บทที่แปด ...เพียงแค่เรา (๒)
“กินเยอะๆ เลยนะ มันอร่อยมาก” พยักพเยิดให้กินแต่พสุธาก็เมินมันแล้วตักอย่างอื่นแทนจนร่างบางทำหน้าหงอยลง
“เที่ยงนี้อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวฉันทำให้” คนตัวเล็กกระตือรือร้นแต่ดูคนที่นั่งตรงข้ามจะกินไปมองบรรยากาศไปราวกับไม่มีใครอีกคนอยู่ด้วย
“ไอ้ดิน! ไม่กินก็ไม่ต้องกิน เอาไปทิ้งมันให้หมดเลย” ในที่สุดก็ทนไม่ได้หยิบจานอาหารที่อุตส่าห์ตั้งใจทำอยู่นานจะไปเททิ้ง จนคนที่แกล้งเมินตาโตรีบวิ่งเข้าไปกอดรัดภรรยาเอาไว้เสียก่อน
“อย่าๆๆ อย่าทิ้งเลย กินจ้ะ ทำอะไรให้กินก็กินหมดเลย เมื่อกี้ล้อเล่นเฉยๆ ไม่งอนนะคนดี ไม่งอนนะ”
“ปล่อยเลยนะ ปล่อย” ดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดแต่อีกฝ่ายก็รัดแน่นเหลือเกินก่อนจะยื่นหน้ามาหอมเธอเสียฟอดใหญ่
“ดีกันนะครับคนดี ไม่โกรธเลยเมื่อคืนไม่โกรธหรอก”
“ไม่โกรธจริงหรือ” พยักหน้ารัวเร็วหอมแก้มดาริกาอีกข้างอย่างเท่าเทียมจนเธอต้องหันหน้ามาดุเสียงดัง “พอได้แล้วแก้มช้ำหมด” ยกมือขึ้นมาปัดแก้มทั้งที่อมยิ้มมุมปาก พยายามหลบไม่ให้เห็นว่าเธอเองก็มีความสุข
“ตกลงตอนนี้เราดีกันแล้วใช่ไหม” จับคนตัวเล็กให้หันหน้ามาสบตากัน แววตาคมมีประกายเว้าวอนจนเธอโกรธไม่หลงหรือที่จริงแล้วไม่มีเรื่องอะไรให้โกรธมากกว่าจึงพยักหน้าบอกโดยไร้เสียงพูด
“เพราะฉะนั้นเราก็มาฮันนีมูนกันต่อดีกว่า” ว่าจบก็จับใบหน้าหวานมาจูบทันทีอย่างไม่รีรอ ความหวานของร่างบางยิ่งทำให้เตลิดหลังจากรอมานานถึงหนึ่งวันวินาทีนี้เขาจะไม่รออีกต่อไปเหลือเวลาอีกแค่สี่วันเชื่อเถอะว่าจะไม่ปล่อยเธอห่างกายเป็นแน่ ดาริกาจะต้องนอนครางใต้ร่างเขาหรือไม่ก็อยู่บนควบเขาแล้วร้องเสียงเร่าร้อน แค่คิดก็ฟินแล้วจะต้องทำให้มันเป็นจริงตั้งแต่ตอนนี้ไป
“ทำอะไร” ถามเสียงสั่นเมื่อเขาอุ้มเธอขึ้นท่าเจ้าสาวพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์จนใจดวงน้อยสั่นไหว
“ภารกิจพิชิตเธอ” ยักคิ้วอย่างหล่อเหลาพาเธอเดินเข้าห้องไปก่อนที่จะได้ยินเสียงครางสนั่นของหญิงสาวสลับกับเสียงทุ้มที่ดูเหมือนจะเร่าร้อนจนน้ำในทะเลระเหยขึ้นฟ้า กระท่อมกลางน้ำกลายเป็นสถานที่พักผ่อนที่แท้จริงเพราะหลังจากนั้นอีกสามวันทั้งสองก็แทบไม่ได้ออกมาเหยียบผืนทรายหรือแตะน้ำทะเลเพราะกิจวัตรส่วนมากจะอยู่ในห้องนอนมากกว่า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีหมู่ดาวมากมายมองขึ้นไปก็เห็นเป็นกลุ่มดาวต่างๆ ทางดาราศาสตร์ แต่ผู้ที่ไม่รู้จักหมู่ดาวและไม่อินกับเรื่องพวกนี้อย่างดาริกากลับมองไม่ออกว่ามันเป็นรูปต่างๆ ได้อย่างไร เธอจึงทำเพียงแค่นอนมองความสวยงามของแสงดาวและฟังเขาพรรณนาถึงหมู่ดาวมากมาย
“ถ้าเรามีลูกกันฉันจะให้ชื่อว่าวีนัส เนปจูน พลูโต จูปิเตอร์ อะพอลโล โพไซดอน” ดูเหมือนว่าอีกคนจะร่ายยาวแบบไม่มีทีท่าจะหยุดจึงต้องเบรกเอาไว้ก่อน
“พอได้แล้วดูตั้งชื่อมาแต่ละคนไม่สงสารตอนลูกเข้าโรงเรียนหรือไง อีกอย่างใครจะไปมีลูกเยอะแยะขนาดนั้น ประสาท” พสุธาหันมองหน้าภรรยาก่อนจะรั้งตัวเธอมากอดแน่น ทั้งสองมานอนมองดาวด้วยกันที่ระเบียงนั่งเล่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วก่อนจะกลับวันพรุ่งนี้ดาริกาจึงชวนพสุธามานอนดูดาวไม่เช่นนั้นร่างเธอได้นอนระบมเพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่ปรานีเธอเลย
“มีเยอะสิดี มันแสดงถึงความร่ำรวยของเรา ที่รักฟังนะฉันตั้งใจจะมีลูกสักหกคนเป็นอย่างน้อย เอาเป็นแฝดหญิงสองแฝดชายสองอีกสองก็ชายหญิงก็ได้เวลาจับแต่งตัวจะได้เป็นทีมหน่อย แล้วดูจากหน้าเธอและหน้าฉันลูกเราต้องออกมาหล่อสวยแน่นอน” ยิ้มภูมิใจกับอนาคตครอบครัวตนเองไม่ต่างจากดาริกาที่มีความสุขเมื่อพูดเรื่องลูก เธอแอบหวังลึกๆ ว่าลูกจะเป็นโซ่ทองคล้องใจไม่ให้เขาหนีไปจากตนได้
“แล้วชื่อลูกก็เอามาจากดวงดาวทั้งนั้น มีแค่อะพอลโลเป็นเจ้าแห่งดวงอาทิตย์กับโพไซดอนเจ้ามหาสมุทรเป็นที่ที่พ่อกับแม่ได้เสียกัน” คำพูดของเขาทำให้เธอต้องตีแขน
“พูดจาน่าเกลียด”
“อ้าว น่าเกลียดตรงไหน พูดซอฟต์สุดๆ แล้วนะ” เหนื่อยจะต่อความอะไรกับเขาอีกจึงนอนมองดาวอย่างเดียว พสุธาใช้แขนเป็นหมอนหนุนให้ภรรยาแล้วลูบไหล่เนียนด้วยความสุข
“คืนสุดท้ายแล้วเรามาเต้นรำกันไหม” อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเสียงเพลงท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้
“เต้นได้ยังไง โทรศัพท์เปิดเพลงหรือวิทยุก็ไม่มี” หันมาถามอย่างสงสัยแต่พสุธาไม่รอช้าลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนไม่นานก็มากับพร้อมโทรศัพท์ของตนเอง
“มา ฉันเตรียมเพลงเรียบร้อย” เปิดเลือกเพลงเสร็จเสียงดนตรีช้าๆ ก็คลอขึ้นมาเข้ากับบรรยากาศตอนนี้เสียเหลือเกิน ร่างสูงเดินไปหยุดตรงหน้าดาริกาโค้งให้เธอแล้วยื่นมือไปตรงหน้า มองดวงตากลมโตด้วยประกายหลงใหล
ร่างบางมองมือหนาก่อนตัดสินใจวางมือเธอลงไป พสุธายิ้มออกมาดึงเธอเข้ามาเต้นรำท่ามกลางแสงดาวและกลิ่นอายทะเล ดวงตาสบกันต่างบอกเล่าความรู้สึกต่างๆ ก่อนจะหวนคิดไปถึงเมื่อครั้งยังอยู่มัธยมศึกษาปีที่ห้าเรียนวิชาพละแต่อาจารย์สอนการเต้นรำในคลาสนั้น
“โอ๊ยดาว แกเหยียบเท้าฉันอีกแล้วนะ” คนไม่ถนัดอย่างดาริกาได้แต่หน้าเสียแล้วเอ่ยขอโทษเพื่อนสนิท
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็มันยาก” การเต้นรำเป็นสิ่งที่ห่างจากเธอมากให้เรียนคำนวณทั้งวันเสียยังจะดีกว่า ลอบมองเพื่อนคู่อื่นเห็นเต้นเสียพลิ้วพอมาดูตนเองก็สงสารพสุธาที่ได้คู่กับเธอ
“ไม่เป็นไร เอาใหม่นะ” ใบหน้าหล่อยิ้มเป็นกำลังใจแล้วตบไหล่บางเบาๆ สอนดาริกาเต้นอย่างช้าๆ เพราะเขาถูกพ่อส่งไปเรียนเต้นรำเพื่อเข้าสังคมจนเจนจัดในเรื่องนี้แล้ว
“ขอโทษนะที่ฉันเป็นคู่ไม่ได้เรื่อง” รู้สึกผิดจนโทษตนเองพลางมองหน้าแต่พสุธากลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“เพิ่งเคยเห็นแกทำหน้าหงอยแบบนี้ ถึงแม้แกจะเป็นคู่ที่ไม่ได้เรื่องก็ไม่เป็นไรหรอก ใครมันจะไปเก่งได้ทุกทางล่ะ อย่างฉันยังโง่คณิตจนต้องขอลอกการบ้านแกทุกเช้าเลย อย่าคิดมากแค่สนุกไปกับมันก็พอ” คำพูดนั้นปลอบปะโลมเธอได้เป็นอย่างดีไม่ต่างจากตอนนี้ที่พสุธานำเต้นเพราะรู้ว่าเรื่องนี้เธอห่วยแค่ไหน
“ไม่ต้องกลัวเหยียบเท้าฉันหรอก แค่ปล่อยอารมณ์ไปตามเพลงตามความรู้สึก” ราวกับเข้ามานั่งในใจของเธอทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น
“ถ้าฉันเหยียบเท้านายก็ขอโทษนะ”
พสุธาส่ายหัวพลางยื่นหน้ามากระซิบข้างหู
“ถ้าเธอเหยียบเท้าฉันจะต้องจ่ายค่าเสียหาย” แววตากลมมีความสงสัย
“จ่ายยังไง”
“ก็จ่ายด้วยจูบแบบนี้ไงล่ะ” พูดจบก็จับมือเธอมาคล้องคอตนเองก้มลงจูบริมฝีปากบางอย่างอ่อนหวาน ไล่เล็มริมฝีปากเธอช้าๆ อ้อยอิ่งราวกับกลัวความหวานจะหายไปแล้วสอดลิ้นเข้าไปหยอกเอินกับเธอดุนดันไม่ยอมกันก่อนจะหัวเราะพร้อมกัน
“ศิษย์เรียนรู้เร็ว” เอ่ยชมในขณะที่ปล่อยให้ริมฝีปากเธอเป็นอิสระ
“ก็มีอาจารย์ดีไง” อาจจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ดาริกาเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบเขาก่อนโดยไม่เขินอายสร้างความแปลกใจให้สามีหนุ่มแต่พสุธาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปจูบตอบเธออย่างเท่าเทียม ท่ามกลางท้องฟ้าที่มีหมู่ดาราและผืนน้ำสีครามทั้งสองแทบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นนอกจากกันและกัน...