในวันนี้เขากลับรักเธอหมดใจ จากที่จ้องจับผิดก็เริ่มจ้องด้วยความหลงใหล ใส่ใจ และกลายเป็นความรักในที่สุด #ทยอยอัพเรื่อย ๆ แต่งใกล้จบแล้วค่ะ และมีเรื่องที่ 3 ของเจเรมี่กับอังคนา ฝากติดตามค่ะ
บทนำ (1)
วาริสาตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าสดใสพลางยิ้มรับกับเช้าวันใหม่ที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ ในวันนี้เธอมีนัดกับอังคณาเพื่อนสาวคนสนิทที่ตามกันมาจากเมืองไทย อังคณาเป็นคนอัธยาศัยดี ทั้งยังรอบรู้ ฉลาดเฉลียว และเก่งกาจในทุก ๆ ด้าน เป็นเพื่อนที่เธอสนิทด้วยมากที่สุดเพราะครอบครัวของเราสองคนรู้จักกันมาก่อนทำให้รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วหลังจากที่เกิดเรื่องในครั้งนั้นเธอและพี่ตาก็ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสโดยที่เธอเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงปารีส
เนื่องจากตัวเธอเป็นโรคหัวใจมาแต่กำเนิดทำให้ทุกคนในครอบครัวพากันประคบประหงม คอยดูแลและห่วงใยอยู่ไม่ห่าง จนเมื่อกระทั่งพ่อกับแม่เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุ เธอก็ได้รับการดูแลจากพี่ตาอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้เธอกับพี่ตาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นบ้านเดี่ยวกะทัดรัดน่ารัก มีห้องนอนสองห้อง มีห้องน้ำในตัว ห้องครัว และห้องนั่งเล่นที่สามารถใช้รับแขกได้ ด้านหน้าของบ้านมีสวนดอกกุหลาบขาว รั้วไม้สูงแค่ระดับเอวล้อมรอบ ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักและดูอบอุ่นในสายตาเธอ
อาชีพของเธอในแต่ละวันก็คือการนั่งถักไหมพรม ทำของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปฝากขาย เป็นของแฮรนด์เมดทำมือ อาศัยรายได้นิด ๆ หน่อย ๆ อยู่รอดไปวัน ๆ แต่มันติดเรื่องค่ารักษาพยาบาลของเธอในแต่ละเดือนที่ราคาสูงลิบลิ่วจนพี่ตาต้องทำงานหาเงินยุ่งจนหัวหมุนไปหมด เธอรู้ว่าพี่ตาเหนื่อยแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยหลุดปากพูดออกมา เธอเองก็พยายามจะแบ่งเบาภาระบ้าง ทั้งยังเคยเอ่ยปากขอออกไปทำงานข้างนอกช่วยพี่ตาอีกแรงแต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา
ลำพังแค่ค่ากินค่าอยู่ก็ไม่หนักหนาอะไรหรอก แต่มาหนักตรงค่ายาของเธอในแต่ละเดือนนี่สิ เธอถึงต้องแอบมาหางานทำโดยนัดแนะเพื่อนสาวมานั่งที่ร้านเบเกอรี่หน้าปากซอยเพื่อขอความช่วยเหลือ
“อะไรนะ! แกจะออกไปทำงาน?!” แต่ทันทีที่พูดออกไป เสียงร้องอุทานของอีกฝ่ายก็ดังลั่นเรียกสายตาของลูกค้าในร้านเบเกอรี่ให้หันกลับมามองทางพวกเราเป็นสายตาเดียว สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจปนตำหนิที่พวกเธอส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น จนวาริสาที่เห็นแบบนั้นต้องรีบเอ่ยปากขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ขอโทษค่ะที่พวกเราส่งเสียงดังรบกวน ขอโทษด้วยนะคะ” ดวงหน้าสวยหวานรีบผงกศีรษะลงเป็นการแสดงความขอโทษ แต่ที่ทำให้ทุกคนเผลอพยักหน้าลงไม่เอาความอย่างงง ๆ เห็นจะเป็นรอยยิ้มอ่อนหวานที่แสดงออกถึงความจริงใจ เป็นรอยยิ้มเย็นตาที่พอพวกเขาเห็นแล้วก็พลอยรู้สึกเย็นใจไปด้วย ใครกันจะกล้าโกรธนางฟ้าผู้มีดวงตาหวานซึ้งตรึงใจตรงหน้าได้ ต่อให้เธอทำผิดก็มองว่าถูกเสมอ
“แกกำลังหาเรื่องโปรยเสน่ห์ใส่คนอื่นอยู่นะ ยายตัวร้าย” เสียงกระซิบกระซาบของอังคณาเต็มไปด้วยความหมั่นไส้พร้อมกับมุมปากที่บิดเบ้เล็กน้อย เธอมองไปยังคนหน้าหวาน แล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ ยายสามีหน้าตาเป็นอาวุธจริง ๆ ไม่สิ อันที่จริงต้องเรียกว่ารอยยิ้มเป็นอาวุธต่างหาก เผยยิ้มออกมาทีไร คนพากันรักกันหลงทุกที
“ยายตัวแสบอย่างเธอมีสิทธิ์มาว่าฉันด้วยเหรอ ยายหนูอัน” ส่วนวาริสาก็สวนกลับไปด้วยรอยยิ้มเลศนัย ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับฉายแววเจ้าเล่ห์มองฝ่ายตรงข้ามอย่างรู้ทัน
“มีสิยะ คนสวยว่าได้ ไม่ผิดกฎหมายย่ะ”
“ก็จริงที่คนสวยว่าได้ แต่ถ้าว่าไม่ถูกที่ถูกเวลา ระวังคนสวยจะโดนจับเอานะ” วาริสาหยอกกลับพลางหัวเราะในลำคอกับความมั่นใจเกินร้อยที่ดูจะเกินลิมิตไปสักหน่อยของเพื่อนสาว สักพักเธอก็ได้รับเสียงแค่นหัวเราะตอบกลับมาพร้อมกับดวงตาคมสวยที่ตวัดมองอย่างเชือดเฉือน
อังคณากำลังใช้ความคิดอย่างหนักถึงวิธีการหลบหลีกการจับผิดของพี่ตา หลังจากที่ได้รู้ว่ายายตัวร้ายคิดจะทำอะไร เธอก็หวั่นใจจนนั่งเก้าอี้แทบไม่ติดพื้น นี่ถ้าพี่ตารู้เรื่องนี้เข้า เธอยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และในฐานะที่เธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคงมีสภาพศพไม่สวยสักเท่าไหร่ เธอเองก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่ถ้าไม่ช่วยยายตัวร้ายคงได้ก่อเรื่องขึ้นมาอีกแน่
“แน่ใจนะว่าอยากทำงานจริง ๆ” เพื่อป้องการข้อผิดพลาดที่เกิดจากการฟังผิด หูเพี้ยน หรือว่าสมองประมวลคำพูดสับสน อังคณาจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยใบหน้าจริงจัง ทำเอาวาริสาถึงกับผุดยิ้ม ถึงภายนอกอังคณาจะเป็นผู้หญิงร้าย ๆ แรง ๆ แต่ภายในก็เป็นคนอ่อนโยนคนหนึ่งและมักใจอ่อนให้กับเธอเสมอ
“แน่ใจสิ ฉันเรียนจบแล้วนะอัน ฉันก็อยากทำงานเหมือนคนอื่น ไม่ใช่ร่ำเรียนมาออกสูงแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ฉันไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าที่ต้องคอยพึ่งพาพี่สาวอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าให้ไปขอพี่ตาโดยตรงก็คงเป็นเหมือนทุกครั้ง โดนปฏิเสธกลับมาอีกตามเคย”
“ก็แล้วถ้ารู้อย่างนั้นจะทำไปทำไม อยู่สบายดี ๆ ไม่ชอบเหรอย่ะ ชอบลำบากว่างั้นเถอะ” อังคณาแอบประชดประชันใส่
“เธอไม่เข้าใจ...เฮ้อ ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย”
ใบหน้าหวานสลดลงด้วยความเศร้าใจ ขณะที่ริมฝีปากอมชมพูเม้มแน่น วาริสาแสร้งหันหน้าเมินหนีไปทางอื่นราวกับไม่ต้องการพูดกับเพื่อนสาวอีก ถ้าแม้แต่อังคณายังไม่ยอมช่วยแล้วเธอก็คงจนปัญญาที่จะออกไปผจญภัยข้างนอก ถ้าคิดอยากจะทำงานอังคณาก็นับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดแล้ว ไหนจะต้องปกปิดพี่ตา ไหนจะต้องคอยหลบหลีกไม่ให้บังเอิญเจอกันข้างนอกอีก
แล้วถ้าให้ไปขอพี่ตาตรง ๆ ก็คงไม่ยอมแน่ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าพี่ตาจะทนได้แค่ไหน ถึงงานแต่ที่ทำแต่ละอย่างจะไม่หนักหนาอะไรแต่ก็เยอะแยะจนเธอเห็นแล้วยังอดรู้สึกเหนื่อยใจแทนไม่ได้เลย