บทที่1. ความลับ!!.....
ขุนทัพไม่รู้...วันที่เขารู้ความจริง..น้องชายของเขาก็พลอยรับรู้ไปด้วย...
“คิดถึงเหลือเกิน ลิกา” นายแพทย์หนุ่มรำพัน...
ความผูกพันฉันท์พี่น้อง ไม่รัดลึงใจเท่า เขาพึงใจเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
ไม่มีอุปสรรคใดใดขวางกั้น เมื่อไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน และเวลานี้ เขาพร้อมที่จะดูแลมัลลิกา ต่อจากพ่อ-แม่ได้แล้ว
“โอ้ย!...อะไรจะนานขนาดนี้นะหะ...แม่ยืนรอตาขุน...จนขาจะแข็งเป็นหินแล้วนะ”
เสียงบ่นดังๆ ของสตรีสูงอายุคนหนึ่ง ผิวของนางคล้ำๆ หน่อย เพราะเป็นคนทำงานไร่มาตั้งแต่สาวรุ่น ขนาดมีอันจะกิน เป็นเจ้าของสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ส่งออกทั้งใน และนอกประเทศ คุณอารีก็ยังลงมือ ลงแรงช่วยคนงานลงกล้าปลูกดอกไม้ไม่เปลี่ยน ผิวที่ควรจะขาวก็ไม่เคยได้ขาวผ่องกับใครเขาซักที
“คุณแม่ใจเย็นๆ ซิคะ...อีกไม่กี่นาทีพี่ขุนก็จะโผล่หน้าหล่อๆ มาให้คุณแม่ได้หายคิดถึงแล้วล่ะค่ะ”
สาวน้อยวัย24ปี เพิ่งเริ่มงานในตำแหน่งนักพัฒนาพรรณพืชคนใหม่ของอำเภอบ่นอุบ หล่อนกำลังคุยแชทกับเพื่อนในกลุ่ม แต่ต้องชักสายตาออกมา เพราะเสียงบ่นแสนดังของคุณนายอารี
“พ่อก็ว่างั้น...แม่ทำเป็นตื่นเต้นไปได้” คุณอาทรบ่นปนขำ ภรรยาของท่าน กระวนกระวาย นั่งไม่ติด ลุกขึ้นชะเง้อชะแง้ มองประตูทางออกของสนามบิน จนท่านเวียนหัวแทน
“เอะ! พ่อนี่...ไม่ให้แม่ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ...ตาขุนกลับมาครั้งสุดท้ายก็4ปีที่แล้วนะคะ”
คุณนายอารีแหวใส่สามี ระยะเวลาที่ได้กอดบุตรชายคนโต มันน้อยนิดเสียจนเธออดไม่ได้ที่จะคิดถึง แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ขุนทัพกำลังตั้งใจทำคือความภาคภูมิใจของทุกคน
“พ่อก็ไม่ได้ว่าแม่นี่...ลุกๆ นั่งๆ ระวังเป็นลมไปนะ ยัยลิกาไม่มาด้วยซิ... ใครจะคอยพยาบาลแม่ล่ะ”
คุณอาทรบ่นเบาๆ มัลลิกาไม่ได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย ไม่รู้เพราะอะไร ลูกสาวคนเล็กของท่าน จึงอาสาขออยู่รอที่บ้าน ทั้งที่เธอน่าจะมายืนอยูตรงนี้มากที่สุด เมื่อท่านพอจะรู้ใจบุตรชาย ขุนทัพคงอยากเจอหน้ามัลลิกามากกว่าใครเพื่อน...
“พูดถึงยัยลิกา แม่งงจัดเลยนะพ่อ ทำไมไม่ยอมมาก็ไม่รู้”
พอพูดถึงลูกสาวสุดสวาท คุณอารีก็อ่อนลง นางยอมถอยหลังมานั่งนิ่งๆ พร้อมกับกล่าวเสียงติดความกังขา เมื่อทุกคนในบุษยารักรู้ดี ระหว่างขุนทัพกับมัลลิกา สองคนนี่ผูกพันกันที่สุด
จอมทัพแอบเบ้ปาก...เขาหมุนตัวเดินห่างมา พร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้น
มัสยามองตามพี่ชายคนรองไปด้วยสายตาขบขัน...ทุกคนในบ้านบุษยารับรู้ความชิงชังที่จอมทัพแสดงออกต่อน้องสาวคนเล็กสุด และทุกๆ คนก็รู้ว่ามัลลิกาไม่ใช่สายเลือดบุษยารัก แต่ความรักที่เคยมอบให้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง มัลลิกายังเป็นน้องสาวสุดน่ารักคนเดิม เพิ่มเติมคือความเจียมตัว และหัวอ่อนมากขึ้น ไม่ว่าใครจะไหว้วาน หรือใช้สอย หากทำได้ มัลลิกาไม่เคยที่จะปฏิเสธ มัสยารู้ มัลลิกาเองก็คงรู้ตัวแล้วเช่นกัน เพียงแค่ไม่มีใครคิดจะพูด
ความลับนั่น ยังเป็นความลับต่อไป
แต่ที่มัสยารู้...มันมากกว่าที่บิดา มารดารู้
การแสดงออกของใครบางคน...ตรงข้ามกับความคิดภายใจ
เขาคนนั้นพยายามให้ทุกคนรอบตัวเข้าใจตรงกันข้าม...แต่เธอรู้...คน คนนั้นคงทรมานไม่น้อย!
และแล้ว...เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง...หนุ่มร่างใหญ่ผิวออกเข้มๆ เดินผ่านเกรทสนามบินออกมาพอดี รอยยิ้มบนใบหน้านั่นทำให้คุณนายอารีถึงกับน้ำตาแตก นางโผเข้าหาบุตรชาย พร้อมกับเสียงร่ำไห้เพราะความยินดี
“ตาขุนลูกแม่...พ่อคุณ ตัวโตเสียจนแม่คิดว่าฝรั่งที่ไหนหลงทางมา”
ขุนทัพสอดมือสวมกอดมารดา เขากวาดตามองหา ใครบางคนที่คะนึงหาทุกขณะจิต
“ยัยลิกาไม่ได้มาหรอก คงกลัวจะมาร้องไห้แข่งกับแม่แกน่ะ เลยขออยู่รอที่บ้านแทน”
คุณอาทรกล่าวเสริม ท่านมองเห็นสายตาของบุตรชาย เลยไม่อยากให้ชะเง้อหาใครคนนั้น
ขุนทัพพยักหน้ารับรู้ เขากดปลายจมูกกับแก้มเหี่ยวๆ ของมารดา แทนการหอมแก้มสาวๆ ที่ตนเองปรารถนา และตั้งใจไว้
“เหนื่อยไหมลูก หิวหรือเปล่า?”
คำถามแรกของคุณอารี เรียกเสียงหัวเราะคลื่นใหญ่ จนท่านตวัดค้อนเสียสามสิบตลบ
“ทำไมยะ แม่กลัวลูกแม่หิวนี่ เดินทางเป็นวันๆ เหนื่อยด้วย หิวด้วย”
“แม่คะ...บนเครื่องมีอาหารเสิร์ฟตลอด และพี่ขุนไม่ได้เดินมาค่ะ นั่งจนปวดก้นซิไม่ว่า”
มัสยาแย้งเสียงรื่นเริง เธอรีบแย่งมารดา สวมกอดพี่ชายอีกคน ในจังหวะที่คุณอารีกำลังเผลอ
“ก็คนมันอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่...ยัยมัส แกมาแย่งแม่กอดตาขุนทำไมนี่หะ!”
คุณนายสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ตวาดแหว รั้งเรียวแขนบุตรสาวที่โอบรัดบุตรชายหัวโปรดของตนเอง
“ดูแม่แก...ลูกโตจนจะหาเมียมาฝาก ยังจะหวง รออีกหน่อยเถอะ เจ้าขุนมันพาเมียเข้าบ้าน...จะโอดครวญหนักกว่านี้” คุณอาทรกล่าว ท่านหัวเราะขันภรรยา ที่ทำท่าหวงแหนบุตรชายเสียเหลือเกิน