บทที่สาม ...เราจะตีป้อม (๒)
“เสร็จแล้วครับผม” พสุธาในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงเลสีน้ำเงินเดินยิ้มมาหาเธอที่ห้องครัว
“พอดีเลย ฉันจะไปอาบน้ำนายช่วยล้างผักหั่นหมูไว้ด้วยนะ จะทำกับข้าวกิน” ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มร่ารับคำปล่อยให้เธอไปจัดการตนเอง ดาริกาเข้ามาในห้องเห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่กว่าแปดสิบเปอร์เซ็น เป็นของเธอก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้ที่ต้องมาแชร์ห้องร่วมกับคนอื่น จัดการล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้าหมดจดก็เข้าไปอาบน้ำ ตู้เสื้อผ้าที่เคยมีแต่ของพสุธาก็มีเสื้อผ้าเธอด้วย ทั้งกระเป๋า เครื่องประดับวางไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบ ดีที่ขยายห้องจึงดูไม่แออัดทั้งที่ของมากมาย
ดาริกาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จด้วยเสื้อผ้าเนื้อนิ่มเข้ากันกับกางเกงลายการ์ตูนตัวโปรดที่ทำให้เธอดูเยาว์วัยลงไปอีก เดินออกมาหาเขาที่ห้องครัวเห็นร่างสูงกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่ “เสร็จยัง” ถามขึ้นทำให้ใบหน้าคมเงยมามองเธอ
“เสร็จแล้ว ทำได้เลยครับผม” เปิดทางให้เธอได้โชว์ฝีมืออีกครั้ง ดาริกาเลือกจะทำผัดผักใส่หมูอย่างเดียว ไม่นานอาหารก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ ทั้งสองจัดการกับข้าวหมดอย่างรวดเร็วเพราะหิวเกินกว่าจะคิดเรื่องน้ำหนัก วันนี้แทบไม่ได้แตะของกินสักอย่างเลย
“อร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ต่อจากนี้ฉันก็มีแม่ครัวส่วนตัวแล้วสิ” พสุธาพูดขึ้นขณะที่กำลังเก็บจานไปล้าง เป็นกฎที่รู้กันดีแล้วว่าหากเธอทำอาหารร่างสูงจะเป็นคนล้างจาน
“เดี๋ยวฉันจะซื้อยาถ่ายมาผสมให้แกกิน” ว่ากลับอย่างหมั่นไส้ขณะที่ช่วยอีกฝ่ายเก็บจานวางไว้ในซิงก์ล้างจาน แต่แล้วร่างสูงกลับมายืนตรงหน้าเธอแล้วจับใบหน้าหวานให้แหงนขึ้นรับจูบทันที เธอตกใจทำอะไรไม่ถูกก่อนจะพยายามผลักอีกฝ่ายออกแต่ไม่เป็นผล ริมฝีปากหนาก็ทำหน้าที่ได้ดีเหลือเกินดูดพลังจนขาเธอเริ่มอ่อนต้องจับไหล่เขาเอาไว้เป็นหลักยึด สองหนุ่มสาวแลกจูบกันก่อนที่ใบหน้าหวานจะซุกที่อกหนาหายใจหอบถี่ราวกับวิ่งมาหลายกิโลเมตร
“ลงโทษที่เธอใช้สรรพนามเดิมบอกแล้วว่าไม่เอาแก ถ้าเผลออีกไม่จบแค่จูบแน่” ดาริกาพยักหน้าเข้าใจแล้วรีบหลีกหนีจากอ้อมกอดอบอุ่น พสุธาหัวเราะหันไปล้างจานแล้วฮัมเพลงอย่างมีความสุขปล่อยให้ร่างบางยืนใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คนเดียว
“ไอ้บ้า” ว่าเสียงเขียวแล้วเดินไปนั่งรอที่หน้าทีวีเปิดรายการโทรทัศน์ดูเพลินๆ ไม่นานร่างสูงก็มานั่งข้างเธอ
“ไปนอนกัน” ดาริกาทำตามอย่างว่าง่ายปิดทีวีเดินตามไปก่อนจะแยกไปอีกห้องทำเอาร่างสูงที่เดินมาก่อนรีบจับแขนเรียวเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“จะไปไหน”
“ก็ไปนอนไง”
“แล้วไปห้องเล็กทำไม” ถามเสียงหาเรื่องพร้อมแววตาที่ไม่เข้าใจ ดาริกาปลดมือหนาออกจากการเกาะกุม
“เราแต่งงานกันแค่ในนาม ไม่จำเป็นต้องนอนห้องเดียวกันหรอก” ดวงตาเรียวแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เขาจับมือเธอเอาไว้แน่นมองไปยังดวงหน้าหวานที่ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนด้วยความไม่เข้าใจ
“จำเป็น เราต้องนอนห้องเดียวกัน”
“ฉันไม่นอน จะนอนห้องเล็ก” ร่างบางยังคงดื้อดึงยืนกรานที่จะนอนคนละห้องกับเขา
“นี่ดาว ฉันพูดจริงๆ นะ เธอคิดว่าการแต่งงานของเรามันแค่จัดฉากหรือ แล้วไอ้การที่ฉันวิ่งจัดงานงกๆ นี่คือฉันทำเพราะจำใจอย่างนั้นหรือ” ดาริกาพูดไม่ออกเธอเงียบไปชั่วขณะเพราะจริงดังว่า ที่เขาวิ่งวุ่นจัดงานแต่งแทบไม่ได้พัก พสุธาดูจะให้ความสนใจมันมากกว่าเธอเสียอีก
“อีกไม่นานเราก็หย่ากันแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่ได้รักกันสักหน่อย” ตากลมโตก้มมองต่ำเพราะไม่อยากสบตาคมก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้งราวหนักใจนักหนา
“ฟังนะ จะไม่มีการหย่าเกิดขึ้น ฉันไม่มีทางหย่าแน่นอน ถ้าเราจะหย่ากันนั่นคือความต้องการของเธอไม่ใช่ฉัน” น้ำเสียงแน่วแน่ทำให้เธอเงยหน้าไปสบตาเรียวที่มีความมั่นคงจนใจดวงน้อยสั่นไหวอีกครั้ง เธอไม่อยากตกหลุมรักเขาไปมากกว่านี้เพราะหากวันไหนที่ต้องจากกันกลัวจะเจ็บจนทนไม่ไหว
“แต่ว่า”
“ดาว ขอร้องฉันง่วงแล้วนะ อีกอย่างคืนนี้มันคือคืนแต่งงานของเราด้วย เธอจะให้ฉันยืนง้อตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือ” ใบหน้าคมที่ดูเหนื่อยอ่อนทำเอาใจเธออ่อนยวบ
“เฮ้อ เข้าห้องเถอะ” หลังจากนั้นใบหน้าคมก็ยิ้มออกมาแล้วโอบไหล่บางเอาไว้
“ดีมาก คืนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน อย่าลืมสิ” ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเธอเสียงแผ่วสร้างความรู้สึกปั่นป่วนที่ท้องน้อยจนต้องเอียงหน้าหลบ พสุธาเปิดประตูห้องนอนทำเอาใจดวงน้อยเต้นระทึก ทั้งที่เขากับเธอก็เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งมาแล้วแต่ว่าตอนนั้นเธอไม่รู้สึกตัว หากเป็นตอนนี้...จะรู้สึกอย่างไร
“เข้ามาสิครับ” เพราะมัวแต่ยืนใจลอยโดยไม่รู้ว่าพสุธาเดินไปนั่งบนเตียงตอนไหนปล่อยเธอเอาไว้หลังประตู ร่างบางเดินไปนั่งเตียงอีกฝั่งพยายามห่างร่างสูงให้มากที่สุด
“อ้าว ไปนั่งทำไมตั้งไกล” เพราะนั่งชิดขอบเตียงแทบตกพสุธาเลยเอ่ยทัก ร่างบางจึงเขยิบเข้ามาอีกนิด
“เดี๋ยวขอไปเอาอุปกรณ์แปบนะ รอก่อน” พูดเท่านั้นหัวใจของเธอก็เต้นราวกับกลองรัวได้แต่จับตรงอกข้างซ้ายเพราะกลัวมันเด้งออกมา หายใจเข้าออกช้าๆ พยายามระงับอารมณ์แปลกๆ ที่พุ่งขึ้นมา
“มาแล้ว” ออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับกล่องสีขาวที่เธอจำได้ว่าเป็นกล่องใส่ซองหน้างานแต่งพร้อมสมุดและปากกา ใบหน้าคมยิ้มแย้มเดินมานั่งบนเตียงกว้างแล้วเปิดกล่องออกมาพบซองการ์ดแต่งงานจำนวนมากที่ล้นกล่อง
“นี่คือเรื่องสำคัญที่นายว่าหรือ” ดาริกาถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองซองตรงหน้าด้วยความคาดไม่ถึง
“ใช่ นี่แหละเรื่องสำคัญของเรา” ใครจะเชื่อว่างานแต่งที่หลายคนคิดว่าจะต้องเป็นค่ำคืนแสนหวานเจ้าบ่าวตระกองกอดเจ้าสาวด้วยความรักมันจะเป็นแค่เรื่องในนิยายเท่านั้น ชีวิตจริงหลังงานแต่งที่แสนเหนื่อยของเธอคือ...
การนั่งนับเงิน!
พสุธาดูจะจริงจังมากเปิดซองพร้อมกับอ่านชื่อด้านหลังอีกด้วย “ช่วยกันจดหน่อย เพื่อนเราใครใส่น้อยใช้ปากกาแดงเลย” ดูอีกฝ่ายจะทุ่มเทกับเรื่องนี้จนดาริกาต้องนั่งขัดสมาธิจดชื่อเพื่อนใส่สมุดด้วยความงงงวย
“ซองนี้ไอ้ผิง หนึ่งพัน! โอ้โฮแล้วมันได้นั่งโต๊ะหน้าด้วย ปากกาแดงไว้เลยงานมันเราใส่ห้าร้อยพอ” ร่างบางเขียนลงไป
“มันต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ” เห็นร่างสูงทำหน้าตาเครียดราวกับกำลังปั่นโพรเจกต์ช่วงสอบก็อดถามขึ้นไม่ได้
“จริงจังสิ เราเสียไปเยอะเราต้องได้กลับมาบ้าง” ก็พอเข้าใจว่างานแต่งเขาใช้เงินส่วนตัวออกมีบ้างที่คุณพสุช่วยแต่เจ้าบ่าวของเธอก็ไม่อยากรับเพราะงานตนเองก็อยากใช้เงินที่หามาได้จัด แอบภูมิใจที่เห็นชายหนุ่มโตขึ้นมากกว่าเก่า
“แกเห็นงานแต่งเป็นเรื่องธุรกิจหรือ” ถามเพราะสงสัยแต่ก็แอบน้อยใจนิดๆ พสุธาชะงักมือที่จับซองแล้วหันมามองดาริกา
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้มองแบบนั้น คือจะพูดยังไงดีล่ะ” เกาศีรษะเพราะรู้สึกอธิบายไม่ถูกยิ่งเห็นใบหน้าหวานออกเศร้าก็ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด
“ฉันอยากเก็บเงินไว้สร้างครอบครัวกับเธออีกไม่นานเราก็ต้องมีลูกเงินส่วนนี้ก็จะเก็บเอาไว้ให้ลูก ไหนจะค่าใช้จ่ายต่างๆ อีก ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัวก็อยากหาเงินเยอะๆ อยากให้เธออยู่แบบสุขสบายไม่ใช่ว่ามาอยู่กับฉันแล้วลำบาก” เพราะเป็นคนอธิบายไม่ค่อยเก่งแต่ก็พยายามพูดทุกอย่างจากความรู้สึกออกมาซึ่งทำให้ดาริการู้สึกราวกับมีฝนตกตอนหน้าแล้ง มันชุ่มฉ่ำหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“เข้าใจแล้ว นับเงินเถอะ” ต่อจากนั้นทั้งสองต่างก็ช่วยกันจดมือเป็นระวิงโดยมีพสุธาบ่นตลอด
“นี่ไอ้ดลมันเป็นถึงหัวหน้าแผนกการตลาดแล้วมันใส่มาแค่ห้าพันได้ยังไง!”
“โห่ กีรติเป็นคนดี ใส่มาสองหมื่น คนดีต้องชื่นชมจดไว้เลยๆ รับขวัญหลานต้องให้หนัก ทองสักสามบาท”
“ต่อไปซองนี้ ไอ้ณัทเพื่อนรัก จดไว้เลยครับที่รักมันให้มาเยอะพอควรสมกับเป็นลูกเจ้าของร้านทองสามสิบสาขาทั่วประเทศ”
“อันนี้ฐิตาเพื่อนเธอ นอกจากหน้าตาดีแล้วยังใจดีอีก คนแบบนี้คบนานๆ”
“ฉันว่าควรเลิกคบไอ้แมวได้แล้ว ใส่อะไรของมันมา แบงก์พันกาโม่ห้าใบแต่ยังดีที่มันใส่แบงก์จริงมาให้อีกห้าใบถือว่าอยู่ในส่วนที่พอรับได้”
“คนนี้ให้เยอะ ดาวจดไว้ ดาว..อ้าว หลับแล้วเหรอ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่จากซองเต็มกล่องตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง พอหันไปมองคนข้างๆ ก็พบว่าเธอนอนหลับคอพับไปเสียแล้วจนต้องอมยิ้มปัดผมออกจากใบหน้าหวานแล้วเก็บซองที่แกะแล้วใส่ถุงพลาสติก นำกล่องและสมุดลงมานับที่พื้นแล้วจัดท่านอนดาริกาใหม่พร้อมห่มผ้าให้เธออย่างเบามือ
“ฝันดีนะ” ก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากมนอย่างแผ่วเบาแล้วลูบแก้มเนียนอีกครั้ง เขาลงมานั่งนับเงินต่อโดยจดชื่อเพื่อนเอาไว้ด้วยเผื่อว่าจะลืม คนอย่างพสุธาต้องละเอียดรอบคอบในเรื่องเงิน ใครให้เยอะมาต้องให้เยอะตอบ ใครให้น้อยมาต้องให้น้อยกว่า!
เช้าวันใหม่หลังงานแต่งดาริกาตื่นขึ้นมาโดยรู้สึกหนักที่เอวคราแรกนึกว่าผีอำแต่พอนึกได้ว่าเธอแต่งงานแล้วจึงรู้สึกตื่นเต้น หรือว่าร่างสูงจะกอดเธอ ดวงตากลมโตตื่นขึ้นมาก็พบว่าพสุธาเอาขายาวๆ ของเขามาพาดไว้ที่เอวของเธอ
“ไอ้ดิน!” เสียงหวานเรียกคนหลับเสียงดังพร้อมมือที่ยกขายาวออก ความโรแมนติกคืออะไรอยากจะรู้เหลือเกิน เมื่อคืนที่ควรมีความหวานกลับต้องมานั่งนับเงินจนหลับตื่นเช้ามาแทนที่จะได้นอนในอ้อมกอดอีกฝ่ายดันยกขามาก่ายเธอเสียอย่างนั้น พสุธาคือมนุษย์ที่เข้าใจยากจริงๆ
“อืม จะนอน” พลิกตัวหันไปอีกทางแล้วยกผ้าห่มขึ้นปิดหูดาริกายันตัวลุกขึ้นมองสามีหมาดๆ ของตนเองแล้วหมั่นไส้จนอยากถีบตกเตียง นิยายที่เคยอ่านต่อจากนี้ไปเธอจะไม่อ่านแล้วความหวานหลังงานแต่งมันคือเรื่องโกหกทั้งเพ!
“นอนไปเลย นอนให้ตะวันแยงก้นไปเลย” เช้าวันอาทิตย์หลังงานแต่งเจ้าสาวที่ควรจะนอนในอ้อมกอดเจ้าบ่าวแต่เหตุการณ์คู่เธอไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเจ้าบ่าวหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเจ้าสาวเลยต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำและทำอาหารเช้าไว้รอท่า
“สวัสดีค่ะพี่กานต์” ในขณะที่กำลังทำอาหารเช้าก็มีโทรศัพท์จากบริษัทโทรเข้ามา
“ว่าอย่างไรนะคะ” เธอชะงักมือที่กำลังทอดไข่ดาวเมื่อได้ยินว่างานที่ต้องส่งหัวหน้าไฟล์มีปัญหา
“ค่ะ ถ้าอย่างไรดาวจะรีบเข้าบริษัทนะคะ ไม่เป็นไรค่ะพี่กานต์ ค่ะ สวัสดีค่ะ” รีบจัดการอาหารของเธอและเขาใส่จานเอาไว้แล้วไปเปลี่ยนชุดทำงานก่อนจะเดินมาหาพสุธา
“ดิน ฉันไปบริษัทแปบหนึ่งนะ” ทุกเวลามีค่าเธอจึงเดินไปนั่งแต่งหน้าแล้วบอกคนที่นอนหลับอยู่
“หือ วันนี้วันอาทิตย์นะ” ผงกศีรษะมองภรรยาที่กำลังนั่งแต่งหน้าทั้งที่ตายังลืมได้ไม่เต็มที่
“งานมีปัญหานิดหน่อย ฉันทำข้าวเช้าไว้ให้อยู่บนโต๊ะ แล้วเจอกัน” เธอแต่งหน้าไม่นานก็เสร็จจึงเดินไปเอากุญแจรถของตนเองที่น้องชายขับมาให้เมื่อคืน มือหนาคว้าแขนเรียวเอาในขณะที่เธอเดินผ่านเตียงนอน ก่อนลุกขึ้นนั่ง
“เดี๋ยวไปส่ง” เห็นตาแดงๆ ของร่างสูงก็รู้สึกสงสาร
“ไม่ต้อง นอนไปเลยไม่รู้เมื่อคืนนอนกี่โมง” นิ่งเงียบไปเพราะกว่าเขาจะจัดการทุกอย่างและเก็บเรียบร้อยก็ปาเข้าไปตีสามเกือบตีสี่แล้ว
“อยากไปส่ง” ยังงอแงไม่เลิกเธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“บริษัทฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง นายนอนเถอะ แล้วจะรีบกลับมาหาตกลงไหม” เมื่อเธอว่าเสียงจริงจังเลยจำยอมพยักหน้าแล้วล้มตัวลงนอนปล่อยให้ดาริกาไปทำงานในวันหยุด ช่างเป็นคู่แต่งงานที่เรียบง่ายเสียเหลือเกินแต่กลับแปลกที่ดาริการู้สึกพอใจ แม้มันอาจจะไม่โรแมนติกเหมือนในนิยาย ไม่หวือหวาเหมือนในละครหรือซีรี่ส์ที่เคยดูแต่เธอก็มีความสุขแล้วแค่คนที่อยู่ข้างกายคือพสุธา
...เขาคนเดียวเท่านั้น