บทที่สาม ...เราจะตีป้อม (๑)
บทที่สาม
...เราจะตีป้อม
ในที่สุดงานแต่งก็มาถึง ช่วงเช้าเป็นพิธีรดน้ำสังข์ง่ายๆ ที่บ้านของเจ้าสาว เชิญเพียงญาติและคนสนิทมาเท่านั้น ขบวนขันหมากเจ้าบ่าวแห่มาโดยมีเจ้าสาวแอบดูอยู่บนบ้าน วันนี้ดาริกาอยู่ในชุดไทยสีทองสง่างามขับผิวขาวให้ดูเนียนตา ผมยาวถูกรวบขึ้นมัดอย่างสวยงามพร้อมเสียบปิ่นปักผมไว้ด้วย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มอย่างมีความสุขโดยมีเพื่อนยืนอยู่ด้วย
“หน้าบานเลยนะ” กีรติผู้รู้ใจเพื่อนเอ่ยแซว หากไม่ท้องเธอคงได้ทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวด้วย แต่เมื่อมีลูกจึงเป็นเพียงแขกมาร่วมงาน
“อะไรกัน เราไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วปิดม่านลงเพราะกลัวโดนเพื่อนล้ออีก ในห้องนอนมีเพียงเจ้าสาวและกีรติสองคนเพราะคนที่เหลือลงไปรอกั้นประตูเงินประตูทองที่ด้านล่าง ช่างแต่งหน้าเดินมาสำรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายจึงลากลับ
“ยินดีด้วยจริงๆ นะ ไม่คิดว่าจะเป็นเธอกับดิน” สมัยมัธยมแม้มีคนแซวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะพสุธาควงหญิงได้ไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้ประตูดิน รถไฟชนกันก็บ่อยใครจะคิดว่าจะได้แต่งงานกับเพื่อนสาวคนสนิททั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ในวัยเจริญพันธ์เลยก็ว่าได้
“เราเองก็ไม่คิดเหมือนกัน เรื่องมันดูอิรุงตุงนังไปหมด” แม้แต่ตอนนี้ก็อยากจะหยิกแขนตัวเองให้ตื่นจากฝันครั้งนี้ ซึ่งก็พบว่ามันคือความจริง..ความจริงที่เธอเคยฝันว่ามันจะเกิดขึ้น
“แต่ความรู้สึกชัดเจนใช่ไหม” นั่นก็ยังเป็นคำถามที่เธอยังคงถามกับตัวเองว่าความรู้สึกของเธอกับเขามันเป็นอย่างไร พสุธารักเธอแบบไหน..
..คนรัก
..เพื่อน
..หรือแค่คนคั่นเวลา
ไม่อาจเดาความคิดของพสุธาได้เลย ภายใต้ท่าทางร่าเริงที่สามารถเข้ากับคนได้ง่ายอีกฝ่ายเก็บซ่อนความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม บางครั้งทั้งที่บอกว่ารักแต่กลับหักอกผู้หญิงคนนั้นราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด หลายคนบอกว่าวางพสุธาไว้เป็นเพื่อนดีกว่าแฟนคงทำให้เจ็บน้อยกว่า
“ไม่รู้สิ” น้ำเสียงอ่อนแรงของเจ้าสาวทำเอาคนเป็นเพื่อนต้องโอบไหล่เอาไว้
“ไม่เอาน่า ดินก็ต้องรักเธอบ้างแหละไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแต่งงานด้วย คนอย่างหมอนั้นยอมให้ใครบังคับเสียที่ไหน” ชายหนุ่มที่แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังต้องยอม ทำให้เธออดขำไม่ได้เมื่อคิดว่าเขาสร้างวีรกรรมไว้มากมาย
“ขอบใจนะที่มาอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อวาน” เพื่อนสาวคนสนิทพยักหน้าแล้วกอดดาริกา ทั้งสองคนสนิทกันมาก เมื่อวานกีรติก็มานอนเป็นเพื่อนเพราะกลัวเธอตื่นเต้นทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกผิดที่งานแต่งกีรติเธอไม่ได้มา
“แค่นี้เพื่อเพื่อนสบายอยู่แล้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ ต่อจากนี้ชีวิตเธอจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ” คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ เธอไม่เคยมีแฟน ไม่เคยรับรู้ว่าการมีคนข้างกาย มีเพื่อนคู่คิดเป็นอย่างไรจนกระทั่งหลายเดือนที่ผ่านมา พสุธาทำหน้าที่ทุกอย่างจนเธอเริ่มชินที่มีอีกฝ่ายข้างกายแม้คราแรกจะรู้สึกแปลกอยู่บ้างเพราะชอบทำอะไรคนเดียว แต่พอมีเขาแล้วมันก็รู้สึกดีไม่น้อย
“ดาว ลงมาได้เลย” ปวราหรือมิ้มเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันขึ้นมาเรียก ดาริกาเดินตามเพื่อนลงไปข้างล่างด้วยหัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ การลงบันไดแต่ละย่างก้าวดูยากสำหรับเธอจนกระทั่งเดินเข้ามาในพิธีนั่งลงเรียบร้อยตรงข้ามกับเจ้าบ่าวของเธอ
พสุธาวันนี้ดูแปลกตา เพราะอยู่ใส่ชุดไทยสีเข้าคู่กับเธอ ทั้งที่ไปลองด้วยกันที่ร้านแล้วแท้ๆ แต่ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากยุคอดีตเหมือนคุณพี่เดชละครที่กำลังฮิตกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองในขณะนี้
พิธีต่างๆ ผ่านไปก่อนผู้ใหญ่จะให้ทั้งสองสวมแหวนหมั้นให้กัน นิ้วนางข้างซ้ายที่เคยว่างเปล่าบัดนี้กลับมีตราจองเป็นแหวนเพชรน้ำงามที่เธอกลัวเหลือเกินว่าตนเองจะทำหายจึงคิดว่าหากเสร็จจากพิธีแล้วคงจะถอดเก็บไว้มากกว่ามาใส่โชว์
“เป็นอะไร” หลังจากนั้นก็เป็นการรดน้ำสังข์แต่ดูท่าเจ้าสาวจะลุกไม่ขึ้นเพราะตะคริวกินเรียบร้อย
“ตะคริวกินน่ะสิ” พสุธาเข้ามาช่วยพยุงเธอลุกขึ้นจนแขกทั้งงานเอ่ยแซวเสียงดัง ฝ่ายเจ้าสาวอายม้วนพยายามผลักเจ้าบ่าวออกแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเธอเลยนอกจากพาหญิงสาวเดินไปยังเก้าอี้นั่งสำหรับรดน้ำสังข์
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม” ดาริกาพยักหน้าเร็วๆ เพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรรุ่มร่ามอีก งานพิธีดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นช่วงเช้า ทุกคนร่วมรับประทานอาหารโดยมีบ่าวสาวเดินเข้าไปทักทาย ส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย
หลังส่งแขกกลับทุกคนก็ย้ายไปที่โรงแรมเพื่อเตรียมงานช่วงค่ำต่อ แม้จะเหนื่อยแต่ดาริกาก็มีความสุขเพราะงานแต่งในชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เธอสัญญากับตัวเองว่าจะไม่จัดงานแต่งสองรอบเด็ดขาด เจ้าบ่าวเจ้าสาวแยกกันไปแต่งตัวเพื่อรองานเย็นที่เริ่มตั้งแต่หกโมง หญิงสาวต้องล้างหน้าใหม่ระหว่างรอช่างแต่งหน้าเธอก็เข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น
“มาแล้วหรือคะ” ดาริกาได้ยินเสียงออดก็รีบใส่ชุดคลุมมาเปิดประตูพบกับช่างแต่งหน้างานตอนเย็นเธอจึงเชื้อเชิญให้เข้ามาในห้องพัก หลังจากพูดคุยทักทายกันแล้วก็เริ่มแต่งหน้าทำผมทันทีเพราะเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงพอดี ร่างบางในชุดเจ้าสาวทรงหางปลาเน้นสัดส่วนได้เป็นอย่างดีทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รูป
“สวยมาเลยค่ะ” ช่างแต่ละคนเอ่ยชมด้วยความจริงใจก่อนจะขอถ่ายรูปเอาไว้ ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูบอกว่าเป็นช่างภาพที่พสุธาจ้างให้มาถ่ายในงานแต่งจะขอถ่ายรูปเธอก่อน ดาริกาจึงยืนโพสต์ท่าทางต่างๆ จนเหนื่อย
“ขอพักก่อนได้ไหมคะ” ช่างภาพจึงบอกเท่านี้ก็พอแล้วเดินออกไป เจ้าสาวคนสวยที่อุตส่าห์ฟิตหุ่นเพื่อวันนี้โดยเฉพาะท้องก็เริ่มประท้วงด้วยความหิว เธอเดินไปจิบน้ำและทานขนมนิดหน่อยด้วยกลัวเป็นลมกลางงานไปเสียก่อน
เมื่อได้เวลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกไปยืนรอต้อนรับและถ่ายรูปกับแขกที่หน้างาน พสุธายิ้มและทักทายกับแขกของตนเองและแขกของบิดามารดาอย่างเป็นกันเองทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง ดาริกาเองก็ยิ้มแย้มทักทายผู้คนที่เข้ามาถ่ายรูปด้วยแม้ว่าจะเหนื่อยมากแค่ไหนก็พยายามเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้
“หิวไหม” ในระหว่างที่ไม่มีแขกเจ้าบ่าวก็หันมาถามเจ้าสาวของตนเสียงนุ่ม
“พอควร” รู้อย่างนี้เธอน่าจะหาอะไรกินเพื่อรองท้องมากกว่านี้ดีที่เสียงโดยรอบดังจึงพอกรบเสียงท้องร้องของเธอไปได้บ้าง
“ไปหลังเวทีค่อยกิน” พยักหน้าเห็นด้วยแล้วยิ้มแย้มต้อนรับแขกคนต่อไป เพื่อนๆ ของทั้งเขาและเธอมางานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่น่าเชื่อที่พสุธาและดาริกาจะแต่งงานกันเห็นสนิทสนมจนเห็นไส้เห็นพุงหมดใครจะคาดคิดดันมาลงเอยกันเสียได้ เจ้าสาวทำได้เพียงหัวเราะไปกับคำแซวนั้นโดยไม่มีใครรู้เลยว่าหัวใจเธอก็เจ็บช้ำที่ได้แต่งแต่ไม่ได้ใจ
งานพิธีเริ่มตามกำหนดการที่วางเอาไว้ผู้คนต่างสงเสียงเชียร์สนั่นเมื่อวีดีโอที่เจ้าบ่าวจัดทำขึ้นโดยเฉพาะบอกความรู้สึกที่มีต่อเจ้าสาว
“ไหนบอกจะไม่ทำไง” ครั้งที่ไปถ่ายรูปด้วยกันพสุธาบอกจะไม่ทำวิดีโอพรีเซนเทชั่นเธอก็เชื่อ
“เซอร์ไพรส์” หน้าตาทะเล้นตอบกลับมองไปที่จอขนาดใหญ่บนเวที
“เจอครั้งแรกตอนแปดขวบนะ ดาวใส่ชุดเอี๊ยมเสื้อสีแดง มัดผมเปียสองข้างแก้มแดงๆ หน่อย ตอนนั้นก็คิดว่าน่ารักดีครับ” ดาริกาที่ยืนดูวีดีโออยู่หันไปมองพสุธาที่มองจอโพรเจกเตอร์ขนาดใหญ่แล้วอมยิ้ม
“แกจำได้จริงเหรอ” ดาริกาหันไปถาม
“ไม่เคยลืมเลยต่างหาก” ใบหน้าคมที่ยิ้มให้ทำเอาหัวใจดวงน้อยสั่นสะท้าน คำพูดนั้นเหมือนน้ำมารดต้นไม้ต้นเล็กที่กำลังจะเหี่ยวเฉาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“รู้สึกรักก็คงตอนเรียนจบ ป.ตรี ก็แค่อยากเห็น อยากอยู่ใกล้ ผมไม่ชอบเวลาที่ดาวมีผู้ชายเข้าใกล้มันรู้สึกอยากเข้าไปกระทืบผู้ชายที่เข้ามาให้เดี้ยงน่ะครับ” หน้าตาที่ตอบดูเฉยๆ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ผู้ชายที่เคยหมายปองดาริกาเริ่มหนาวๆ แล้วดีที่รอดพ้นช่วงนั้นมาได้ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงโดนพสุธามากระทืบจนนอนโรงพยาบาลแน่นอน
“อยากบอกอะไรกับดาวเหรอ แค่อยากให้เชื่อมั่นในความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอว่าผมไม่มีทางปล่อยให้เธอเดินไปข้างหน้าคนเดียว ถ้าเศร้าผมจะอยู่ข้างๆ ถ้าทุกข์ผมจะกอดปลอบ ถ้าเธอสุขผมก็จะยิ้มไปด้วย เราจะอยู่ข้างๆ กันไปเรื่อยๆ นะ” แววตาจากวิดีโอที่ส่งมาให้ราวกับจะบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเธอ
“ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ นะ” เพียงคำพูดที่ย้ำกับเธออีกครั้งก็ทำให้น้ำตาร่วงลงมาจนต้องรีบเช็ดออก ไม่รู้ว่าทำไมจึงเชื่อคำพูดของร่างสูงจนหมดใจแม้รู้เสมอว่าพสุธาไม่ได้รักเธอแบบชู้สาว
งานดำเนินต่อไปจนกระทั่งเลิก พสุธาไปส่งแขกหน้างานโดยไม่มีอาฟเตอร์ปาร์ตีต่ออย่างที่เคนพูดกับเพื่อนไว้ เขาบอกไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำเปลืองเงินทั้งยังเบียดเบียนเวลาการเข้าหอของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกด้วย เพื่อนพากันโห่แซวว่าทั้งสองคนคงรีบทำแต้มมีลูกให้ทันพิชิตกับกีรติ ซึ่งเจ้าบ่าวอย่างพสุธาก็ทำแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางหัวเราะเจ้าเล่ห์เท่านั้นแต่ก็ทำเอาดาริการู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาทันที
“ไปกันเถอะ” สองบ่าวสาวจูงมือกันเดินไปยังรถยนต์ที่มาจอดรอหน้าโรงแรม เขาเลือกคอนโดเป็นห้องหอมากกว่าจะเช่าห้องที่โรงแรม มือหนาประคองแขนเจ้าสาวเอาไว้ แล้วช่วยเธอจับกระโปรงที่ยาวลากพื้นทำให้เดินยากขึ้นรถ
ระหว่างทางดาริกาก็งีบหลับเพราะเหนื่อยจากงานสำคัญของตนเอง พอถึงคอนโดก็เดินตามร่างสูงไปอย่างมึนๆ เพราะยังไม่ตื่นดีทำเอาร่างสูงต้องช่วยประคองกลัวเธอล้มกลางอากาศ เมื่อเข้าห้องก็มีบรรดาครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรออยู่แล้ว
“มาช้านะพี่” นิปุณน้องชายของดาริกาซึ่งสนิทกับพสุธาเอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พี่สวยอย่างไรน้องชายก็หล่ออย่างนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
“กว่าจะส่งแขกหมดไหนกลับมารถก็ติด เลยนานหน่อย”
ฤกษ์เข้าหอคือห้าทุ่มสิบเก้านาทีถือว่าทำเวลาได้ดีเพราะตอนนี้ห้าทุ่มสิบนาที คุณพสุนั่งคุยอยู่กับคุณเนติธรโดยมีคุณนิทรานั่งข้างกายสามีและ พิยดากำลังกินขนมอยู่ข้างมารดา
“ไปเถอะ เดี๋ยวจะดึกกว่านี้” ถึงเวลาสมควรคุณเนติธรก็เอ่ยชวนโดยมีเพื่อนสนิทอย่างพสุเดินไปด้วย ท่านมองลูกสาวแล้วรู้สึกภูมิใจแม้จะไม่อยากให้ลูกแต่งงานเร็วก็ตาม คิดถึงภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วอยากให้เธอได้อยู่ในวันสำคัญของลูก
“ต่อจากนี้เราไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรให้คิดถึงอีกคนไว้ รู้จักยับยั้งชั่งใจ ศีลห้าน่ะท่องไว้ให้ดี” ญาติผู้ใหญ่ให้พรสองบ่าวสาวที่น้อมรับเอาคำสั่งสอนไว้เพื่อนเตือนใจตนเอง
“หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก ถ้าสงสัยก็ถาม ข้องใจก็บอก อย่าเก็บงำความคิดไว้คนเดียว ถ้าทะเลาะกันก็พูดให้เสร็จเสียตั้งแต่ตอนนั้นอย่าคาราคาซังข้ามวันคืน” คุณนิทราบอกพร้อมยิ้มหวาน
“ยุคนี้มันคือยุคผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปมีเล็กน้อยหาเศษหาเลยให้ลูกสาวฉันเสียใจ เข้าใจไหม” คุณเนติธรไม่วายกำชับอีกรอบเพราะกลัวบุตรสาวของตนเองต้องน้ำตาตกใน ที่สามีไปมีหญิงอื่นให้ได้ช้ำใจเล่น
“ครับคุณพ่อ ไม่มีแน่นอนครับผมจะซื่อสัตย์กับดาวคนเดียว” แววตาจริงจังของพสุธาที่ส่งมาทำให้พอเบาใจไปได้บ้าง
“มีหลานให้รุ้งเลี้ยงเร็วๆ นะคะ” พิยดาที่นั่งฟังอยู่นานก็พูดขึ้นน้ำเสียงทะเล้น ดาริกาก้มหน้างุดด้วยความเขินต่างจากพสุธาที่หัวเราะร่า
“แน่นอน เดี๋ยวพี่จะรีบทำลูกอย่างรวดเร็วเลย” คำตอบนั้นได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากครอบครัว ต่างคนก็หัวเราะก่อนจะพากันขอตัวกลับเพราะอยากให้บ่าวสาวใช้เวลาค่ำคืนที่แสนหวานด้วยหัน ดาริกากอดพ่อกับน้องไว้ก่อนจะโบกมือลาทั้งสอง ประตูปิดลงพร้อมความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามา
“ขออาบน้ำก่อนนะ ไม่ไหวเหนียวตัว” ร่างสูงพูดขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว ดาริกาถอนหายใจออกมาแล้วไปห้องนั่งเล่นของคอนโด เปิดทีวีดูระหว่างรอเขาอาบน้ำ
“หิวข้าวจัง” ท้องร้องประท้วงทำให้เริ่มตระหนักว่าตนเองยังไม่ได้ทานอะไรเลยเพราะมัวแต่วุ่นถ่ายรูปและดูแลแขกเหรื่อในงาน แต่ถ้าทำอาหารตอนนี้ชุดเธอก็ไม่เอื้ออำนวยอีกถ้าอย่างนั้นก็หุงข้าวรอก่อนก็แล้วกัน ร่างบางในชุดเจ้าสาวเดินไปหุงข้าวรอเอาไว้ระหว่างนั้นก็เปิดตู้เย็นคิดเมนูที่จะทำกินในช่วงเวลาห้าทุ่มนี้