๓ เจ้าบ่าวแสนเจ้าเล่ห์ (๑)
๓
เจ้าบ่าวแสนเจ้าเล่ห์
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยสิ่งที่จะทำต่อไปคือนัดกับครอบครัวเวศน์สุวรรณวงศ์เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ก่อนจะเริ่มงาน เพราะหากไปรู้ความจริงหน้างานกลัวว่าจะเละกันทุกฝ่าย ในห้องหนังสือของบ้านหลังใหญ่ที่ถูกจัดเป็นงานหมั้น ทุกคนมารวมตัวกันหมดยกเว้นเจ้าสาวที่คอยอยู่บนห้อง
ไม่พูดพร่ำทำเพลง คุณวิศรุตเข้าเรื่องทันทีด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ลูกชายตัวเองก่อเรื่องเอาไว้ใหญ่โต ต่อให้ขอโทษร้อยพันครั้งก็คงไม่พอ
มินทิราคือแก้วตาดวงใจของบ้าน ลูกชายเขาทำร้ายเธอไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้คิดหรือว่าอีกฝ่ายจะยอมยกโทษ...
คงต้องลองวิธีขายผ้าเอาหน้ารอดของพริศ หวังว่าจะทำให้คุณณฐพงศ์ยอมรับแต่โดยดี หลานชายของเขามีดีเหมาะสมกับหลานคนเล็กของท่านทุกอย่าง...แม้ทั้งสองจะไม่ได้รักกันก็ตาม
“หมายความว่ายังไง พุฒหนีงานแต่งอย่างนั้นเหรอ” เล่าจบภายในไม่กี่นาที คุณณฐพงศ์นั่งนิ่งแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแรงกล้า ไม่คิดว่าชายผู้นั้นจะอาจหาญทำร้ายจิตใจของหลานสาวตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขั้นตอนเตรียมงานแต่งก็เข้ามาพูดจาปราศรัยจนคิดว่าจะยินยอมตกล่องปล่องชิ้นแล้วเสียอีก พอถึงวันจริงกลับหนีหาย หมายจะให้มินทิราอับอายขายหน้าต่อคนทั้งประเทศหรืออย่างไร แค่คิดก็โกรธจนตัวสั่น แม้ว่าชยันต์จะเป็นเพื่อนก็ไม่อาจอภัยได้
“ใช่ ฉันต้องขอโทษนายจริงๆ เพราะฉันเลี้ยงหลานไม่ดีเองมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้” ยอมรับผิดแต่โดยดี แทบจะคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่ายแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีสายตาหลายคู่จ้องมอง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อประมุขของบ้านไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
“หนีไปกับใคร คุณ...เตยอยู่ไหน” คุณทยุตหันไปถามภรรยาที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ไม่อยู่บ้านค่ะ” ตอบเสียงเบาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ไปตามลูกสาวแต่เช้าเพื่อให้มาดูแลความเรียบร้อย แต่กลับไม่พบพรรณรมณอยู่ในห้อง ทว่าของทุกอย่างก็ยังอยู่คบ กระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์ จึงคิดว่าบุตรสาวลงมาช่วยงานข้างล่างไม่ได้เข้าไปดูอีก จนตอนนี้ที่งานใกล้เริ่มก็ไม่พบแม้แต่เงา
จึงทราบได้ทันทีว่าคงหนีไปกับคนรักแล้ว...
แม้จะเสียใจแต่ก็เข้าใจอยู่เช่นเดียวกัน คนทั้งสองรักกันอย่างบริสุทธิ์ใจแต่กลับโดนจับแยก เธอยังไปอ้อนวอนขอคนรักของลูกคนรองให้ลูกคนเล็กอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าใจของพรรณรมณจะแหลกละเอียดมากแค่ไหน
“ตามตัวสองคนกลับมาทันไหม”
“ไม่รู้จะตามที่ไหน พุฒหนีไปอยู่เกาะแล้วเราไม่รู้ว่าเกาะไหน คงต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันกว่าจะตามหาตัวเจอ ไม่น่าทันงานแต่ง...” ความจริงข้อนั้นทำเอาทุกคนถึงกับกุมขมับ ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ยากที่จะแก้ไขได้และเหมือนว่าจะมีทางเลือกเดียวคือยกเลิกงานแต่ง ทว่าหากทำเช่นนั้นคนที่จะอับอายคือเจ้าสาวที่โดนคนอื่นนินทาสนุกปากไปอีกแสนนาน แล้วก็จะกลายเป็นบาดแผลในใจของหล่อนไปอีกแสนนานไม่รู้ว่าจะลบเลือนได้หรือเปล่า
“หรือจะเลื่อนไปก่อน” คุณณหทัยลองเสนอแต่ต้องถูกแม่สามีหันมาเหวเสียงดัง
“บ้าหรือไง หลานสาวแม่ก็ขายหน้าแย่สิ เลื่อนงานแต่งไม่ได้เด็ดขาด” หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรงานแต่งก็ห้ามล่ม แค่คิดว่าหลานสาวจะขังตัวเองในห้องแล้วเอาแต่ร้องไห้ทั้งวันคืนก็ทนไม่ได้แล้ว ต้องตามหาตัวพุฒให้เจอแล้วพาเข้างานโดยเร็วที่สุด
“แล้วพวกคุณคิดจะทำยังไง” นิ่งเงียบกันหมดไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
คุณชยันต์มองหลานชายที่ทำหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน ตัดสินใจได้ทันทีว่าควรลองทำตามแผนของพริศ เชื่อว่าคนคนนี้จะรับมือทุกอย่างได้และไม่เกิดปัญหาขึ้นมาภายหลัง
“เลื่อนงานแต่งไม่ได้ เจ้าบ่าวก็มาไม่ทัน...พวกเราคิดว่าควรเปลี่ยนเจ้าบ่าว” หลังจากที่ท่านพูดจบ ทุกคนต่างตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ว่าไงนะ!”
เปลี่ยนเจ้าบ่าวทั้งที่การ์ดและหน้างานเป็นชื่อกับหน้าของพุฒเนี่ยนะ...ช่างเป็นแผนที่ไม่เนียนเอาเสียเลย คุณณฐพงศ์กำลังจะเปิดปากค้านแต่ก็เงียบรอฟังอีกฝ่ายพูดให้จบเสียก่อน อยากรู้เหมือนกันว่าจะนำใครมาเป็นเจ้าบ่าวแทน
“ผมอยากให้พริศเข้าพิธีแทนพุฒ” ทุกสายตาจับจ้องมาที่รองประธานรูปหล่อเป็นตาเดียว ร่างสูงเริ่มเกร็งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตื่นเต้นยิ่งกว่าเข้าประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรกก่อนรับตำแหน่งเสียอีก กระนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงอาการ ยังคงตีหน้าเรียบเช่นที่ผ่านมา
คุณณฐพงศ์ผินหน้ากลับมามองเพื่อนสนิท โวยวายเสียงดังลั่นจนคนทั้งห้องต่างสะดุ้ง นึกเกรงกลัวกับน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม กระทั่งคุณชยันต์ก็ไม่กล้าพูดอะไร คิดว่าแผนการที่เตรียมมาอาจจะพังลงเมื่อคนตรงหน้าไม่ยืนยอม
“บ้าไปแล้ว! จะมาเปลี่ยนเจ้าบ่าวกลางคันได้ยังไง การ์ดส่งไปกี่พันใบไหนจะชื่อเจ้าบ่าวหน้างานอีก ไม่มีทาง เปลี่ยนไม่ได้เด็ดขาด” ยืนยันเสียงหนักแน่นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง พริศสูดลมหายใจเข้าปอด เลือกจะเดินมาด้านหน้าหนึ่งก้าวเพื่อเผชิญกับประมุขของบ้านเวศน์สุวรรณวงศ์
แผนที่วางไว้อย่างดีจะไม่มีทางล่มเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าทันที เรื่องอะไรเขาจะยอมให้เป็นอย่างนั้น
“เปลี่ยนได้ครับ ผมยินดีและเต็มใจจะเป็นเจ้าบ่าวของน้อง เรื่องป้ายข้างหน้าผมจะสั่งคนมาจัดการ ส่วนรูปก็มีที่ผมตัดต่อไว้รับรองว่าเสร็จภายในยี่สิบนาที เรื่องชื่อเจ้าบ่าวบนการ์ดผมจะเป็นคนบอกแขกเองว่าเกิดข้อผิดพลาด ส่วนผมคือเจ้าบ่าวตัวจริงแล้วเราสองคนรักกัน”
ร่ายยาวถึงปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในทันที ท่านฟังแล้วก็ได้แต่เงียบไป มองเวลาที่เดินไปข้างหน้าอีกไม่นานก็จะถึงฤกษ์แล้วแต่ขบวนขันหมากยังไม่ตั้งด้วยซ้ำ คุณณฐพงศ์จ้องตากับพริศนิ่งไม่มีใครยอมหลบ
ท่าทีแบบนี้ท่านก็นึกชื่นชมในใจอยากได้มาเป็นหลานเขยเหมือนกัน ความเก่งกาจในด้านธุรกิจไม่เป็นสองรองใคร เรื่องเสียหายก็ไม่ได้ยิน ทำงานเก่งอีกต่างหาก มองเห็นเพียงข้อดีของชายหนุ่ม อาจจะเสียอย่างเดียวคือไม่ได้รักหลานสาวตน
ที่ออกหน้าแทนก็คงเพราะห่วงน้องชายและครอบครัว กตัญญูรู้คุณแบบนี้ดีกว่าพุฒที่หนีหายไร้ความรับผิดชอบเป็นไหนๆ
ไม่ยากเลยที่จะตัดสินใจ...แต่ก็เกรงว่าอาจทำให้หลานสาวเสียใจ
“พี่พริศจัดการได้รวดเร็ว สมกับเป็นรองประธานจริงๆ นะครับ” กรวีร์ขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบที่ข้างหูรุ่นพี่ เขาทำเพียงผินหน้ามองแล้วตอบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน หัวใจเขาแทบจะเต้นออกมาอยู๋นอกอกแล้วระหว่างรอฟังผลการตัดสินของคุณณฐพงศ์
“ครับ”
“ยังไงดีคะคุณ” ภรรยาผู้อยู่ร่วมทุกข์สุขกับสามีหันมาถามเมื่ออีกฝ่ายไตร่ตรองนานจนคนใจร้อนทนไม่ไหว
“แน่ใจใช่ไหมว่าจะดูแลมินนี่ได้” คำถามเหมือนเป็นการวัดใจ และคล้ายกับอนุญาตกรายๆ ริมฝีปากหยักเกือบเผลอยกยิ้มจนต้องสั่งตัวเองให้ตั้งสติ
“ผมมั่นใจครับว่าจะดูแลน้องได้ ขอแค่คุณปู่อนุญาต...ผมก็พร้อมจะทำทุกอย่าง” เรื่องราวมาถึงขนาดนี้คงไม่มีทางออกอื่นแล้ว ร่างสูงใหญ่ของชายวันแปดสิบลุกยืนเต็มความสูง เดินมาหยุดตรงหน้าชายรุ่นหลานพลางยกมือวางบนบ่าแกร่ง พร้อมคำพูดที่ก้องอยู่ในหูของเขา
“ฝากมินนี่ด้วย”
“ครับ”
คำตอบรับไม่ใช่เพียงแค่พูดส่งเดช แต่เขาหมายมั่นจะดูแลหลานสาวสุดที่รักของท่านอย่างดี...
ถึงตอนนี้ที่หญิงสาวเดินมาหยุดตรงหน้า ดวงตาคมจดจ้องเจ้าสาวของตนไม่วางตา งามผุดผ่องราวกับนางในวรรณคดี ยิ่งอยู่ในชุดไทยจักรพรรดิสีทองอร่าม รวบผมมวยต่ำแซมด้วยดอกไม้ ดวงหน้ารูปหัวใจแสนหวานเล่นเอาร่างหนาตะลึงค้าง
เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากปากอวบอิ่ม ก่อนเธอจะหันไปมองผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหลัง พึมพำเสียงเบาพอให้ตัวเองได้ยิน อาการของเธอสร้างความฉงนแก่คนทั่วไป ทว่าคนในครอบครัวรู้ดีว่าเหตุใดหญิงสาวจึงเป็นเช่นนั้น
ออกมาเจอหน้าเจ้าบ่าวที่ไม่ใช่ตัวจริง ไม่ตกใจสิแปลก...
“ทำ ทำไม...”