บทที่ห้า ...เล่นงานลับหลัง (๒)
“ที่รักจ๊ะ การแต่งงานถ้าให้สมบูรณ์แบบเราก็ต้องไปฮันนีมูนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ใต้แสงเทียนแสงดาวสิ” อันที่จริงก็รู้แต่ดาริกาไม่เห็นถึงความสำคัญที่จะต้องไป เธอคิดว่ามันเสียเวลา ไปหลายวันงานก็ต้องลางานขาดรายได้อีก
“ไม่อยากไป นายไปเลย” พอเจอภรรยาตอบแบบนี้สามีก็งงตาแตกเลย ไปฮันนีมูนคนเดียวอย่างนั้นหรือ ให้นอนกอดหมอนข้างหรืออย่างไร
“ได้ไงล่ะ มันคือฮันนีมูนสามีภรรยานะให้ไปคนเดียวฉันก็เปลี่ยวใจแย่” ข้าวบนโต๊ะเริ่มไม่อร่อยสำหรับพสุธาแล้ว เพราะจะพูดอย่างไรภรรยาก็ไม่มีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเลย เธอยืนกรานที่จะไม่ไปฮันนีมูน ทุกครั้งเขามักจะตามใจแต่ครั้งนี้ไม่ได้ อย่างไรเธอก็ต้องไปฮันนีมูน
“ลางานก็เสียรายได้ไม่เอาด้วยหรอก” อีกอย่างเธอยังไม่ชินกับความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา กลัวที่จะอยู่ใกล้พสุธาแล้วทำให้ขาดเขาไม่ได้แค่ทุกวันนี้อีกฝ่ายไปรับส่งไม่ขาดทั้งยังพูดออดอ้อนให้เธอใจอ่อนก็ต้านทานไม่ไหวแล้ว หากให้ใกล้มากกว่านี้กลัวว่าวันหนึ่งต้องเสียเขาไปคนที่เจ็บจะเป็นเธอ
“คุณพ่อครับ ดูลูกสาวคุณพ่อสิ” เมื่อไม่ได้ผลก็ต้องหาตัวช่วยซึ่งคงไม่พ้นคุณเนติธร ท่านสะดุ้งแล้วยิ้มแหยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของสามีภรรยา อีกทั้งลูกสาวยังส่งสายตากดดันมาให้อีก กระแอมเบาๆ แล้วรวบช้อนดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว
“ตกลงกันเองแล้วกัน พ่ออิ่มแล้ว ขอตัว” หยิบผ้ามาเช็ดปากแล้วลุกขึ้นออกจากโต๊ะอาหารที่กลายเป็นสมรภูมิย่อมๆ ไม่ขออยู่ต่อดีกว่าหนีเอาตัวรอดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“อย่างไรก็ช่าง ฉันไม่ไปแน่”
“เธอต้องไป ครั้งนี้ฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย” ยืนกรานหนักแน่น ด้วยวางแผนเอาไว้เสียดิบดีจะมาล่มเพราะภรรยาไม่ยอมไปด้วยไม่ได้
“หรือเธอจะให้ฉันไปกับคนอื่น” พูดเท่านั้นมือบางก็วางช้อนส้อมลงเสียงดัง นัยน์ตาโตแข็งกร้าวพร้อมขย้ำคนตรงหน้าได้ทันทีทำเอาพสุธาอยากตบปากตัวเองร้อยที สร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวแล้วไหมล่ะไอ้ดิน
“ลองดูสิ” เป็นสามพยางค์ที่ทำให้ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มาแบบนี้ก็ไม่ขอสู้ทำเพียงยิ้มหวานหวังลดไฟในดวงตาเธอได้
“ไม่จ้ะ ล้อเล่นเฉยๆ ไม่ไปก็ได้จ้ะ” ในที่สุดสามีก็ต้องยอมเธอเพราะไม่อยากทะเลาะกันให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต “แค่นี้ก็จบ” ไม่เคยเลยสักครั้งที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองจะตกอยู่ในอุ้งมือใครสักคนแต่ตอนนี้ประจักษ์แล้ว เหมือนตนเองอยู่ในกำมือของดาริกาจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ทำอะไรไม่ได้เลยเธอช่างเป็นคนกำหนดชะตาเขาโดยแท้
หลังทานข้าวเย็นเสร็จก็ลาคุณเนติธรขับรถกลับคอนโด ระหว่างทางดาริกาก็หลับเหมือนเดิมปล่อยพสุธาขับรถไปด้วยความเงียบแต่นั่นก็ทำให้คิดอะไรขึ้นมาได้ ฮันนีมูนที่วางไว้จะต้องไม่ล่ม ภรรยาไม่ยอมแต่โดยดีก็ต้องใช้ตัวช่วยเสียหน่อย
ผ่านไปสองสัปดาห์โดยที่สองสามีภรรยาแทบไม่มีเวลาให้กันไม่มีช่วงข้าวใหม่ปลามันทั้งสิ้น เพราะงานที่บริษัทยุ่งเสียจนเวลาจะทานข้าวยังไม่มีไม่ต่างจากพสุธาที่รับงานเยอะราวกับมีหนี้ท่วมหัวพี่ที่บริษัทต่างพากันถามด้วยความสงสัยว่าจะเอาเงินไปทำอะไรเขาก็เพียงยิ้มให้ไม่ได้ไขข้อสงสัยนั้น
“ว่าไงดิน” สองทุ่มครึ่งแล้วดาริกายังคงนั่งทำงานอยู่ที่บริษัท มือเรียวยังพิมพ์งานโดยใช้ไหล่ช่วยประคองโทรศัพท์ไว้
“วันนี้ฉันไม่กลับห้องนะ เร่งทำงาน”
หยุดการทำงานก่อนจะใช้มือจับโทรศัพท์ไว้
“งานเสร็จดึกมากหรือ” แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ต่างคนก็ยุ่งในหน้าที่ของตน แต่ทุกคืนก็กลับไปนอนคอนโดด้วยกันได้นอนข้างกันจนดาริกาชินไปกับการตื่นมาแล้วเห็นร่างสูงนอนหลับอยู่
“ใช่ ว่าจะอยู่ทำจนเช้าเลย ไม่โกรธนะครับ” พยายามถอนหายใจออกมาเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ปลายสายได้ยิน กังวลสารพัดจากนิสัยของพสุธาที่เคยเป็น เขาเจ้าชู้ทำเธอเจ็บช้ำมาหลายหนมาถึงเวลานี้จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนกัน
“อือ อย่าหักโหมนะ”
“เธอก็เหมือนกัน กลับห้องได้แล้ว” บอกราวกับรู้ว่าเธอกำลังทำงานอยู่ออฟฟิศ
“กำลังจะกลับแล้ว”
“ไว้เจอกัน” สายถูกตัดไปเหลือเพียงความเงียบที่โอบล้อมเธอ มองไปก็พบเพียงความว่างเปล่าเพราะทุกคนกลับบ้านหมดแล้วเธอตัดสินใจเซฟงานปิดคอมแล้วเก็บของเพื่อกลับไปคอนโด คงเหงาน่าดูถ้าไม่มีพสุธา การแต่งงานเปลี่ยนคนจริงดังว่า จากที่เคยทำอะไรตัวคนเดียวได้ตอนนี้ต่างออกไป เพียงแค่สัปดาห์ที่ผ่านมาพสุธาไม่ค่อยมาส่งเธอก็รู้สึกเหงา ขับรถมาคนเดียวก็คิดถึงเขาจนอาจจะเข้าขั้นเพ้อเสียด้วยซ้ำทั้งที่เจอกันที่ห้องทุกวัน
เดินมารอลิฟต์ไม่นานก็มาถึง เธอเข้าไปข้างในระหว่างที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดกลับมีคนแทรกเข้ามาก่อน ชายร่างสูงใส่ผ้าปิดปากกว่าครึ่งหน้าทั้งยังมีหมวกสีเข้มปิดบังอีก ดาริกาเริ่มระแวงขยับไปชิดผนังในหัวเริ่มคิดทางหนีทีไล่ ประตูลิฟต์ถูกปิดลงพร้อมการเคลื่อนไปชั้นที่หมาย คนชุดดำเริ่มขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้น
ขาเธอไม่มีแรงจะยืนเพราะไม่เคยพบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต ร่างบางเดินไปกดปุ่มหวังจะเปิดชั้นที่ใกล้ที่สุดให้รอดพ้นจากตรงนี้ชายชุดดำจึงอาศัยช่วงเวลาเธอหันหลังรีบเอาผ้ามาปิดปากและจมูกด้วยความเร็ว มือบางไขว่คว้ากลางอากาศราวกับต้องการตัวช่วยพยายามกลั้นหายใจแต่ไม่เป็นผลเพราะต่อมาเธอก็สลบไม่ได้สติ
เปลือกตาที่ถูกเคลือบด้วยเครื่องสำอางสีหวานค่อยๆ เปิดออกมองเพดานที่เป็นโครงไม้มีฟางวางทับกันแดดกันฝน หันมองด้านข้างหน้าต่างก็เป็นเพียงมุ้งลวดไม่มีประตูปิด ดาริกาค่อยๆ รำลึกถึงเหตุการณ์น่ากลัวที่เธอประสบก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเร็ว
“เราถูกลักพาตัวหรือ” ได้แต่ถามตัวเองแล้วสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง ผนังบ้านเป็นไม้สานตัวห้องโล่งมีเพียงเตียงกว้างทั้งยังมีมุ้งห้อยไว้ด้านบน ตู้ไม้สีเข้มคาดว่าน่าจะเป็นตู้เสื้อผ้าอยู่มุมห้องด้านขวาดูเหมือนเจ้าของห้องจะไม่ค่อยมาอยู่ราวกับร้างคนมานาน เธอค่อยๆ หย่อนขาลงเหยียบพื้นเบาๆ เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน ก้มตัวต่ำกว่าหน้าต่างเดินไปที่ประตูห้อง แสงสว่างจากหลอดไฟกลมกลางห้องพอให้เธอมองเห็นด้านนอกที่มืดสนิทอยู่บ้าง
“ทะเลอย่างนั้นหรือ” มองทะลุมุ้งลวดออกไปก็เจอน้ำทะเลยามกลางคืนทั้งยังเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งหอบเอาลมเย็นๆพัดผ่านหน้า
“จะจับเรามาขายหรือเปล่า” คิดไปไกลเพราะดูข่าวว่ามีคนถูกจับไปขายเพื่อสนองตัณหาให้พวกคนรวยเยอะ มองสำรวจตนเองก็ยังอยู่ในชุดเดิมพอให้โล่งใจได้บ้าง มือเรียวจับประตูที่ไม่มีลูกบิดหรือที่จับอะไรทั้งสิ้นเป็นเพียงประตูไม้สาน ผลักออกไปพบว่าไม่ได้ล็อกไว้
เมื่อออกมาก็ต้องตะลึงกับบรรยากาศโดยรอบที่มีคบไฟจุดไว้เพื่อให้แสงสว่างแทนหลอดไฟ ช่อดอกไม้ที่ตั้งไว้ข้างกันทั้งยังเทียนหอมที่ส่งกลิ่นหอมหวานราวเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ กระท่อมที่เธออยู่ยื่นออกมากลางทะเลโดยมีสะพานเป็นทางเดินเชื่อมออกจากห้องนอนมาด้านขวาจะเป็นห้องครัวใกล้กันนั้นเป็นห้องน้ำ ส่วนด้านซ้ายเป็นโต๊ะกินข้าวซึ่งตอนนี้มีดอกไม้ประดับไว้กลางโต๊ะ
“นี่มันอะไรกัน” ใครเล่นตลกอะไรกับเธอหรือเปล่าหากถูกจับมาทำไมไม่มีใครมาเฝ้าเลยสักคนไม่กลัวหนีหรือ แต่พอมองไปก็สิ้นหวังเพราะไม่รู้จะหนีอย่างไรมีแต่ทะเลกับป่า ใครพาเธอมาติดเกาะกันเนี่ย
“ว้าย” ในขณะที่กำลังเหม่อก็มีมือปริศนามากอดเธอจากข้างหลัง ใจดวงน้อยหล่นไปอยู่ตาตุ่มตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
“ถ้าขยับจะจับจูบจนปากเปื่อยเลย” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เธอแทบจะร้องไห้ออกมา ความอุ่นวาบวิ่งเข้ามาในหัวใจหันไปมองเขาแล้วยิ้มออกเมื่อพบว่าคนที่กอดคือพสุธาสามีของเธอนั่นเอง
“ดิน” ร่างบางกอดตอบทันที กอดแน่นจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ย ดาวเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” กอดเธอแน่นแล้วลูบหัวเบาๆ รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะท้านจากคนในอ้อมกอด ร่างสูงเริ่มหน้าเสียพลางคิดว่าเล่นแรงเกินไปหรือเปล่า
“นายทำบ้าอะไรรู้ไหมว่าฉันกลัวแค่ไหน” พูดอู้อี้อยู่กับอกหนาพลางทุบหลังชายหนุ่มราวกับต้องการลงโทษที่ทำให้เธอคิดมากและกลัวว่าจะถูกจับมาขาย
“ก็แค่ล้อเล่นเอง ฉันอยากมาฮันนีมูนกลัวเธอไม่มาด้วยเลยต้องใช้วิธีนี้” เฉลยความจริงแต่ดูเหมือนดาริกาจะยังไม่หายโกรธ เธอผละออกจากอกมองสามีตาเขียวพร้อมประทุษร้ายได้ทุกเมื่อจนพสุธาค่อยๆ ถอยหลังออกห่าง
“แล้วทำไมไม่บอกดีๆ เล่นบ้าอะไรของนาย ถ้าเธอฉันกลัวจนช็อกตายจะทำยังไง ไอ้บ้าทำไมชอบเล่นอะไรพิเรนทร์” ใส่ไม่ยั้งมาพร้อมมือที่ทุบบนอกคนตัวสูงอีกตากลมโตยังมีน้ำใสคลออยู่เต็มก่อนเธอจะใช้หลังมือปาดออก
“ขอโทษ ฉันคิดน้อยไปเอง ไม่โกรธนะ ตลอดสองอาทิตย์รีบเคลียร์งานเพื่อการนี้โดยเฉพาะเราอย่าทะเลาะกันเลยนะครับ” จับมือบางเอาไว้แล้วยกมาจุมพิต ดวงตาของเขาแสดงถึงความจริงใจชัดเจนจนต้องหลบตาเพราะหัวใจที่สั่นแรงในขณะนี้ แววตาทำลายล้างจริงๆ
“พอเลย” ดึงมือตนเองออกมาแล้วก้มหน้าซ่อนความเขินอายไว้ ดีที่ไม่มีแสงส่องมาที่หน้าเธอไม่อย่างนั้นคงทำตัวไม่ถูกมากกว่านี้
“เอาล่ะ ขอต้อนรับสู่การฮันนีมูน เจ็ดวันเจ็ดคืนของเรานะที่รัก” เคลียร์กันเสร็จพสุธาก็ได้ฤกษ์กล่าวต้อนรับผู้มาใหม่ที่รีบเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าฮันนีมูนเจ็ดวัน
“จะบ้าหรือ! เจ็ดวันเสียรายได้ไปตั้งเท่าไหร่ ฉันจะกลับ” ดาริกาผู้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่โวยวายขึ้นมาลืมความเขินอายไปเสียสิ้นแต่เอวบางก็ถูกสามีกอดเอาไว้เสียก่อน
“ฉันลาให้แล้ว ลาไปเลยหนึ่งสัปดาห์ เจ้านายเธอเข้าใจเพราะเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามันแถมยังอวยพรให้มีเจ้าตัวน้อยเร็วๆ ด้วย” ได้อย่างไรกัน อีกคนไปลาให้เธอตอนไหนทำไมไม่รู้เรื่องเลย แสดงว่าทุกคนปิดเงียบไม่มีหลุดรอดมาให้ผิดสังเกตเลย นี่ทำเป็นขบวนการเลยสินะ
“ไม่ต้องมองตาขวางเลยครับ เราแต่งงานกันแล้วก็ต้องมาทำทุกอย่างให้สมบูรณ์สิ” กอดเธอแน่นขึ้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากชิดกัน
“รู้ไหมว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหน เธอจะมาบ่ายเบี่ยงแบบนี้ไม่ได้” ลมหายใจใกล้จนสัมผัสได้ แม้จะจูบกันบ่อยแต่ก็ยังไม่ชินเสียทียิ่งครั้งนี้ที่เขาค่อยๆ เคลื่อนหน้ามาไม่ได้จู่โจมรวดเร็วก็ยิ่งทำให้เธอเขินมากขึ้น
“ฉันขออะไรอย่างได้ไหม” ถามในขณะที่ริมฝีปากห่างกันเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นในความรู้สึกของเธอ
“อะไร” พยายามขยับปากให้น้อยที่สุดเพราะกลัวไปโดนริมฝีปากหนาเข้า
“ดาวจ๋า...” เรียกเสียงหวานจนรู้สึกมวนท้องไปหมดแล้ว “หิวข้าวมากเลยทำอะไรให้กินหน่อยสิ” นั่นปะไร เขาผละออกจากเธอยิ้มหวานอย่างประจบ ความรู้สึกสีชมพูเมื่อครู่หายวับไปทันที พสุธาคือชายผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ไม่มีความโรแมนติกเลยสักนิด! ถึงแม้เธอจะทำเหมือนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เสียหน่อย ความโรแมนติกที่สร้างขึ้นพังทลายเพียงเพราะความหิวของสามีเธอเอง แล้วภรรยาอย่างเธอจะทำอะไรได้นอกจาก
...เดินเข้าครัวทำอาหารค่ำกินกับเขาสองคน