บทที2.ป่วนหัวใจ ...
“มาหลบอยู่ในนี้เอง รู้มั้ยพี่ชะเง้อหาจนปวดคอ” ขุนทัพเปรย เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นโยกตัวไปมา เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากคนในอ้อมกอด
มัลลิกาสะอื้นเงียบ อบอุ่นในใจจนน้ำตาซึม อ้อมกอดที่ทำให้ตนเองไม่รู้สึกอ้างว้าง อ้อมกอดที่ทำให้มีกำลังมากขึ้นอีกเป็นกอง
“ยังขี้แยเหมือนเดิม โตเป็นสาวแล้วนา” ขุนทัพสัพยอก สูดลมหายใจลึก วันนี้เขาได้ตะกองกอดผู้หญิงที่ตนเองปักใจรัก จากนี้ไปเขาจะอาสาคอยดูแลเธอเอง
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ยัยน้องก็ยังขี้แยเหมือนเดิมแหละพี่ขุน”
มัสยากล่าวเสริม มัลลิกาเป็นเด็กเก็บตัว อ่อนหวาน น่ารัก แต่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใครเลย โดยเฉพาะเพศตรงข้าม ที่เธอยอมพูดด้วยก็มีแค่ไม่กี่คน ขนาดจอมทัพที่เป็นพี่ชาย นับครั้งได้เลยที่มัลลิกาจะยอมพูดจาด้วย ระยะห่างระหว่างพี่น้อง เพิ่มขึ้นจนน่าใจหาย
“จะให้ลิกาเหมือนกับเราได้ยังไงล่ะยัยมัส เรามันทโมนดีๆ นั่นแหละ”
ขุนทัพแก้ตัวแทนน้องนอกไส้ เขาสัพยอกน้องในไส้ ก่อนจะหัวเราะลั่น เมื่อมัสยาตวัดค้อนให้โครมใหญ่
“บะ! เดี๋ยวนี้เป็นสาวแล้ว มีกริยาเหมือนผู้หญิง แต่ก็ยังเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนเดิม”
“จะให้มัสน่ารักเหมือนยัยน้อง มัสทำไม่เป็นหรอกค่ะ อีกอย่าง.. มัสไม่ใช่น้องสาวสุดที่รักของพี่ขุนนี่ มัสทำอะไรก็ไม่ถูกใจพี่ขุนหรอก”
มัสยาต่อว่า เธอไม่ได้นึกน้อยใจ ถึงขุนทัพจะรักใคร่มัลลิกามากกว่าตนเอง
“เด็กๆ มาขลุกกันอยู่ที่นี่เอง ออกไปข้างนอกเถอะจ้ะ อาม่ารออยู่ข้างนอก... ให้ผู้ใหญ่รอนานๆ ไม่ดีหรอกนะ”
คุณอารีเยี่ยมหน้าเข้ามามอง เธออมยิ้มเมื่อเห็นบุตรชายคนโต กอดน้องเล็กจนตัวกลมอยู่กลางห้องครัว นางเอ่ยเตือน เมื่อมีใครหลายคนรอแสดงความยินดีกับขุนทัพ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนอุตส่าห์มา และมันเป็นการเสียมารยาท หากตัวเจ้าภาพหลบมาอยู่ก้นครัวแทน
ขุนทัพยอมคลายอ้อมแขน เขาลดมือลงต่ำ กุมมือเรียวบางของมัลลิกาไว้ ก่อนจะออกเดินตามมารดาไปห่างๆ
หญิงสาวสุดอาภัพระบายลมหายใจช้าๆ เธอก้มหน้าลง พยายามไม่มองสบนัยน์ตาใคร เมื่อรับรู้ถึงรังสีความเกลียดชังที่พุ่งตรงมายังตัวเอง จากผู้ชายร่างใหญ่ที่นั่งมุมโต๊ะ กลางลานบ้าน
แสงไฟหลากสีที่ห้อยอยู่ตามกิ่งไม้ สร้างบรรยากาศชวนสนุก แต่จอมทัพหาได้รู้สึกเช่นนั้นไม่
หัวใจเขากระตุกวูบ! ทันทีที่เห็นร่างบอบบางของใครบางคนเดินตามติดพี่ชายมาห่างๆ มือเรียวบางของหล่อนอยู่ในอุ้งมือหนาของขุนทัพ กริยาตื่นตระหนกนั่น ทำให้เขาอดหมั้นไส้ไม่ได้ หล่อนจงใจเรียกร้องความสนใจ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ขุนทัพเหยียบแผ่นดินบ้านบุษยารัก หล่อนเสแสร้งทำเป็นเศร้าสร้อย จนพี่ชายเขาหลงกล มารยาสาไถที่หล่อนแสดงออก ทำให้ขุนทัพหลวมตัวตกไปในวังวน และซักวันหนึ่ง สิ่งที่หล่อนปรารถนาก็คงจะเป็นจริง เมื่อแววตาที่พี่ชายใช้มองหล่อนนั้น มองแค่แวบเดี๋ยวก็รู้
มันเจ็บจี๊ดๆ ในอก เหมือนถูกใครบางคนเอาเข็มแหลมๆ มาทิ่มแทง
จอมทัพคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกอึกใหญ่ๆ เขากระแทกแก้วดังโครม จนคนข้างๆ สะดุ้ง!
“ถ้าไม่ได้เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ผมคงเข้าใจว่าแม่หนูลิกานี่เป็นแฟนพ่อขุนเลยนะ ดูซิๆ ประคองน้องเหมือนแก้วกระเบื้อง กลัวแตกเลย”
เสียงใครบางคนเปรยลอยๆ มันยิ่งกว่าถูกค้อนทุบ จอมทัพรู้สึกร้อนรุ่มในอก จนอยากจะใช้น้ำเย็นราดรดให้หายทรมาน
“เหมาะกันดีนะ คนหนึ่งเข้มแข็ง คนหนึ่งอ่อนหวาน เห้อ! เสียดายเป็นพี่น้องกันเสียนี่”
เสียงวิจารณ์ยังดังแบบต่อเนื่อง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็น มันชวนให้คิดแบบนั้น กริยาที่ขุนทัพแสดงออกกับน้องสาวคนเล็กสุด มันพิเศษมากกว่าพี่น้องทั่วไป
จอมทัพกำแก้วเหล้าแน่นๆ และหากลงแรงมากกว่านี้ แก้วใสใบสวยคงแตกคามือ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน เดินดุ่มๆ หายลับไปในความมืด ทิ้งเสียงเฮฮาไว้ด้านหลัง เมื่อทนมองภาพเหล่านั้นไม่ไหว มันเหมือนกำลังนั่งอยู่บนกองไฟ
คุณอาทรถอนใจแรงๆ ท่านยกแก้วบรั่นดีขึ้นดื่ม หวั่นกลัวอนาคตภายภาคหน้า ความระแวงนั่น เกิดขึ้น ตั้งแต่เห็นแววตาของบุตรชายคนรอง...
“อย่ากลัวไปเลยตาทร เด็กๆ โตกันหมดแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น” อาม่าเอ่ยเตือนสติบุตรชาย ท่านเองก็มองเห็นสิ่งเดียวกับที่บุตรชายเห็น
“เพราะโตกันหมดแล้วไงครับแม่ ผมเลยกลัว!”
ความรักเหมือนโคถึก...มีทั้งแรงและกำลัง หากต้องฟาดฟันกันระหว่างพี่ น้อง ท่านกลัวทั้งสองคน จะเจ็บทั้งคู่