บทที่สอง …กะทันหันไปหมด (๑)
บทที่สอง
…กะทันหันไปหมด
ระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกัน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำนอกจากร่างสูงจะนั่งฮัมเพลงราวกับมีความสุขนักหนา ซึ่งเธอไม่เข้าใจเลยทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พสุธาหวงชีวิตโสดดูได้จากการที่เขาไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนเลยนอกจาก...น้องเล็ก เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ข้างบ้านเธอ
“แกไปส่งฉันที่คอนโดก็ได้” ดาริกาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมุ่งตรงไปยังบ้านของเธอ
“ไปอยู่คอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามด้วยความสงสัยเพราะปกติ ตลอดช่วงเวลาในการเรียนเธอก็อยู่ที่บ้านตลอดทั้งยังเป็นคนที่ค่อนข้างติดบ้านอีกด้วย ไม่นับรวมเวลาต้องมาสอนการบ้านหรือทำงานกลุ่มที่บ้านของเขาก็มักจะเห็นหญิงสาวอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
“ตั้งแต่กลับไทย บ้านไกลจากที่ทำงาน” แล้วทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งโดยที่ดาริกาก็ไม่ได้ชวนคุยแต่อย่างใด
สี่ปีที่ห่างกันทำให้ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนดูห่างออกไปเช่นเดียวกัน เพราะเธอรู้สึกเหมือนพสุธาเป็นคนแปลกหน้า หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีความเงียบระหว่างกัน อาจจะเป็นพสุธาที่ชวนคุยหรือเธอที่เอ่ยถามว่าตลอดสี่ปีเขาทำอะไรบ้าง
รถเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เพราะการจราจรที่ติดขัดแม้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม ทั้งสองติดอยู่บนถนนกว่าสองชั่วโมงโดยที่ดาริกาหลับไปด้วยความเหนื่อยตื่นมาอีกทีเมื่อรถจอดตรงลานจอดรถใต้คอนโดสูงแล้ว
“เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ที่จอดรถใต้คอนโดฉัน” บริเวณโดยรอบถูกทาด้วยสีเขียวแต่ชั้นจอดรถคอนโดเธอเป็นสีขาว
“อ๋อ คอนโดฉันเอง” พสุธาตอบหน้าตาย
“ฉันจะกลับคอนโดฉันแล้วแกพามาคอนโดแกทำไม”
“ก็แกหลับฉันไม่รู้ทางก็พามาห้องฉันก่อนไง” คำตอบและแววตาทะเล้นทำให้เธอต้องหายใจเข้าออกแรงๆ หลายที พยายามระงับโทสะที่เกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถ มือบางกระชับผ้าคลุมไหล่เอาไว้แล้วเปิดประตูรถออกไปอย่างจำยอม พสุธาเดินตามหลังเธอมาก่อนจะคว้ามือบางมาจับ
“ปล่อยนะ มาจับทำไม”
“เดี๋ยวเดินหลง แกไม่เคยมาคอนโดฉันไม่ใช่เหรอ” ถึงแม้ว่าพสุธาจะออกมาอยู่คอนโดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เธอก็ไม่เคยมาห้องเขาเลยสักครั้งเพราะกลัวคำครหา
“ก็เดินนำไปสิ จะมาจับทำไมฉันไม่ใช่เด็กที่จะเดินหลงทางซะหน่อย” ดาริกาพยายามดึงมือตนเองออกจากการเกาะกุมแต่ยากเหลือเกินมือเหนียวอย่างกับตุ๊กแกจับไม่ปล่อย
“จับไว้เพิ่มความอบอุ่นไง” ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาหาเธอใกล้ๆ ดาริกาจึงหันหน้าหลบแล้วเดินนำเขาไป โดยมือทั้งสองยังจับกันอยู่ เสียงหัวเราะดังมาจากคนตัวสูงก่อนที่จะเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มสแกนบัตรแล้วกดไปยังชั้นที่พักของตนเอง คอนโดแห่งนี้หรูหราพอสมควรดูได้จากลิฟต์ที่กว้างขวางและทำจากอุปกรณ์ชั้นดีค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ไปกันเถอะ” มือหนาปล่อยเธอให้เป็นอิสระได้เพียงครู่ก็เปลี่ยนมาโอบไหล่เอาไว้แทน
“มองทำไม ก็กลัวแกหลง” พสุธาเอ่ยขึ้นทำเอาหญิงสาวได้แต่เข่นเขี้ยวด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก กลับมาได้เพียงเดือนเดียวชีวิตที่เคยสงบสุขก็เปลี่ยนเพียงแค่เจอกัน ทั้งสองหยุดหน้าห้อง 4204 พสุธาแตะคีย์การ์ดและใส่รหัสผ่านที่ประตูก่อนเสียงจะดังติ๊ดและประตูถูกเปิด
ภายในห้องด้านขวาเป็นประตูสีขาวพอเปิดเข้าไปเป็นห้องรองเท้าขนาดกลางที่มีตู้ใส่หลายใบร่างสูงเอารองเท้าวางไว้แล้วเดินตรงไปก่อนจะเจอทางเลี้ยวสองทาง เดินเลี้ยวขวาพบห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่เพดานสูงมีโคมไฟระย้าห้อยลงมา ข้างกันนั้นมีบันไดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องครัวและโต๊ะอาหารสำหรับครอบครัว ร่างสูงเปิดเพลงคลาสสิคที่เขาชอบฟังแล้วพาเธอเดินไปทางซ้ายก็พบห้องอีกสองห้อง
“เข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เสื้อผ้าก็ใส่ของฉันไปก่อน” ร่างบางมองคนตัวสูงที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก แค่พาเธอไปห้องของตนเองก็จบแล้วไม่ต้องมายืมเสื้อผ้ากันให้วุ่นวาย
“ไม่ต้องมาด่าทางสายตา ไปเลย” มือหนาของพสุธาดันหลังหญิงสาวให้เข้าไปห้องใหญ่ พอเข้ามาเธอก็พบห้องนอนขนาดกว้างกว่าคอนโดมิเนียมปกติอยู่มากคิดว่าราคาคงไม่ใช่น้อยๆ กลางห้องมีเตียงขนาดหกฟุตถูกปูทับด้วยผ้าสีคราม หน้าต่างบานยาวถูกปิดด้วยผ้าม่านทึบจนเธอต้องรูดม่านออกเพื่อให้เห็นวิวของเมืองหลวงยามเก้าโมงเช้าเช่นนี้ มีระเบียงออกไปด้านนอกแล้วก็พบโซฟาสีขาวและโต๊ะกลมตัวเล็กวางอยู่ เขาจัดห้องได้น่าอยู่ทีเดียว ดาริกาเดินเข้ามาภายในห้องแล้วไปยังประตูบานเลื่อนพบกับห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ที่เป็นตู้เสื้อผ้าบิลต์อินจัดอย่างเป็นระเบียบและมีสไตล์ ดาริกาเปิดตู้เพื่อเลือกเสื้อผ้ามาใส่ก็ได้เสื้อยืดกับกางเกงยางยืดขาสามส่วน หยิบผ้าขนหนูก่อนเดินเข้าห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำมีฝักบัวและอ่างอาบน้ำที่เพียงเปิดม่านก็เห็นวิวทั่วกรุง เหมาะที่จะนำไวน์มาจิบยามค่ำคืนมองดูแสงไฟเหลือเกิน ยอมรับว่าพสุธาเลือกคอนโดได้ดีและคงจะแพงจนเธอไม่กล้าควักเงินจ่ายแน่นอน ยิ่งอยู่ในย่านที่ดินตารางเมตรละสี่แสนด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงราคาห้องนี้เลย
อาบน้ำเสร็จก็ใช้ครีมของเขาล้างหน้า แม้เครื่องสำอางจะออกไม่หมดก็ดีกว่าจัดเต็มเหมือนเมื่อครู่ เธอใส่ชั้นในตัวเก่าแล้วสวมชุดใหม่ทับส่วนชุดเก่าของตนเองก็ใส่ถุงเปล่าที่หาเจอในห้องของพสุธา จัดการตนเองเรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอกเดินไปยังห้องรับแขกก่อนจะได้กลิ่นไหม้
“ทำอะไรน่ะ” เห็นควันขึ้นเธอก็รีบขึ้นบันไดไปที่ครัวพบกับเนื้อที่ไหม้เกรียมบนกระทะ
“จะทำสเต๊กแต่ดูแล้ว..คงกินไม่ได้”
การทำอาหารของพสุธาติดลบจนไม่ควรให้เข้าห้องครัวด้วยซ้ำ
“ถอยไปเลย” หากให้ทำต่อคงไม่พ้นห้องไฟไหม้ดาริกาจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแล้วทำอาหารเช้าให้ทั้งเขาและตัวเองกินด้วยเมนูข้าวผัดหมู
“ให้ช่วยไหม” ชายหนุ่มผู้ไม่เข็ดกับการเข้าครัวเสนอตัวเอง
“ไปล้างผักก็พอ” ห้องครัวที่นี่มีอุปกรณ์ครบแม้เจ้าของห้องจะไม่ได้ใช้ก็ตาม “ทำไมห้องแกเครื่องครัวครบทุกอย่างเลย”
“แม่หามาให้ บางทีแม่ก็มาทำกับข้าวให้กินไม่ก็ส่งแม่บ้านเอาอาหารมาให้เลยมีของครบแบบนี้แหละ”
ไม่แปลกเพราะอานิทห่วงลูกชายที่ไม่ค่อยเอาไหนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอยังสงสัยที่อนุญาตให้พสุธามาอยู่คอนโดคนเดียวแบบนี้ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
“นั่นแกจะทำอะไร”
“หุงข้าวไง จะทำข้าวผัดแกจะให้ฉันทำดิบๆ เหรอ” เหมือนบรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมาทั้งสองต่างปล่อยวางเรื่องราวไม่ดีเอาไว้
“ไม่ครับผม เชิญครับที่รัก” คำเรียกที่ไม่เคยได้ยินทำให้ร่างบางหันไปมองชายหนุ่มซึ่งกำลังล้างผักอย่างขะมักเขม้น บางทีพสุธาก็ทำให้หัวใจเธอทำงานหนักโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจมากเลย
“เสร็จแล้วหั่นด้วย”
สองหนุ่มสาวช่วยกันทำอาหารแม้ร่างสูงจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็เป็นกำลังใจที่ดีให้กับเธอ พอเสร็จหน้าที่ตนเองก็ผละไปทำความสะอาดร่างกาย ปล่อยหน้าที่ครัวให้เป็นของดาริกา หญิงสาวหั่นเนื้อหมูเสร็จก็เตรียมของทุกอย่างไว้ ระหว่างรอข้าวสุกก็แอบเดินลงมาสำรวจห้องนี้ไปพลาง มีเพียงห้องเดียวที่เธอไม่ได้สำรวจคือข้างห้องนอนจะมีประตูอีกห้องอาจจะเป็นห้องรับแขก ดาริกาละความสนใจเดินดูรูปที่ติดข้างผนัง อดยอมรับไม่ได้ว่าพสุธาเป็นคนถ่ายรูปสวยมาก เขามาถูกทางแล้ว
ติ๊ง
เสียงเตือนของหม้อหุงข้าวทำให้เธอผละจากการสำรวจห้องไปทำอาหารง่ายๆ ที่ทุกครัวเรือนก็ทำด้วยเมนูข้าวผัด ทำไม่นานก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟเธอจึงนำไปไว้ที่โต๊ะอาหารซึ่งมีเก้าอี้สี่ตัวและผละออกมาทำน้ำซุปไว้ซดกินให้ลื่นคอ
“หอมจัง” แรงกอดรัดที่เอวทำเอามือของดาริกาที่ถือทัพพีอยู่ยกขึ้นสูงด้วยความตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายก็เกิดความกระอักกระอวนขึ้นทันที ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเธอและพสุธามาก่อนเลย
“เล่นอะไรของแก” ว่าแล้วก็พยายามขยับตัวบอกด้วยภาษากายให้ปล่อยแต่อีกฝ่ายกลับตีเนียนยื่นหน้าเข้ามาดูว่าเธอกำลังทำอะไร
“ก็จะได้ชินไง แกทำซุปด้วยเหรอ น่ากินมาเลย”
น่ากินนั้นเธอรู้แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องมากระซิบข้างหูเสียงแผ่วแบบนั้นด้วย มันไม่ปกติมากสำหรับคนที่เป็นเพื่อนมาตลอด ดาริการู้สึกอึดอัดเพราะเขินจากกระทำของอีกฝ่าย
“ปล่อยได้แล้ว จะตักใส่ถ้วย” แทบจะไม่กล้าหันหน้าไปหาอีกฝ่ายเพราะรู้สึกได้ว่าอยู่ใกล้กันเกินไป จนกลัวว่าจมูกอีกฝ่ายจะมาโดนแก้มเธอ
“ก็จะช่วยตัก”
“มันจะตักได้ยังไงกอดเอาไว้แบบนี้”
ในที่สุดร่างสูงก็หัวเราะออกมาแล้วยอมปล่อยเธอในที่สุด พสุธาเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวยิ้มหน้าเป็นหยิบแตงกวาในจานข้าวผัดมากินเล่นระหว่างรอว่าที่ภรรยายกน้ำซุปมาเสิร์ฟ
“พูดจริงๆ นะดาว ตอนนี้เราก็เป็นผัวเมียกันแล้ว”
การพูดจาขวานผ่าซากของเขาแม้จะติดจนเรียกว่าเป็นนิสัยไปแล้วเธอก็ยังไม่ชินเสียที
“ยังไม่เป็น!” ปฏิเสธเสียงแข็งอย่างรวดเร็ว
“ทำไมจะไม่เป็น เมื่อคืนเรายังสนุกด้วยกันอยู่เลย” ในขณะที่กินข้าวพสุธาก็พยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำเมื่อคืนที่เธอจำไม่ได้แม้แต่เหตุการณ์เดียว รับรู้เพียงแค่ตื่นขึ้นมาก็ได้สามีเสียอย่างนั้น
“ฉันจำไม่ได้ แกเลิกพูดแล้วกินอย่างเดียวได้ไหม” ร่างสูงยักไหล่เลิกพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วกินข้าวไปด้วยความอร่อย ดาริกาเองก็เงียบพยายามไม่คิดเรื่องเมื่อคืนแต่กลับเครียดแทน ต่อจากนี้ไปชีวิตเธอจะยุ่งขนาดไหน แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักแต่เขาไม่ได้รักเธอ ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รักและคิดกับเขาแค่เพื่อน เพียงเรียบเรียงความรู้สึกก็ปวดหัวขึ้นมาเสียแล้ว
“อร่อยเหมือนไปกินร้าน” พสุธาชอบอาหารที่เธอทำเสมอจะกินหมดจานแล้วนั่งรอเธอที่กินไม่ถึงครึ่งก็รู้สึกอิ่ม
“กินให้หมด” เมื่อเห็นหญิงสาวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มทั้งที่ข้าวยังเหลือครึ่งจานชายหนุ่มก็พูดเสียงแข็งทันที
“อิ่มแล้ว” เธอมักจะกินข้าวได้น้อยแต่ถ้าเป็นซูชิกลับกินได้มากซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ
“กินหรือดมกันแน่ เอามาเดี๋ยวกินให้” จานข้าวของเธอถูกเลื่อนไปตรงหน้าพสุธาโดยอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจที่จะกินต่อจากเธอเลย หญิงสาวลุกขึ้นเก็บจานไว้ที่ซิงก์ล้างจาน แล้วหันมาเก็บครัวรอกระทั่งอีกฝ่ายกินข้าวอิ่มเอาจานมาวางไว้