บทที่หก ...หวานไปทั้งตัว (๑)
บทที่หก
...หวานไปทั้งตัว
แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร สองสามีภรรยาช่วยกันทำอาหารมื้อดึกคือเมนูผัดมาม่าใส่ไข่ที่แสนจะเรียบง่าย “ไม่เอาผัก” แม้ว่าจะล้างผักและหั่นเองกับมือแต่พอเห็นดาริกาจะเอาลงกระทะก็อดห้ามไม่ได้
“แล้วจะหั่นมาทำไม”
“ก็อยากช่วย” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความระอาแล้วใส่ผักลงไปจนเต็มกระทะ พสุธาหน้างอเดินออกไปจากครัวนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่บอกกล่าวอะไรเลยสักคำ หญิงสาวมองไล่หลังแล้วอมยิ้มในความแสนงอนของเขาแม้รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งเย้าเล่นเท่านั้น
ไม่กี่นาทีต่อมาผัดมาม่าสีสวยก็วางบนจานพร้อมเสิร์ฟ ดาริกายกมาให้ร่างสูงและตนเองนั่งกินท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องประกายลงมา ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะเอาแต่เรียนกับทำงานพอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ
“ที่รักทำอะไรก็อร่อย อย่างนี้น่าจะส่งไปรายการมาสเตอร์เชฟ” พสุธาชมไม่ขาดปากจนเธอคร้านจะฟัง เขาเคี้ยวไม่หยุดดูท่าคงจะหิวมาก
“แล้วแผนการบ้าๆ นี้นายคิดคนเดียวหรือ” อาจจะมีคนช่วยแต่ถ้าแผนพิเรนทร์แบบนี้คนต้นคิดคงไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากสามีเธอคนเดียว
“ก็..ไม่หมดหรอก มีคนช่วยคิดบ้าง ก็เธอไม่ยอมมาฮันนีมูนกับฉันดีๆ ก็เลยต้องทำแบบนี้โทษกันไม่ได้นะ” นั่นปะไรมาโทษเธออีกต่างหาก ร่างบางถอนหายใจเหนื่อยหน่ายมองหน้าคนตัวสูงที่ส่งยิ้มมาให้แล้วรู้สึกหมั่นไส้เหลือทน
“อยากมาขนาดนั้นเลยหรือ”
“มาก คนแต่งงานกันแล้วก็ต้องมากันทั้งนั้นแหละ” อ้างตัวอย่างเพื่อนที่รู้จักหรือคนที่ทำงานด้วยว่าไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ถึงต่างประเทศ
“แต่เราไม่เหมือนคนอื่น คู่เราไม่ได้รักกัน” บอกไปใจก็เจ็บเอง พสุธาวางช้อนส้อมลงมองเธอนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ใครบอกเธอ คิดเองหรือว่าฟังใครมา เราไม่ได้รักกันเลยอย่างนั้นหรือ คิดว่าฉันแต่งงานกับเธอเพราะต้องรับผิดชอบอย่างเดียวหรือไง ฉันดูเป็นคนมีความรับผิดชอบมากขนาดนั้นเลยหรือ” คำถามที่ฟังดูแล้วก็จริงดังว่า พสุธาผู้แหกทุกกฎเกณฑ์เอาตนเป็นที่ตั้งจะยอมรับผิดชอบเธอเพราะสถานการณ์บังคับอย่างเดียวจริงหรือ แล้วถ้าไม่ใช่มันเป็นเพราะเขารักเธอใช่ไหม พสุธาที่วางเธอไว้ด้วยคำว่าเพื่อนตลอดอย่างนั้นหรือจะมาหลงรักเธอได้ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
“ต่อจากนี้ฉันจะตอบคำถามของเธอด้วยการกระทำ แล้วคิดให้ดีว่าตกลงความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอมันเป็นยังไง” ปล่อยให้ดาริกานั่งอยู่คนเดียวเพราะพูดจบก็เก็บจานตนเองไปไว้ในครัวเพื่อล้าง หญิงสาวเองก็ทานไม่ลงจึงลุกตามไป
“เดี๋ยวฉันล้างเอง” เห็นพสุธาทำความสะอาดของตนเองเสร็จจึงบอกขึ้นด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายลำบากทำหลายรอบ
“ฉันจะทำให้ ไปนั่งรอเถอะ” มือหนาแย่งจานไปล้างเองเธอทำเพียงมองแผ่นหลังหนาเงียบๆ ไหล่ของเขากว้างน่าซบแต่เธอก็ไม่อาจหาญเดินไปกอดรับความอบอุ่นได้ จึงตัดใจเดินออกมารอข้างนอก ใกล้กันกับโต๊ะกินข้าวมีระเบียงยื่นออกไป ด้านบนมีเพียงผ้าโปร่งแสงคลุมไว้ทั้งยังมีเก้าอี้นอนขนาดกว้างมีหมอนถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
ร่างบางนั่งลงแล้วเอนกายนอนมองดูท้องฟ้าที่แสงจันทร์กลบดวงดาวจนมองไม่เห็น มีเพียงดาวดวงน้อยที่อยู่ห่างเกาะกลุ่มกันเปล่งแสงจนท้องฟ้าไม่ดูโล่งเกินไป คำบอกเล่าของพสุธาที่ให้ดูเพียงการกระทำเธอก็ไม่อาจแน่ใจได้ ทุกอย่างมันรวดเร็วและดูเหลือเชื่อเกินไปในความรู้สึก
“ดูอะไรอยู่หรือ” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมานั่งข้างๆตอนไหน เธอลุกขึ้นนั่งจะเดินเข้าห้องแต่เขาเร็วกว่าคว้าเอวบางไปกอดเอาไว้ได้ทัน
“อะไรของนาย”
“ไม่ตอบแถมยังจะเดินหนีอีก เป็นอะไร” วางคางเกยบนไหล่พลางสูดความหอมที่ซอกคอขาว เห็นแล้วก็อยากทำรอยสีกุหลาบเอาไว้
“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่ง่วงจะไปอาบน้ำนอน” ข้ออ้างของเธอไม่ได้ผลเพราะนอกจากพสุธาจะไม่ปล่อยแล้วยังกอดแน่นขึ้นอีกพร้อมกับฝังจมูกลงที่ซอกคอขาวอย่างนุ่มนวล
“ทำอะไร” ย่นคอหนีเขาแต่อีกฝ่ายก็เปลี่ยนที่เป็นแก้มนุ่มแทนจนต้องหันมามองค้อนใส่
“โธ่ดาว เรามาฮันนีมูนกันนะ เธอจะให้ฉันนั่งจ้องหน้าเธอเป็นปลากัดหรือ” เข้าใจแต่ก็ยังไม่พร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และหากจะหาทางเลี่ยงเขาก็ยากเหลือเกินเพราะใจเกินครึ่งของเธอก็เอนเอียงไปหาพสุธาแล้ว
“แต่ว่าฉันไม่เคย” คำตอบของเธอสร้างรอยยิ้มให้พสุธา
“เคยแล้ว แต่เธอไม่รู้สึกตัว”
“ครั้งนั้นไม่นับ” ตื่นมามีเพียงความรู้สึกเมื่อยขบไปทั่วร่างไม่ได้สัมผัสถึงอาการแห่งความสุขแต่อย่างใดเธอจึงไม่คิดว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกันเกิดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเรามานับครั้งนี้ใหม่ดีไหม” จับไหล่บางให้หันมาหา ดวงตาสบกันท่ามกลางแสงจันทร์ไม่รู้ว่ามีมนต์ขลังหรือกลอันใด ดาริกาจึงนั่งนิ่งรอรับจุมพิตจากเขา เปลือกตาค่อยๆ หลับลงช้าๆ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากและหนักหน่วงขึ้น มือหนาดันเธอให้นอนลงโดยที่ริมฝีปากยังไม่ห่างกัน ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกันอย่างเพลิดเพลิน รสจูบแสนหวานที่ชวนติดใจเพียงแค่ได้ชิมครั้งแรกจนตอนนี้ถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
“นี่มันกลางแจ้งนะเดี๋ยวคนเห็น” มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเธอออกแต่อีกฝ่ายห้ามเอาไว้
“เกาะส่วนตัวไม่มีคนหรอก” ขณะที่มือก็ทำหน้าที่ไม่มีขาดจนกระทั่งเสื้อหลุดออกจากตัวเหลือซับในและชุดชั้นใน
“ถอดเสื้อให้ฉันหน่อย” กระซิบข้างหูแล้วก้มลงจูบแก้ม ดาริกาเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดทำตามอย่างว่าง่าย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นของพสุธาหลุดออกเผยให้เห็นหน้าอกกว้างและกล้ามท้องเป็นลอนสวยงามที่อุตส่าห์ฟิตมาเป็นเดือนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“อือ” ค่อยๆ จูบลงที่ลำคอก่อนจะฝากรอยจูบเอาไว้สองสามจุดเพื่อตีตราจอง มือหนาเอื้อมไปปลดชุดชั้นในแล้วถอดทั้งเสื้อและชั้นในของเธอด้วยความเร็วที่เจ้าของชุดแทบมองไม่ทัน ตอนนี้ท่อนบนของทั้งสองเปลือยเปล่าแถมยังแนบชิดกันอีกด้วย
“หนะ หนาว” ลมพัดโชยมามือบางก็กอดตนเองเอาไว้แต่พสุธาจับมือเธอออกแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ
“เขาบอกหนาวเนื้อให้ห่มเนื้อ” เสียงกระเส่าบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนก้มหน้าลงสูดดมความหอมของดอกบัวคู่งามก่อนจะเคล้าคลึงไปมา ร่างบางที่ไม่เคยให้ผู้ใดแตะต้องกายมาก่อนครางเสียงแผ่ว มวนช่องท้องไปหมดปลายเท้าจิกเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“อื้อ” มือข้างที่ว่างก็ผละจากแขนเรียวลงมาลูบสีข้างเรื่อยไปจนร่นกระโปรงเธอขึ้นมากองเอาไว้ที่หน้าขา
“ให้ตาย เธอเนียนไปทั้งตัวเลย” พสุธาเอ่ยชมก่อนริมฝีปากหนาจะครอบครองปากบางได้รูปเอาไว้
“จะไปไหน” ผวาตามเมื่ออีกฝ่ายผละออกจากตัวเธอ
พสุธายิ้มมุมปาก
“ถอดข้างล่างไง คงไม่คิดว่าจะอยู่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ใช่ไหม”พูดจบร่างสูงก็ถอดกระโปรงและแพนตี้ตัวน้อยออกทำให้ตอนนี้เธอเปล่าเปลือยไม่มีอะไรปิดบังร่างกายจนนึกอาย จึงเอามือมาปิดด้านบนและล่างเอาไว้ ชายหนุ่มบอกแล้วก็หัวเราะในลำคอรีบจัดการกางเกงของตนเองออกและปราการชิ้นสุดท้าย
“ถอดหมด ไม่โกงแน่นอน” กอดเธอเอาไว้บอกเสียงอ่อนแล้วจูบดาริกาอีกครั้ง เขาจับมือเธอออกแล้วกอบกุมหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวเอาไว้สองมือ เคล้นคลึงไปมาอย่างเมามันก่อนจะใช้นิ้วบี้ปทุมถันสีหวานไปมาสร้างความเสียวกระสัน จนดาริกาครางไม่เป็นสรรพแอ่นอกยอมรับสัมผัสจากร่างหนาอย่างเต็มใจ
มือบางกอดเขาเอาไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยวขาสองข้างเกี่ยวเอวหนาในท่าหันหน้าเข้าหากันก่อนจะรู้สึกถึงความแข็งแกร่งแห่งร่างชายที่แข็งตัวทิ่มหน้าขาเธอในขณะนี้
“อื้อ” ริมฝีปากหนาเคลื่อนลงไปชิมดอกบัวงามสลับข้างไปมาอย่างมีความสุขมือบางจับกลุ่มผมดำเอาไว้กัดปากตัวเองระงับเสียงครางด้วยอายเกินกว่าจะร้องออกมาอีกครั้ง
“อย่ากัดปากสิ ร้องออกมาเลย” เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานที่กลั้นอารมณ์ไว้สุดความสามารถเขาจึงบอก เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“ที่รัก ร้องออกมาเถอะ ฉันอยากได้ยิน” แพ้อย่างราบคาบกับน้ำเสียงทุ้มอ่อนหวานที่ร่างสูงบอกเธอ ดาริกาไม่สามารถสะกดกลั้นเสียงครางที่ดังออกมาได้ พสุธายกยิ้มพอใจเริ่มขยับเข้าใกล้เธออีกครั้งมือหนาลูบไปข้างล่างทักทายกลีบดอกไม้งามด้วยนิ้วของตนเอง
“ตรงนั้นไม่ได้” จับมือหนาเอาไว้ห้ามปรามด้วยความอาย แม้จะอยู่ใต้แสงจันทร์ที่แสงสว่างอาจไม่มากพอ แต่เขาก็เห็นชัดว่าแก้มเธอแดงขนาดไหน น่าเอ็นดูเหลือเกิน
“ได้สิ แล้วเธอจะมีความสุข” กล่อมเธอให้คล้อยตามพลางดูดดึงริมฝีปากล่างขมเม้มเบาๆ มือสองข้างก็ทำหน้าที่สอดประสานกันเป็นอย่างดีจนร่างบางลืมไปชั่วขณะครางออกมาเสียงดังเพราะเสียวเกินจะทานทนไหว
“ดิน มันเจ็บ” เห็นดาริกาหลงไปกับอารมณ์ที่อีกฝ่ายนำพาร่างสูงก็ค่อยๆ แทรกเข้าไปในกายสาวช้าๆ แต่แล้วเธอก็ร้องบอกเขาพลางจับไหล่หนาแน่นสบตาอ้อนวอนราวกับจะให้ร่างสูงหยุดเสียเดี๋ยวนั้น
“ทนอีกนิดนะ” โน้มไปจุมพิตเธอเพื่อให้หญิงสาวลืมความเจ็บมือก็เคล้นดอกบัวงามจนร่างบางหลงไปกับสิ่งที่อีกคนทำให้เธอคลายเจ็บ คงเพราะส่วนบอบบางของเธอไม่เคยมีผู้ใดกล้ำกรายเข้าไปได้และขนาดของเขาก็ไม่ใช่น้อยกว่าจะเข้าไปจนสุดก็ต้องใช้เวลาเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเจ็บ
“อื้อ เบาๆ” นิ่งค้างเอาไว้สักพักก่อนจะเริ่มขยับทีละน้อย เขาไม่สนที่เธอบอกให้เบาเพราะพสุธาใส่เต็มแรงเหยียบเต็มสปีดเร่งความเร็วจนร่างบางครางเสียงหลงด้วยอารมณ์เสียวที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่เคยพบพานมาก่อน
“เร็วกว่านี้หน่อย” เขาหัวเราะในลำคอเมื่อเธอเปลี่ยนคำรวดเร็ว ดอกไม้แรกแย้มตอดรัดจนคับแน่น รู้ว่าเป็นครั้งแรกควรจะทะนุถนอมเธอมากกว่านี้แต่อารมณ์เขาช่างไม่ยอมทำตามสมองสั่งเลย มันรั้นจะไปแรงดังเรือยนต์
คลื่นซัดเข้าฝั่งดังรับกับเสียงรักของทั้งสอง ท่ามกลางหมู่ดาวและแสงจันทร์พราวบนฟากฟ้าสองหนุ่มสาวก็สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนนั้นเองที่ราวกับเท้าแตะท้องฟ้าเธอเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมดอารมณ์พุ่งทะยานสูงขึ้นด้วยความสุขก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วแล้วใบหน้าหวานก็ซบลงที่ไหล่หนาหอบหายใจเหนื่อยอ่อนราวกับวิ่งมานับสิบกิโลเมตร
“ให้ตาย เธอฮอตเป็นบ้า” พสุธาว่าเสียงภูมิใจในตัวภรรยาแต่ตอนนี้เธอไม่ตอบรับแล้วนอกจากหายใจเข้าออกแล้วซ่อนหน้าที่แดงก่ำจากสายตาคม
“ปล่อยได้แล้ว” พักได้ไม่นานก็จะออกจากอ้อมกอดอุ่นแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ปล่อยเธอ